เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 857 ข้าจะไม่คุยไร้สาระกับเจ้า
ตอนที่ 857 ข้าจะไม่คุยไร้สาระกับเจ้า
ลูกธนูพิฆาตถูกทำลายทิ้งไปแล้ว
นี่คือลูกธนูจากขุนศึกธนูมหากาฬผู่ปู้เฉิง
แต่กลับถูกเด็กหนุ่มผู้ใส่หน้ากากคนนี้ทำลายทิ้งได้อย่างง่ายดาย
เด็กหนุ่มต้องมีพลังสูงส่งถึงเพียงไหน?
เจ้าหน้าที่จากสถานทูตตัวสั่นเทาด้วยความตื่นกลัว
หรือว่านี่จะเป็นหนึ่งในผู้มีพลังระดับเซียนของจักรวรรดิเป่ยไห่?
เป็นไปไม่ได้
ฝ่ายจักรวรรดิจี้กวงรู้ดีว่าผู้มีพลังระดับเซียนทั้งหกคนนั้นขณะนี้อยู่ที่ใดบ้าง
แต่ละคนล้วนอยู่ต่างทิศต่างทาง ไม่มีทางมาวุ่นวายกับเรื่องราวในครั้งนี้ได้เด็ดขาด
ถ้าอย่างนั้นเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าคนนี้…
จังหวะที่เจ้าหน้าที่หนุ่มกำลังคิดด้วยความหวาดผวา หลินเป่ยเฉินก็ลงมืออีกครั้ง
“กล้าลงมือ แต่ไม่กล้าเสนอหน้า นับว่าขี้ขลาดนัก”
หลินเป่ยเฉินโบกสะบัดมือวูบ
บัดนี้ กระบี่ใหญ่เล่มหนึ่งปรากฏขึ้นในมือของเขา
เด็กหนุ่มตวัดกระบี่
ลำแสงกระบี่พุ่งควงสว่านออกไปสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
ลำแสงกระบี่พุ่งตรงไปหาสถานทูตจักรวรรดิจี้กวง
“บังอาจนัก”
เสียงคำรามดังออกมาจากด้านในสถานทูต
ปรากฏลำแสงลูกธนูดอกใหม่พุ่งออกมาปะทะเข้ากับลำแสงกระบี่
ตู้ม!
ลำแสงลูกธนูระเบิดหายไป
ลำแสงกระบี่ยังคงพุ่งทะลวงต่อเนื่องและปะทะเข้ากับม่านพลังที่ครอบคลุมสถานทูต
ครืน!
พื้นดินสั่นสะเทือน
ทันใดนั้น แม้แต่สถานทูตของจักรวรรดิอื่นๆ ที่ตั้งอยู่ห่างออกไปหลายช่วงตึก ก็ยังรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะเทือนของการระเบิดในครั้งนี้
ยอดฝีมือจำนวนมากรับรู้ได้ถึงการต่อสู้ที่เกิดขึ้น
หัวใจของจางเจาแทบจะเต้นทะลุหน้าอกออกมาแล้ว
ทั้งเขาและกลุ่มผู้ประท้วงต่างก็เห็นกับตาว่าม่านพลังสีส้มที่คุ้มกันสถานทูตของจักรวรรดิจี้กวงคล้ายกับกำลังจะพังทลายลงไปต่อหน้าต่อตา
ซึ่งนั่นหมายความว่าบัดนี้ทุกคนกำลังเห็นอักขระอาคมปรากฏขึ้นจำนวนมาก
และในจังหวะนี้เอง กระบวนท่าที่สองของหลินเป่ยเฉินก็ถูกใช้งานออกมา
การเคลื่อนไหวของเขาไม่ซับซ้อน ราวกับเป็นการตวัดกระบี่ที่ไร้ความหมายครั้งหนึ่ง
แต่เมื่อลำแสงกระบี่พุ่งทะยานไปข้างหน้า มันกลับมีความรวดเร็วและความใหญ่โต รวมถึงมีอานุภาพการโจมตีรุนแรงมากกว่าลำแสงกระบี่เมื่อสักครู่นี้หลายเท่า
“อย่าได้รังแกผู้อื่นให้มากเกินไปนัก”
เสียงตะโกนดังออกมาจากด้านในสถานทูต ก่อนจะตามมาด้วยเสียงการยิงลูกธนู
ฟ้าว! ฟ้าว! ฟ้าว! ฟ้าว! ฟ้าว! ฟ้าว! ฟ้าว!
ลูกธนูเจ็ดดอกถูกยิงออกมาเพื่อต้านทานลำแสงกระบี่ของเด็กหนุ่ม
เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง! เปรี้ยง!
การระเบิดเกิดขึ้นเจ็ดครั้งติดๆ กัน
ลูกธนูหักกระจาย
ลำแสงกระบี่ที่เหลืออยู่ยังคงพุ่งเข้าไปปะทะเข้ากับม่านพลังของสถานทูตอย่างรุนแรง
ม่านพลังสีส้มระเบิดแสงสว่างเรืองรอง
หลังจากนั้น…
เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ!
ม่านพลังสีส้มเกิดรอยแตกร้าวราวกับใยแมงมุม ก่อนที่พวกมันจะปลิวกระจายหายไปในพริบตา
ลำแสงกระบี่จึงทะลวงเข้าไปในประตูชั้นแรกของสถานทูต ไม่ว่าจะเป็นบานประตูหรือข้าวของที่ตั้งอยู่สองข้างทางต่างก็กระจัดกระจายไม่เหลือชิ้นดี เมื่อลำแสงกระบี่หายเข้าไปในส่วนลึกของสถานทูต มันก็ทิ้งร่องรอยความเสียหายเป็นทางยาวไว้ด้านหลัง
แม้แต่กำแพงหรือสิ่งของที่ตกแต่งอยู่ในสวนหย่อมหน้าสถานทูตก็แหลกเละหมดสภาพความสวยงาม
ทันใดนั้น ปรากฏเงาร่างหลายสายพุ่งออกมาจากด้านในสถานทูตราวกับผึ้งแตกรัง
คนกลุ่มนี้มีผู้นำเป็นชายฉกรรจ์ร่างผอมสูงผมสีทองคำ ลักษณะผิวกายขาวซีด รูปร่างอรชรราวกับสตรี มือข้างหนึ่งถือคันธนูสีเขียวเข้ม สีหน้าบอกถึงความโกรธแค้นและตกตะลึง ดวงตาจ้องมองมาที่หลินเป่ยเฉินเพียงจุดเดียว
ด้านหลังชายฉกรรจ์ยังมียอดฝีมือของจักรวรรดิจี้กวงจากในสถานทูตติดตามออกมาด้วยหลายคน
“ใต้เท้าผู่…”
เจ้าหน้าที่หนุ่มผู้เป็นตัวแทนสถานทูตรีบวิ่งเข้าไปหาชายหนุ่มผมทองราวกับเด็กน้อยหลงทางที่ได้กลับมาพบเจอบิดาของตัวเองอีกครั้ง
หลินเป่ยเฉินไม่ได้ขัดขวาง
ดวงตาของเขาจ้องมองไปยังชายหนุ่มผมทองผู้ถือคันธนู
เมื่อชายฉกรรจ์ผมทองรับรู้ว่าเด็กหนุ่มผู้นี้คือเจ้าของลำแสงกระบี่ทั้งสองสายนั้น หัวใจของเขาก็เย็นวาบขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล
“ข้าคือขุนศึกธนูมหากาฬผู่ปู้เฉิง ได้รับภารกิจจากจักรวรรดิจี้กวง ให้มาปฏิบัติหน้าที่ในเมืองเป่ยไห่” ชายฉกรรจ์ผู้ถือธนูสะกดกลั้นความโกรธแค้นและถามออกมาเสียงดัง “ไม่ทราบว่าท่านผู้สูงส่งเป็นผู้ใด?”
หลินเป่ยเฉินแสดงสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย
ทำไมเสียงพูดถึงฟังดูเหมือนผู้หญิงชอบกล?
หรือหมอนี่จะเป็นขันที?
แต่แค่ดูหน้าตาก็รู้แล้วไม่ใช่คนดีแน่ๆ
“ข้าก็เป็นแค่เพียงชาวเป่ยไห่คนหนึ่งเท่านั้น”
หลินเป่ยเฉินตอบกลับไปเสียงเรียบ
“ถ้าอย่างนั้นข้าขอถามท่านผู้สูงส่ง เหตุไฉนถึงได้มาสังหารมือธนูของจักรวรรดิจี้กวง และทำลายม่านพลังของสถานทูตพวกเราด้วย?”
ขุนศึกธนูมหากาฬผู่ปู้เฉิงถาม น้ำเสียงหนักแน่น
หลินเป่ยเฉินยิ้มตอบกลับไป
“เจ้ายังมีหน้ามาถามอีกหรือ?”
เขาควงกระบี่เล็กน้อยก่อนพูดต่อ “ส่งตัวฆาตกรผู้สังหารกลุ่มผู้ประท้วงมาเดี๋ยวนี้ จากนั้นก็จัดการให้มันมาขอโทษ แล้วเหตุการณ์ในวันนี้จะถือว่าเลิกแล้วต่อกัน มิเช่นนั้น แม้แต่สุนัขสักตัวในสถานทูตของพวกเจ้า ก็อย่าหวังว่าจะรอดชีวิต…”
“เจ้า…”
ขุนศึกธนูมหากาฬผู่ปู้เฉิงพยายามควบคุมความโกรธแค้นอย่างสุดความสามารถ “ท่านสังหารยอดมือธนูของพวกเราไปนับพัน อีกทั้งยังทำให้เจ้าหน้าที่เจาห่าวได้รับบาดเจ็บ ซ้ำยังสร้างความเสียหายให้แก่สถานทูตใหญ่หลวง ท่านคิดหรือว่าจักรวรรดิจี้กวงจะนิ่งเฉยต่อเรื่องนี้?”
“ข้าจะไม่คุยไร้สาระกับเจ้า” เด็กหนุ่มตอบกลับอย่างไม่แยแส “เจ้าแค่ตอบมาก็พอว่าจะส่งตัวฆาตกรมาหรือไม่”
บัดนี้ ขุนศึกธนูมหากาฬผู่ปู้เฉิงรู้สึกได้ถึงน้ำเสียงข่มขู่คุกคามจากเด็กหนุ่มฝ่ายตรงข้ามอย่างชัดเจน
นี่คือมือกระบี่ชาวเป่ยไห่ที่น่ากลัวอย่างแท้จริง
คาดเดาว่าอย่างน้อยคงอยู่ในขั้นพลังยอดปรมาจารย์ตอนปลาย
อีกทั้งยังมีจิตใจกล้าหาญเด็ดเดี่ยว
แน่นอนว่าเขาย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเด็กหนุ่มผู้นี้
แล้วจะรับมืออย่างไรดี?
“จักรวรรดิของพวกเรากำลังทำสงครามกัน ได้โปรดอย่ามาก่อกวนที่สถานทูตเลย” ผู่ปู้เฉิงกัดฟันกรอดและพูดต่อ “ท่านรังแกพวกเราถึงขนาดนี้ รู้หรือไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดตามมา? นี่หมายความว่าพวกท่านละเมิดกฎข้อห้าม…”
เสียงพูดยังไม่ทันจบประโยค
เงาร่างสีขาวก็พุ่งทะยานเข้ามาราวกับวิญญาณตนหนึ่ง
“กฎระเบียบบิดาเจ้าเถอะ”
หลินเป่ยเฉินเข้าไปประชิดตัวผู่ปู้เฉิง ก่อนยกมือขึ้นแย่งชิงคันธนูสีเขียวมาหน้าตาเฉย หลังจากนั้น เขาก็ดีดตัวขึ้นยกเท้าถีบเข้าใส่ใบหน้าขุนศึกธนูมหากาฬผู้โด่งดังลอยกระเด็นออกไปอย่างไม่ทันตั้งตัว
โครม!
ร่างของผู่ปู้เฉิงลอยเข้าไปในส่วนลึกของสถานทูต ชนเข้ากับกำแพง โขดหิน และศาลานั่งเล่นถึงสามหลัง
หลังจากนั้น ตัวคนก็ถูกฝังอยู่ใต้กองหินและเศษฝุ่น ไม่ทราบเลยว่าเป็นหรือตาย
ยอดฝีมือคนอื่นๆ ของสถานทูตไม่มีเวลาได้ตั้งตัว
เห็นได้ชัดว่า…
นี่เป็นการโจมตีของผู้มีพลังระดับเซียน!
แม้แต่ขุนศึกธนูมหากาฬผู้มีประสบการณ์ต่อสู้โชกโชน ก็ยังมีสภาพไม่ต่างจากผู้ฝึกยุทธ์ขั้นฝึกหัดเมื่อเผชิญหน้ากับผู้มีพลังระดับเซียนตัวจริง
ขณะนี้ เจ้าหน้าที่หนุ่มผู้มีนามว่าเจาห่าวมีเหงื่อไหลเต็มใบหน้า
“ยังไม่รีบคุกเข่าขอโทษอีก” หลินเป่ยเฉินมองหน้าเขม็ง “อย่าให้ข้าต้องพูดซ้ำสอง”
เจ้าหน้าที่เจาห่าวตัวสั่นเทาตั้งแต่หัวจรดเท้า
จิตใจของเขาคิดปฏิเสธ แต่ร่างกายกลับเดินไปคุกเข่าต่อหน้าพวกของจางเจาโดยไม่รู้ตัว
“ข้าน้อยผิดไปแล้ว”
เจาห่าวโขกศีรษะกระแทกพื้นดินและพูดออกมาเสียงดัง
จางเจาไม่รู้เลยว่าตนเองควรรับมือกับเรื่องนี้อย่างไร
“ไปขอโทษเด็กสาวเหล่านั้นด้วย”
เสียงที่เย็นชาของหลินเป่ยเฉินดังขึ้นอีกครั้ง
เจ้าหน้าที่เจาห่าวรีบลนลานคลานไปคุกเข่าตรงหน้าของหลี่ซิวเยวียนกับหลิวเหวินฮุย ก่อนโขกศีรษะขอร้องว่า “ข้าน้อยผิดไปแล้ว ได้โปรดให้อภัยข้าน้อยด้วย ข้าน้อย…”
วูบ!
ดวงตาของหลิวเหวินฮุยเป็นประกายด้วยความเกลียดชัง นางชักกระบี่ออกมาจากข้างเอวของหลี่ซิวเยวียนและเตรียมแทงกระบี่ใส่เจาห่าว
ตัวชั่วร้ายผู้นี้นอกจากสังหารผู้ชุมนุมไปจำนวนมาก ตลอดสามวันที่ผ่านมายังจับตัวนางและเด็กสาวอีกสามคนมาทรมานอย่างสาหัสสากรรจ์ อีกทั้งยังทำเรื่องน่าอับอายที่พวกนางไม่มีทางจดจำ อย่าว่าแต่การใช้กระบี่ฟันแทงเลย ต่อให้จับมันผู้นี้มาเผาทั้งเป็น ก็ยังไม่สาสมกับความแค้นที่อยู่ในจิตใจของหลิวเหวินฮุยสักนิด
“อย่านะ…”
เจ้าหน้าที่เจาห่าวอุทานออกมา พยายามหลบหนี
แต่พลังกดดันที่ถูกปล่อยออกมาจากร่างกายของหลินเป่ยเฉินกลับทำให้เขาไม่สามารถกระดิกได้แม้แต่ปลายนิ้ว
สวบ!
คมกระบี่ทิ่มแทงทะลวงหัวใจของเจาห่าวแล้ว