เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 869 ไม่ต้องพูด
ตอนที่ 869 ไม่ต้องพูด
เขาเลือกแล้วจริง ๆ
สีหน้าของทั้งสามคนแตกต่างกันไป
ขันทีชราจางเชียนเชียนแสดงออกถึงความวิตกกังวลเล็กน้อยเพราะคิดว่าคุณชายหลินตัดสินใจผิดพลาด
เกออู๋โหยวมีสีหน้าเรียบเฉย เขาเป็นเพียงผู้ดูแลเจดีย์เซียนเหยียบเมฆ ไม่ว่าหลินเป่ยเฉินจะเลือกคัมภีร์เล่มใด เขาก็ไม่มีสิทธิ์ยื่นมือเข้าไปแทรกแซงตราบใดที่อีกฝ่ายทำตามกฎทุกประการ
จูจวิ้นหลานอดหัวเราะเยาะและพูดออกมาไม่ได้ “คนโง่ย่อมเป็นคนโง่อยู่วันยังค่ำ เจ้ารู้หรือไม่ว่าตนเองเพิ่งเลือกอะไรออกมา? คัมภีร์กระบี่เซียนทองคำเท่าที่ข้าได้ยินมานั้น เป็นวิชากระบี่ที่ต่ำต้อยเหลือเกิน ถึงฝึกไปก็หาได้มีประโยชน์ต่อตัวเจ้าไม่”
หลินเป่ยเฉินยังคงไม่คิดใส่ใจ
เขายึดถือคำพูดของจูจวิ้นหลานเป็นเพียงผายลม ถึงจะมีกลิ่นเหม็น แต่ก็ไม่มีตัวตนให้จับต้องได้
เพราะฉะนั้นอย่าไปใส่ใจเลย
“ยังมีเวลาอยู่นะขอรับคุณชายหลิน ไม่ทราบว่าคุณชายอยากจะกลับเข้าไปเลือกคัมภีร์ที่เหมาะสมกับตัวท่านเองมากกว่านี้หรือไม่?”
เกออู๋โหยวลังเลเล็กน้อยระหว่างที่จ้องมองคัมภีร์สภาพเก่าครึในมือหลินเป่ยเฉินและย้ำเตือนว่า “การเลือกคัมภีร์ท่านต้องเลือกให้ดี เพราะเมื่อเลือกมาแล้วก็จะไม่สามารถส่งคืนได้เด็ดขาด คัมภีร์เล่มนี้มีสภาพเก่าแก่และชำรุดมากเกินไป แม้ไม่ใช่สมุดเปล่า แต่ก็คงเป็นเพียงคัมภีร์ฝึกยุทธ์ระดับพื้นฐาน บางทีอาจห่างไกลจากคัมภีร์ระดับเซียนอีกมากโขก็เป็นได้”
“ใช่แล้วขอรับคุณชาย นี่คือเรื่องใหญ่ โปรดเลือกคัมภีร์เล่มใหม่ดีกว่า”
ขันทีชราจางเชียนเชียนรีบพูดออกมาและพยายามสบสายตากับหลินเป่ยเฉินระหว่างพูด
จูจวิ้นหลานชักสีหน้าด้วยความไม่พอใจ “ในเมื่อออกมาแล้วจะกลับเข้าไปใหม่ได้ด้วยหรือ? ไม่ทราบว่ากฎในการขึ้นทะเบียนเปลี่ยนแปลงตั้งแต่เมื่อใด?”
เกออู๋โหยวตอบเสียงเรียบว่า “ในเมื่อยังไม่ครบกำหนดเวลา ย่อมสามารถกลับเข้าไปได้”
จูจวิ้นหลานหันไปมองหน้าเกออู๋โหยวด้วยความขุ่นเคืองใจ
เด็กเจ้าเล่ห์นี่รับของกำนัลของเขาไปแล้ว แต่ยังคิดช่วยเหลือหลินเป่ยเฉินอีกหรือ?
เกออู๋โหยวทำเป็นมองไม่เห็นแววตาของจูจวิ้นหลาน
ถึงเขาจะรับสินบนก็จริง แต่เกออู๋โหยวก็ต้องทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด
นั่นทำให้หลินเป่ยเฉินรีบโบกมือปฏิเสธ “ไม่เป็นไร ข้าเลือกเล่มนี้แหละ ข้าชอบชื่อของมัน”
เกออู๋โหยวไม่มีทางเลือกนอกจากตอบว่า “ในเมื่อคุณชายเลือกแล้ว งั้นโปรดส่งคัมภีร์ของท่านมาให้ข้าตรวจสอบด้วย”
ยังจะต้องตรวจสอบอะไรอีก?
หลินเป่ยเฉินส่งคัมภีร์ให้กับเด็กหนุ่มรุ่นพี่
เกออู๋โหยวถือคัมภีร์กระบี่เซียนทองคำด้วยมือข้างหนึ่ง และหยิบม้วนกระดาษขนาดเล็กออกมาถือในมืออีกข้าง
เมื่อม้วนกระดาษถูกคลี่ออกมา ลำแสงสีเงินก็สาดส่องไปบนคัมภีร์สภาพเก่าครึ
หลังจากนั้น คัมภีร์ที่หลินเป่ยเฉินเลือกออกมาก็เปล่งแสงสว่างสีทองคำเจิดจ้า ความเก่าแก่รวมถึงสภาพที่ชำรุดทรุดโทรมกระจายขึ้นมาเป็นเศษฝุ่น ลมหายใจต่อมา หน้าปกคัมภีร์ที่เป็นแผ่นหนังเก่าคร่ำก็ถูกห่อหุ้มด้วยแสงสีทองคำสดใส แสดงออกถึงความโดดเด่นไม่เหมือนใคร
เกือบทุกคนต้องอุทานออกมาพร้อมกัน
เกออู๋โหยวไม่คิดเลยว่าหลังได้รับการตรวจสอบ คัมภีร์เล่มนี้จะกลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้ง
จูจวิ้นหลานทั้งตกตะลึงและโกรธแค้น ดวงตาจับจ้องที่คัมภีร์หน้าปกทองคำเขม็ง นี่ต้องเป็นคัมภีร์สำหรับผู้มีพลังขั้นเซียนแน่นอน เพียงแต่เขายังไม่รู้ว่ามันเป็นคัมภีร์ขั้นเซียนระดับไหน
คิดไม่ถึงเลยว่าหลินเป่ยเฉินจะโชคดีขนาดนี้
แค่สุ่มเลือกคัมภีร์มาหนึ่งเล่ม ก็กลับกลายเป็นคัมภีร์ระดับเซียนไปเสียได้
ขันทีชราจางเชียนเชียนกลับมามีสีหน้ายิ้มแย้มอีกครั้ง
โชคดีที่การเลือกคัมภีร์ครั้งนี้ไม่มีอะไรเสียหาย
“ยินดีด้วยคุณชายหลิน นี่คือคัมภีร์ระดับเซียน”
เกออู๋โหยวลอบถอนหายใจและส่งคัมภีร์กระบี่เซียนทองคำคืนให้แก่หลินเป่ยเฉิน
หลินเป่ยเฉินระเบิดเสียงหัวเราะอย่างชั่วร้ายและกล่าวว่า “ดูเหมือนจะมีตัวโง่งมกล่าวได้ถูกต้อง การที่ใครสักคนหนึ่งจะขึ้นมาเป็นผู้มีพลังระดับเซียนได้นั้น โชคชะตาถือเป็นสิ่งสำคัญ และนี่ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าสวรรค์ช่างเมตตาข้าเหลือเกิน”
จูจวิ้นหลานแทบจะกระอักเลือดออกมาด้วยความเจ็บใจ
เขาถูกฉีกหน้าไม่เหลือชิ้นดี
ไม่มีช่องทางให้ตอบโต้กลับ
“เด็กน้อย เจ้าอย่าได้เหิมเกริมเกินไปนัก คอยดูก็แล้วกัน”
จูจวิ้นหลานกัดฟันพูดก่อนจะหมุนตัวเดินออกไป
หลินเป่ยเฉินยกมือเท้าเอวและกล่าวว่า “บอกตามตรง ข้าเข้าใจมาตลอดว่าผู้มีพลังระดับเซียนต้องเป็นบุคคลที่สูงส่งควรค่าต่อความเคารพ ต่อให้เป็นตัวชั่วร้าย ก็ต้องเป็นตัวชั่วร้ายที่น่ายำเกรง แต่คิดไม่ถึงเลยว่าตัวชั่วร้ายเหล่านั้นกลับมีจมูกงองุ้มดั่งตะขอ จิตใจคับแคบ ใบหน้าอัปลักษณ์ มิหนำซ้ำ ยังมีตำแหน่งใหญ่โตเป็นถึงผู้ดูแลสมาคมประจำจักรวรรดิของตนเอง เฮ้อ ช่างน่าเวทนาผู้คนในจักรวรรดินั้นเหลือเกิน…”
เกออู๋โหยวผู้ยืนอยู่ด้านข้างมีสีหน้าเยือกเย็นราวกับไม่ได้ยิน
“คุณชายหลินควรเริ่มทำความเข้าใจคัมภีร์เล่มนี้เลยดีกว่าขอรับ”
เขายิ้ม
หลินเป่ยเฉินตอบว่า “ไม่ต้องพูด ข้ารู้ดีว่าสมควรทำอะไรต่อไป”
เกออู๋โหยวชะงักกึก เกือบจะต้องยกมือขึ้นมานวดขมับตนเองด้วยความปวดหัว
เจ้าเด็กไม่รู้จักโต
เขาพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว
ขันทีชราจางเชียนเชียนหันหน้าหนีเหมือนไม่อยากจะรู้จักเด็กหนุ่มสมองเสื่อมอีกต่อไป
เมื่อรับคัมภีร์กระบี่เซียนทองคำกลับคืนมาแล้ว หลินเป่ยเฉินก็เข้าไปในห้องฝึกวิชาที่อยู่ข้างกัน
เกออู๋โหยวเดินมาตั้งเวลาผ่านค่ายอาคมที่อยู่นอกห้องฝึกวิชา
การนับถอยหลังเริ่มขึ้น
เด็กหนุ่มเสื้อน้ำเงินหมุนตัวเดินออกมา
ขันทีชราจางเชียนเชียนเป็นเพียงผู้เดียวที่ยืนรอคอยอยู่หน้าห้องฝึกวิชาต่อไป
…
ในห้องสังเกตการณ์
“เมื่อสักครู่ เหตุไฉนเจ้าถึงต้องออกหน้าช่วยเหลือหลินเป่ยเฉินด้วย?”
จูจวิ้นหลานถามเสียงแข็งกระด้าง
เกออู๋โหยวดื่มน้ำชาด้วยความสงบสุขุม ก่อนตอบ “เพราะว่าข้ารับสินบนจากราชวงศ์เป่ยไห่”
“แต่เจ้าก็รับสินบนจากข้าไปเช่นกัน”
จูจวิ้นหลานคำรามด้วยความโกรธแค้น
“ดังนั้นข้าจึงจะช่วยเหลือท่านให้มากกว่า”
เกออู๋โหยวตอบกลับน้ำเสียงหนักแน่น “นั่นเป็นเหตุผลที่ท่านสามารถเข้ามาอยู่ในห้องสังเกตการณ์ของเจดีย์เซียนเหยียบเมฆแห่งนี้ นอกจากนั้น ข้ายังอนุญาตให้ท่านควบคุมระดับความยากง่ายในบททดสอบด่านแรกของหลินเป่ยเฉิน… เหอเหอ ข้าคือคนที่ยุติธรรมที่สุดแล้ว ใครจ่ายมากก็ช่วยมากหน่อย ใครจ่ายน้อยก็ช่วยน้อยหน่อย แต่ข้าก็ต้องทำทุกอย่างให้พอดี ๆ มิเช่นนั้น ข้าจะไม่กลายเป็นตัวชั่วร้ายไร้จิตสำนึกเอาหรือ?”
จูจวิ้นหลานถึงกับตะลึงงัน
นี่คือครั้งแรกที่เขาได้พบเจอบุคคลผู้สามารถพูดเรื่องน่าละอายใจได้อย่างเต็มปากเต็มคำเช่นนี้
สมควรแล้วที่เป็นศิษย์ของตาเฒ่านั่น
“ด่านที่สาม ข้าอยากจะออกไปสู้ด้วยตนเอง”
จูจวิ้นหลานว่า
“ย่อมได้”
เกออู๋โหยวตกลงโดยทันที “ในเมื่อท่านมอบของกำนัลให้ข้าเยอะมากกว่าผู้ใด ข้าก็จะต้องดูแลท่านให้ดีเป็นพิเศษ… เชิญตามสบาย ข้าจะอนุญาตให้ท่านเป็นผู้คุ้มกันคนสุดท้ายในตรอกพิรุณ”
สีหน้าของจูจวิ้นหลานผ่อนคลายมากขึ้นและยิ้มออกมาด้วยความพอใจ “ประเสริฐ”
“ว่าแต่ทำไมท่านถึงโกรธแค้นหลินเป่ยเฉินขนาดนี้?”
เกออู๋โหยวยกถ้วยชาขึ้นมาถามด้วยความสงสัย “ข้ามั่นใจว่าท่านไม่ได้แวะมาที่นี่และพบเจอเขาด้วยความบังเอิญ แต่ท่านรู้ดีอยู่แล้ว ว่าวันนี้หลินเป่ยเฉินจะมาขึ้นทะเบียนใช่หรือไม่?”
จูจวิ้นหลานชำเลืองมองเด็กหนุ่มผู้ดูแลเจดีย์ “บางครั้งการรู้มากเกินไป มันก็ไม่ดีต่อตัวเจ้าเอง”
เกออู๋โหยวยักไหล่อย่างไม่แยแส “ไม่อยากตอบก็ไม่ต้องตอบ ไฉนต้องข่มขู่ผู้คน”
ระหว่างที่พูดคุยกันอยู่นี้…
หนึ่งในจออาคมหลายร้อยจอก็มีแสงสว่างสาดส่องออกมาพร้อมกับเกิดคลื่นความสั่นไหวขึ้นเล็กน้อย
และบนหน้าจอนั้นก็ปรากฏภาพของหลินเป่ยเฉินกำลังยืนอยู่ตรงหน้ากระจกบานหนึ่ง และเขากำลังตวัดกระบี่ในมืออย่างช้า ๆ
ปลายกระบี่มีรัศมีแสงทองคำ
วูบ!
คลื่นพลังแผ่กระจาย
รอยกระบี่สีทองคำปรากฏขึ้นบนกระจก
บนกระจกเกิดรอยกระบี่ลากเป็นทางยาว
เกออู๋โหยวอุทานออกมาด้วยความตกตะลึง “เขาสามารถทิ้งรอยกระบี่ไว้บนกระจกสะท้อนปัญญาได้สำเร็จ นี่หมายความว่าหลินเป่ยเฉินบรรลุเคล็ดวิชานี้แล้ว”
กระจกสะท้อนปัญญาหาใช่กระจกธรรมดาทั่วไป
มันเป็นวัตถุที่ผ่านการเล่นแร่แปรธาตุและผลิตขึ้นมาจากช่างตีเหล็กยอดฝีมือ
ต้องเป็นผู้มีพลังระดับเซียนเท่านั้นถึงจะฝากร่องรอยการโจมตีไว้บนกระจกบานนี้ได้สำเร็จ
ภาพที่กำลังปรากฏบนจออาคมในห้องสังเกตการณ์ คือสิ่งที่ยืนยันว่าหลินเป่ยเฉินสามารถบรรลุเคล็ดวิชากระบี่เซียนทองคำได้แล้วจริง ๆ
ส่วนเวลานั้น…
ผ่านไปหนึ่งชั่วยามพอดี
“เฮอะ ก็แค่โชคดีเท่านั้นเอง”
จูจวิ้นหลานยิ้มมุมปาก แต่ดวงตาเป็นประกายเคร่งเครียดมากขึ้น “เมื่อรวมเข้ากับการฝ่าด่านค่ายอาคมจำแนกปราณธาตุ อย่างไรเด็กคนนี้ก็เป็นได้เพียงผู้มีพลังระดับเซียนขั้นเหรียญทองแดง แต่รอให้เขาได้เผชิญหน้ากับข้าในตรอกพิรุณเสียก่อนเถอะ ข้าจะทำให้เขาแม้แต่ขั้นเหรียญทองแดงก็เป็นไม่ได้”
เกออู๋โหยวถือถ้วยชาอยู่ในมือ พูดน้ำเสียงครุ่นคิด “ท่านอย่าได้ประมาทจะดีกว่า คัมภีร์กระบี่เซียนทองคำไม่ใช่คัมภีร์ธรรมดาทั่วไป ตอนที่ข้าตรวจสอบมันเมื่อสักครู่ ข้าแอบดูเนื้อหาด้านในเล็กน้อย ยามผู้ใช้งานโจมตี ตัวกระบี่จะหลอมรวมเป็นทองคำ และผู้ที่ถูกโจมตีก็จะได้รับความทรมานอย่างแสนสาหัส… หากท่านคิดจะต่อสู้กับหลินเป่ยเฉิน จงอย่าโดนกระบี่ของเขาฟันเข้าเด็ดขาด”
จูจวิ้นหลานแสยะยิ้ม “เจ้าไม่ต้องห่วง ข้ามีเป็นหมื่นวิธีที่จะเอาชนะเจ้าลูกเต่าตัวนี้”
…
“ยินดีด้วยขอรับ คุณชายหลินผ่านการทดสอบด่านที่สองแล้ว”
ขันทีชราจางเชียนเชียนไม่ปิดบังความดีใจของตนเอง
ผ่านการทดสอบไปอีกขั้นแล้วสินะ
หลินเป่ยเฉินพูดอย่างผู้ชนะ “ก็ไม่เห็นจะยากเย็นอะไรนี่นา”
ขันทีชราจางเชียนเชียนถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
การทดสอบด่านที่สามคือการทดสอบทักษะการต่อสู้
นี่คือการทดสอบที่เขาเป็นห่วงคุณชายหลินน้อยที่สุด
ด้วยรู้ดีว่าเด็กหนุ่มสมองเสื่อมผู้นี้สามารถสร้างปาฏิหาริย์มาได้ครั้งแล้วครั้งเล่าผ่านฝีมือการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยม
ขนาดสองด่านแรกยังผ่านมาได้สำเร็จ ด่านตรอกพิรุณย่อมไม่ใช่ปัญหา
ในที่สุด จักรวรรดิเป่ยไห่ก็กำลังจะมีมือกระบี่ระดับเซียนเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งคนแล้ว
แม้ว่านี่อาจจะไม่ใช่ปัจจัยที่เปลี่ยนสถานการณ์ไปทั้งหมด แต่อย่างน้อย เรื่องนี้ก็ช่วยทำให้จักรวรรดิเป่ยไห่มีสิทธิ์ในการเจรจาต่อรองมากขึ้น
“คุณชายหลิน…”
เสียงของเกออู๋โหยวดังขึ้นในอากาศ “ขอแสดงความยินดีด้วยกับการผ่านด่านที่สองได้สำเร็จ คุณชายเหลืออีกเพียงด่านเดียวเท่านั้น เมื่อสามารถฝ่าด่านตรอกพิรุณได้สำเร็จ คุณชายจะได้รับการแต่งตั้งลำดับขั้นและตำแหน่งของตนเอง ข้ามีเวลาให้คุณชายได้เตรียมตัวห้าลมหายใจ หลังจากนั้น คุณชายจะถูกส่งตัวไปยังตรอกพิรุณโดยทันที การนับถอยหลังจะเริ่มขึ้น ณ บัดนี้…”
ลำแสงถูกยิงลงมาจากเพดานครอบคลุมทั่วร่างกายหลินเป่ยเฉิน
ลมหายใจต่อมา ตัวเขาก็หายวับไปในอากาศ