เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 875 เซียนเคราดก
ตอนที่ 875 เซียนเคราดก
มีอีกคนอย่างนั้นหรือ?
เกออู๋โหยวกับจูจวิ้นหลานหันมองหน้ากัน ในดวงตาปรากฏความประหลาดใจ
ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา ไม่เคยมีใครมาขอขึ้นทะเบียน
ไฉนวันนี้ถึงมากันตั้งสามคน?
หลังจากนั้น
ในห้องโถงใหญ่ชั้นล่างของเจดีย์เซียนเหยียบเมฆ
เกออู๋โหยวกับจูจวิ้นหลานกำลังยืนจ้องมองชายหัวโล้นด้วยความตกตะลึง
เมื่อสักครู่ ชายหัวโล้นสามารถเปิดประตูได้อย่างง่ายดาย
นั่นเท่ากับว่าเขามีคุณสมบัติที่จะขอขึ้นทะเบียน
“ท่านผู้กล้ามาจากดินแดนใด?”
เกออู๋โหยวถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
ชายหัวโล้นตอบด้วยกลับมาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ข้าอู๋จิงแห่งเซี่ยซา เดิมทีเป็นศิษย์ตระกูลใหญ่ในจักรวรรดิต้าเกี๋ยน แต่ภายหลังดื่มสุราเมามายอาละวาดในงานเลี้ยงของท่านประมุข สุดท้ายจึงถูกไล่ออกจากตระกูล”
“หลังจากนั้น ข้าเดินทางร่อนเร่พเนจร ค่ำไหนนอนนั่น ทุ่มเทเวลาให้กับการฝึกวิทยายุทธ์ หวังว่าสักวันหนึ่งจะสามารถแบกหน้ากลับไปที่ตระกูลของตนเองได้อีกครั้ง หลังผ่านไปหลายสิบปี ระดับพลังของข้าไม่ต่ำต้อย ผิวหนังแข็งกร้าน เส้นผมร่วงโรย ผิดกับหนวดเคราที่งอกยาว… หากข้าสามารถขึ้นทะเบียนเป็นผู้มีพลังระดับเซียนได้สำเร็จ ข้าก็จะสามารถกลับสู่ตระกูลได้โดยไม่อายผู้ใดแล้ว”
เกออู๋โหยวหันไปมองหน้าจูจวิ้นหลาน
ความสงสัยในดวงตาของชายจมูกงอจางหายไป
เขาทราบดีว่าในจักรวรรดิต้าเกี๋ยน เหตุการณ์เหล่านี้ไม่ใช่เรื่องผิดปกติในตระกูลใหญ่
ศิษย์ตระกูลใหญ่จำนวนมากถูกขับไล่เพียงเพราะทำผิดเล็กๆ น้อยๆ
ชายหัวโล้นคนนี้โชคร้ายมากเกินไป หากเขาสามารถเป็นผู้มีพลังระดับเซียนได้สำเร็จ ชายหัวโล้นก็จะพิสูจน์ถึงคุณค่าของตนเอง และสามารถกลับเข้าสู่ตระกูลได้อีกครั้ง
จูจวิ้นหลานพยักหน้าให้แก่เกออู๋โหยว
“ไม่ทราบว่าท่านผู้กล้ามีพลังปราณธาตุชนิดใด?”
เกออู๋โหยวซักถาม
อู๋จิงตอบว่า “ข้ามีพลังปราณธาตุน้ำ”
พลังปราณธาตุน้ำ?
ไม่ใช่พลังปราณธาตุทองคำ ไม่ใช่พลังปราณธาตุไม้?
ยิ่งน่าสนใจมากกว่าเดิมอีก
“ถ้าอย่างนั้นเรามาเริ่มการขึ้นทะเบียนกันเลยดีกว่า”
เกออู๋โหยวพูดว่า “ข้าน้อยจะขอแนะนำกฎระเบียบในการขึ้นทะเบียนสักครู่ พวกเราจะมีด่านทดสอบให้ท่านเข้าร่วมสามด่าน…”
หลังแจกแจงกฎระเบียบเรียบร้อย อู๋จิงก็ประสานมือขอบคุณและเดินเข้าไปในค่ายอาคม
เกออู๋โหยวกับจูจวิ้นหลานรีบกลับเข้าไปในห้องสังเกตการณ์และเฝ้าดูการทดสอบ
“วันนี้แปลกประหลาดเสียจริง คิดไม่ถึงเลยว่าจะมียอดฝีมือปรากฏตัวเพื่อขอขึ้นทะเบียน” เกออู๋โหยวพูดพร้อมกับมองหน้าจออาคม “แม้พวกเขาจะมีที่มาที่ไปแตกต่างกัน มีระดับพลังไม่ต่ำต้อย แต่ข้าก็ยังรู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกประหลาดอยู่ดี”
จูจวิ้นหลานยิ้มมุมปาก พูดว่า “นี่ถือเป็นเรื่องดีสำหรับเจ้าไม่ใช่หรือ? ฮ่าฮ่าฮ่า เจดีย์ของเจ้าสามารถทำคะแนนได้อย่างต่อเนื่อง หากได้ผู้มีพลังระดับเซียนขั้นเหรียญทองคำอีกคน หน้าที่ประจำปีนี้ของเจ้าและอาจารย์ก็จะถือว่าเสร็จสิ้นเร็วก่อนกำหนด แล้วเจ้าจะเป็นห่วงอันใดอีก?”
“ผู้มีพลังระดับเซียนขั้นเหรียญทองคำไม่ใช่ผักปลาที่จะสามารถหาได้ตามท้องตลาด สามารถพบได้หนึ่งคนก็นับว่าเป็นบุญวาสนา แล้วจะสามารถพบเจออีกได้อย่างไร?”
ถึงปากของเกออู๋โหยวจะพูดออกมาเช่นนั้น แต่สีหน้าของเด็กหนุ่มบอกชัดว่าเขาเองคาดหวังอยู่พอสมควร
ในฐานะผู้พิทักษ์เจดีย์เซียนเหยียบเมฆ เขาจำเป็นต้องอยู่ดูแลเจดีย์แห่งนี้ตลอดเวลา
สมาคมผู้มีพลังระดับเซียนหวังว่าในจักรวรรดิเป่ยไห่จะปรากฏยอดฝีมือมากกว่าที่เป็นอยู่
การทำหน้าที่ผู้พิทักษ์เจดีย์เซียนเหยียบเมฆคือสิ่งที่เผาผลาญทั้งแรงกายและเวลามากมายมหาศาล นอกจากต้องดูแลความเรียบร้อยทุกอย่างในเจดีย์แห่งนี้แล้ว เกออู๋โหยวยังต้องคอยค้นหาผู้มีพลังระดับเซียนที่ซ่อนตัวอยู่อีกด้วย
นี่หมายความว่านอกจากเวรยามการเฝ้าเจดีย์ที่ต้องทำทุกๆ วัน เกออู๋โหยวก็ต้องส่งคนออกค้นหายอดฝีมือตามเมืองต่างๆ อีกเป็นระยะ
ยิ่งเจดีย์ที่ดูแลอยู่มีผู้ขึ้นทะเบียนเยอะเท่าไหร่ นั่นก็หมายความว่าผู้พิทักษ์ทำหน้าที่ได้ดีมากเท่านั้น และบุคคลผู้นั้นก็จะได้รับความเคารพเป็นอย่างสูงในสมาคมใหญ่และในแวดวงของผู้มีพลังระดับเซียนด้วยเช่นกัน
แม้ว่าชื่อของผู้พิทักษ์เจดีย์จะเป็นชื่อของอาจารย์เขาก็ตาม
แต่อาจารย์ของเขาไม่อยู่ดูแลที่นี่มาได้ปีกว่าแล้ว
ตลอดเวลาท่านผู้เฒ่าเอาแต่ออกไปก่อปัญหาที่โลกภายนอก
แต่ตราบใดที่อาจารย์ของเขามีสถานะสูงส่งมากขึ้น สถานะของเกออู๋โหยวเองก็ต้องสูงส่งมากขึ้นเช่นกันไม่ใช่หรือ?
“นี่มันอะไรกัน?”
จูจวิ้นหลานอุทานออกมาเสียงดัง
ห้วงความคิดของเกออู๋โหยวพังทลาย เขารีบตวัดสายตาจ้องมองหน้าจอ
ไม่รู้เลยว่าชายหัวโล้นใช้วิทยายุทธ์วิชาใด ถึงกระโดดขึ้นไปขี่อยู่บนหลังมังกรทะเล และยิงสายน้ำสีฟ้าครามระเบิดหัวของมังกรทะเลซึ่งเป็นสัตว์ผู้พิทักษ์ประจำค่ายอาคมขาดกระเด็น
ผ่านแล้ว
“ถือเป็นพลังปราณธาตุน้ำที่รุนแรงมาก”
เกออู๋โหยวอดดพูดออกมาด้วยความประหลาดใจไม่ได้
อู๋จิงแห่งเซี่ยซาคนนี้แข็งแกร่งมาก
หรือว่าจะเป็นผู้มีพลังระดับเซียนขั้นเหรียญทองคำอีกคน?
จูจวิ้นหลานมีสีหน้าเก้อกระดากเล็กน้อย
“ทำไมอู๋จิงผู้นี้ถึงได้มีรูปแบบการต่อสู้คล้ายตัวข้าชอบกล?”
เขายกมือจับคางด้วยสีหน้าครุ่นคิด และรู้สึกปวดหัวขึ้นมาอย่างไม่มีเหตุผล
บนหน้าจออาคม การทดสอบยังคงดำเนินต่อไป
ชายหัวโล้นเคราดกยืนอยู่ที่กองคัมภีร์ เขาใช้เวลาหนึ่งก้านธูปเลือกคัมภีร์สภาพเก่าแก่ซอมซ่อออกมาหนึ่งเล่ม ซึ่งมันมีชื่อว่า ‘คัมภีร์ลมปราณทวนกระแสน้ำ’
หลังนั่งทำความเข้าใจคัมภีร์จนครบกำหนดเวลา อู๋จิงก็สามารถผ่านการทดสอบหน้ากระจกสะท้อนสัญญาได้อย่างไม่มีปัญหา และสามารถเดินทะลุผ่านตรอกพิรุณ ฆ่าฟันศัตรูหมดสิ้นในเวลาเพียงชั่วชงน้ำชาหนึ่งถ้วย…
ครึ่งชั่วยามต่อมา ผลการทดสอบก็ปรากฏ
ลำดับชั้น : ผู้มีพลังระดับเซียนขั้นเหรียญทองคำ
ตำแหน่งฉายา : เซียนเคราดก
เกออู๋โหยวกับจูจวิ้นหลานในห้องสังเกตการณ์ถึงกับตกตะลึงอีกครั้ง
ช่างเป็นชื่อตำแหน่งที่ฟังดูธรรมดากระไรปานนั้น
แต่กลับมีลำดับชั้นขั้นเหรียญทองคำ
โดยเฉพาะเกออู๋โหยว บัดนี้ เขากำลังทำหน้านิ่วคิ้วขมวด
ขั้นตอนการตั้งชื่อตำแหน่งฉายาให้กับผู้ที่ผ่านการทดสอบแต่ละคน คือสิ่งที่เจดีย์เซียนเหยียบเมฆจะกำหนดออกมาเอง เขาไม่สามารถเข้าไปแก้ไขสิ่งใดได้
ว่ากันว่าเจดีย์แห่งนี้มีวิญญาณเป็นของตัวเองและมันจะได้รับอิทธิพลจากนิสัยใจคอของผู้ดูแล
ยกตัวอย่างเช่น เจดีย์เซียนเหยียบเมฆประจำเมืองเป่ยไห่ มักจะตั้งชื่อฉายาแปลกๆ ให้แก่ผู้ที่ผ่านการทดสอบ
ซึ่งปกติแล้วเป็นนิสัยของอาจารย์เขาเอง
หลายครั้งเกออู๋โหยวสงสัยว่าที่อาจารย์ไม่อยู่ทำหน้าที่ในเจดีย์แห่งนี้ต่อไป ก็เพราะกลัวว่าเหล่ายอดฝีมือที่ผ่านการทดสอบจะไม่ชอบชื่อตำแหน่งฉายาที่ทางเจดีย์ตั้งให้ และอาจจะมาเอาเรื่องกับท่านได้ ด้วยเหตุนี้ ท่านอาจารย์จึงหลบหนีไป และปล่อยให้เกออู๋โหยวอยู่รับหน้าผู้เข้ารับการทดสอบเพียงลำพัง
แต่อย่างไรก็ตาม ในเมื่อทางเจดีย์เซียนเหยียบเมฆมอบลำดับชั้นและตำแหน่งให้แก่อู๋จิงถึงขนาดนี้ ชายหัวโล้นก็คงไม่มีปัญหาอะไรแล้วกระมัง
เพราะเจดีย์เซียนเหยียบเมฆมีความสามารถในการตรวจจับหาสิ่งแปลกปลอมได้อย่างดีเยี่ยม
ทุกคนล้วนทราบดีว่าผู้ฝึกยุทธ์จะมีแหล่งพลังงานเดียวอยู่ในร่างกาย
ต่อให้เป็นคนที่เกิดมามีพลังปราณธาตุสองชนิดอยู่ในตัว
แต่แหล่งพลังก็ไม่สามารถปลอมแปลงกันได้
เมื่อเจดีย์เซียนเหยียบเมฆให้การรับรองและขึ้นทะเบียนอย่างเป็นทางการ ความสงสัยในหัวใจของเกออู๋โหยวก็อันตรธานหายไปหมดสิ้น
“พวกเรารีบลงไปหาเขากันดีกว่า”
จูจวิ้นหลานพูดด้วยความร้อนรน
พวกเขาเดินลงมาที่ชั้นล่างและส่งมอบป้ายประจำตัวรวมถึงทรัพยากรเบื้องต้นให้แก่อู๋จิงที่กำลังยืนยิ้มอย่างมีความสุข
ผลการทดสอบที่ออกมาทำให้ชายหัวโล้นพอใจมากทีเดียว
เกออู๋โหยวจัดการแนะนำวิธีใช้งานป้ายประจำตัวโดยละเอียด
อู๋จิงขอบคุณพวกเขาครั้งแล้วครั้งเล่า ก่อนจะถือป้ายประจำตัวผู้มีพลังระดับเซียนขั้นเหรียญทองคำเดินจากไปพร้อมกับศิลาบูชาจำนวนหนึ่ง
“ฮ่าฮ่า ทีนี้ข้าก็ไม่ต้องอับอายผู้ใดแล้ว”
ชายหัวโล้นพูดขณะรีบออกไปจากเจดีย์เซียนเหยียบเมฆ
จูจวิ้นหลานติดตามไปไม่ลังเล
หลังจากนั้น เขาก็เดินกลับเข้ามาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
เกออู๋โหยวเข้าใจดีว่าเกิดอะไรขึ้นที่ด้านนอกเจดีย์เซียนเหยียบเมฆ
เด็กหนุ่มถามเสียงเรียบ “ท่านจ้างวานให้ซุนซิงเจ๋อสังหารหลินเป่ยเฉินแล้วไม่ใช่หรือ? เหตุไฉนถึงต้องเสียศิลาบูชาอีก 100 ก้อน เพื่อจ้างวานอู๋จิงอีกคนด้วยเล่า?”
จูจวิ้นหลานตอบว่า “ถึงอย่างไรหลินเป่ยเฉินก็เป็นผู้มีพลังระดับเซียน เกิดซุนซิงเจ๋อรับมือไม่ไหวจะทำอย่างไร? ฮ่าฮ่า อู๋จิงคนนี้สมควรเป็นหลักประกันที่ดีของข้าไม่ใช่หรือ?”