เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 887 กลุ่มแชทตัวประหลาดแห่งแผ่นดินตงเต้า
ตอนที่ 887 กลุ่มแชทตัวประหลาดแห่งแผ่นดินตงเต้า
ตู้กู่จิงหงหันไปถามหนึ่งในศิษย์ที่นำผู้คนออกมาจากหมู่ตึกด้านในก่อนหน้านี้ว่า “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
ศิษย์หนุ่มผู้นี้มีนามว่าซางกวนเฟย อายุประมาณ 25 – 26 ปี ใบหน้าเรียวยาวเหมือนชาวจีนโบราณ ร่างกายสูงโปร่ง ดูดีมีสง่าราศี
ซางกวนเฟยรีบคุกเข่าลง รายงานว่า “กราบเรียนท่านประมุข เป็นศิษย์น้องต้องการออกไปพร้อมกับเยวียนหนงเอง เนื่องจากเยวียนหนงใช้โอกาสนี้ข่มขู่นาง บอกว่าหากศิษย์์น้องไม่ยอมไปด้วย เขาก็จะไม่ไปไหนทั้งนั้น… ข้าน้อยไม่สามารถทำอะไรได้เลย เด็กหนุ่มชุดขาวมีพลังถึงขั้นเซียน แม้แต่ผู้อาวุโสลู่ล่ายก็ยังรับมือเขาไม่ได้ แล้วข้าน้อยจะ…”
“ไร้ประโยชน์”
ตู้กู่จิงหงสบถออกมาด้วยความขัดใจ
ซางกวนเฟยไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีก
ตู้กู่จิงหงหันกลับมามองหน้าผู้อาวุโสลู่ล่ายและกล่าวว่า “ท่านก็คงเห็นแล้วว่าคืนนี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง คิดไม่ถึงเลยว่าเยวียนเหวินจวิ้นจะมีมิตรสหายฝีมือแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ พวกเราพ่ายแพ้แล้วจริงๆ สำนักแสงตะวันเกือบจะต้องถึงคราวดับสูญ นี่ไม่ใช่เพราะว่าพวกเราอ่อนแอมากเกินไป แต่เป็นเพราะอีกฝ่ายแข็งแกร่งมากเกินไปต่างหาก”
ไม่เพียงแต่แข็งแกร่งเท่านั้น ศัตรูของพวกเขายังเจ้าเล่ห์มากเกินไปอีกด้วย
ผู้อาวุโสลู่ล่ายพ่นลมผ่านทางจมูกด้วยความฉุนเฉียว “เมื่อเวลานั้นมาถึง เจ้ารับหน้าที่อธิบายก็แล้วกัน”
เขาหยุดชะงักไปเล็กน้อย ก่อนถาม “บุตรสาวของเจ้ารู้เรื่องราวมากเพียงใด?”
ตู้กู่จิงหงตอบกลับด้วยความหวั่นใจ “ท่านผู้อาวุโสได้โปรดวางใจ นางไม่รู้อะไรทั้งนั้น”
“ก็หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น”
ผู้อาวุโสลู่ล่ายถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก แต่สีหน้าก็ยังเคร่งเครียดอยู่เช่นเดิม
ทันใดนั้น แหวนหนังงูที่เขาสวมใส่อยู่บนมือขวาก็เกิดอาการสั่นสะเทือนเล็กน้อย
ผู้อาวุโสลู่ล่ายมีสีหน้าเปลี่ยนแปลงไป แสดงออกถึงความประหลาดใจ เจือปนด้วยความหวาดกลัวอีกเล็กน้อย
…
“ที่มาที่ไปของท่านผู้อาวุโสลู่ล่ายค่อนข้างลึกลับมากเจ้าค่ะ สิบปีก่อน ตอนที่พ่อข้าเข้าไปล่าสัตว์ในหุบเขาเทียนอวิ๋นนอกนครหลวง ท่านพ่อพบเจอเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส ร่างกายถูกเผาไหม้ด้วยไฟของมังกรดิน เห็นดังนั้น ท่านพอจึงเสี่ยงชีวิตเข้าไปช่วยเหลือเขาออกมาและนำเขามาพักรักษาตัวอยู่ในนครหลวง”
“หลังจากนั้น ท่านพ่อถึงได้รู้ว่าคนแปลกหน้าผู้นี้มีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ตอนปลาย และด้วยความช่วยเหลือของผู้อาวุโสลู่ล่าย สำนักแสงตะวันจึงขยายฐานอำนาจสร้างความยิ่งใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นสำนักยุทธ์อันดับหนึ่งในนครหลวงได้ในที่สุดเจ้าค่ะ”
ระหว่างที่โดยสารอยู่บนรถม้า ข้อสงสัยในใจของหลินเป่ยเฉินได้รับการคลี่คลายโดยตู้กู่อู๋อิง
บุตรสาวของจ้าวสำนักแสงตะวันให้ความเคารพต่อหลินเป่ยเฉินมากทีเดียว
ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง
หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นทำท่าดันแว่นด้วยความเคยชิน
เหตุการณ์ครั้งนั้นมีความเป็นไปได้อยู่สองอย่าง
อย่างแรก ผู้อาวุโสลู่ล่ายน่าจะเป็นยอดฝีมือจากจักรวรรดิอื่นและด้วยเหตุผลบางประการ เขาหนีการตามล่ามาถึงที่นี่ ประจวบเหมาะกับได้พานพบตู้กู่จิงหง จึงอาศัยสำนักแสงตะวันแห่งจักรวรรดิเป่ยไห่เป็นที่ซ่อนตัวจากศัตรูตลอดมา
ส่วนอีกความเป็นไปได้ก็คือ ผู้อาวุโสลู่ล่ายคนนี้ไม่ได้บาดเจ็บหรือหนีการตามล่าของใครทั้งนั้น แต่เป็นการวางแผนอย่างรอบคอบรัดกุมในการเข้าหาตู้กู่จิงหงอย่างมีเจตนาแอบแฝง และใช้อีกฝ่ายเป็นหุ่นเชิดในการควบคุมสำนักแสงตะวันในที่สุด
หลินเป่ยเฉินคิดไม่ตกจริงๆ
ถ้าเป็นอย่างหลัง สงสัยหลังจากนี้คงต้องระวังตัวสักหน่อยแล้ว
ถึงผู้อาวุโสลู่ล่ายจะมีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ตอนปลาย แต่การจะยกระดับสำนักยุทธ์สักแห่งให้ขึ้นมาเชิดหน้าชูตาได้เช่นนี้ ย่อมไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถทำกันได้สำเร็จในเวลาเพียง 10 ปี – 20 ปี
หลินเป่ยเฉินรู้สึกว่าจักรวรรดิเป่ยไห่เป็นเสมือนเค้กก้อนใหญ่ที่ทุกคนต่างก็อยากจะเข้ามารับประทานสักคนละหลายๆ คำ
หลังจากนั้น
รถม้าก็เเล่นมาถึงตึกที่ทำการสมาคมสำนักศึกษาระดับสูงประจำเมืองเป่ยไห่
มันเป็นตึกสองชั้น ลักษณะราบเรียบธรรมดา พื้นที่หน้าหลังประกอบด้วยสวนกว้างใหญ่ ล้อมรอบด้วยกำแพงอิฐสีแดง บนก้อนหินมีคราบตะไคร่ขึ้นเขียวครึ้ม บ่งบอกได้ถึงความเก่าแก่เป็นอย่างดี
นี่ก็เป็นเวลาที่ดึกมากแล้ว
แสงโคมไฟจากข้างถนนริบหรี่ อาคารสองชั้นหลังนี้ชวนให้ผู้คนเกิดความรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ
รถม้าชะลอความเร็วก่อนหยุดลงอย่างแช่มช้า
ทุกคนก้าวลงมาจากรถม้า
“ขอบคุณสหายน้อยที่ช่วยเหลือ”
เยวียนเหวินจวิ้นเปลี่ยนเสื้อผ้ามาสวมใส่ชุดที่สะอาดขึ้นและประสานมือคำนับด้วยความสุภาพอ่อนน้อม “เมื่อพบเจอกันแล้ว นับว่ามีบุญวาสนาต่อกัน ไม่ทราบว่าคุณชายจะให้เกียรติขึ้นไปดื่มน้ำชากันสักถ้วยได้หรือไม่?”
สายตาของทุกคนหันมาจ้องมองที่หลินเป่ยเฉิน
แม้แต่พวกของหลี่ซิวเยวียนที่รู้จักกู่เทียนเล่อมาก่อนหน้านี้ ยามจ้องมองใบหน้าของเขาตรงๆ ทุกคนก็ยังอดเกิดความรู้สึกกดดันไม่ได้
ต้องไม่ลืมว่าอีกฝ่ายมีพลังถึงขั้นเซียน
เปรียบเสมือนสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในตำนานสำหรับกลุ่มศิษย์สำนักศึกษาในนครหลวง
อย่าว่าแต่ได้พบปะพูดคุยเลย ขอแค่ใครสักคนได้มองเห็นยอดฝีมือระดับเซียนอยู่ไกลๆ ก็สามารถนำไปคุยโวโอ้อวดได้อีกนานสองนาน
เพราะฉะนั้น กลุ่มเด็กหนุ่มเด็กสาวจึงคิดไม่ถึงเลยว่าตนเองจะมีวาสนาเช่นนี้
การมีชีวิต…
ช่างเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมาย!
“ขอบคุณอาจารย์สำหรับคำเชิญขอรับ”
หลินเป่ยเฉินส่ายศีรษะปฏิเสธ “แต่ข้ามีเรื่องอื่นให้ต้องทำ และจำเป็นต้องรีบกลับไปให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้”
ความผิดหวังปรากฏขึ้นบนสีหน้าของเยวียนเหวินจวิ้น “ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้าก็คงมิอาจรั้งตัวคุณชาย”
หลินเป่ยเฉินพยักหน้า หันไปมองพวกของหลี่ซิวเยวียน กานเซียวซวงและคนอื่นๆ ก่อนยิ้มเล็กน้อย ตบไหล่หลี่ซิวเยวียน ลูบหัวกานเซียวซวงและพูดว่า “ไม่ต้องมองข้าด้วยสายตาเช่นนี้หรอก ข้าก็แค่หนุ่มหล่อที่ผ่านทางมาเท่านั้น ส่วนเรื่องที่บอกว่าข้ามีพลังอยู่ในขั้นเซียน ข้าแค่โกหกเพื่อทำให้พวกสำนักแสงตะวันหวาดกลัวเท่านั้นเอง อุ๊วะฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!”
“ว่าไงนะ?”
“ท่านพูดจริงหรือ?”
“พี่กู่ ท่านร้ายกาจเกินไปแล้ว”
กลุ่มศิษย์สาวอุทานออกมาด้วยความเหลือเชื่อ
หลินเป่ยเฉินระเบิดเสียงหัวเราะอย่างชอบใจ “แต่ไม่ว่าข้าจะเป็นผู้มีพลังระดับเซียนจริงหรือไม่ มิตรภาพระหว่างพวกเราคงไม่ใช่คำโกหกหรอกกระมัง?”
“แน่นอนเจ้าค่ะ”
กานเซียวซวงพยักหน้าอย่างร้อนรน แสดงอาการดีใจออกนอกหน้า
หลี่ซิวเยวียนก็พูดออกมาเช่นกันว่า “ไม่ว่าศิษย์พี่กู่จะเป็นอะไร พวกเราก็จะเป็นสหายกันตลอดไป ตราบเท่าที่ศิษย์พี่กู่ต้องการขอรับ”
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ” หลิวเหวินฮุยพยักหน้ารับคำอย่างหนักแน่น
“ข้าขอเป็นสหายด้วยอีกคนได้หรือไม่”
เยวียนหนงส่งเสียงแทรกขึ้นมา
หลินเป่ยเฉินหันกลับไปมอง
มือกระบี่หนุ่มชื่อดังแห่งนครหลวงมีฟันขาว ริมฝีปากแดง คิ้วโก่ง ดวงตาเป็นประกาย ใบหน้าหล่อเหลามีเสน่ห์ ร่างกายกำยำสมส่วน
แต่ถ้านำมาเทียบกับข้า เจ้าก็ยังห่างชั้นอีกหลายขุม
หลินเป่ยเฉินบอกกับตัวเองเช่นนั้น
“ย่อมได้ขอรับ”
หลินเป่ยเฉินพยักหน้า สุดท้ายก็หันไปประสานมือคำนับเยวียนเหวินจวิ้น “อาจารย์เยวียน ข้าน้อยขออำลา”
พูดจบ เขาก็หมุนตัวเดินขึ้นรถม้า
กึกกึกกึก
รถม้าวิ่งไปช้าๆ บนถนนที่มีแสงโคมไฟสลัว ก่อนจะเลี้ยวมุมลับสายตาไป
เยวียนเหวินจวิ้นและคณะลูกศิษย์เองก็หันหลังเดินเข้าไปในตึกสำนักงานเช่นกัน
ด้านในจุดตะเกียงสว่างไสว
กานเซียวซวงและศิษย์สาวคนอื่นๆ รีบไปอุ่นอาหารที่สั่งห่อกลับมาจากโรงเตี๊ยมก่อนหน้านี้ ซึ่งอาหารแต่ละชนิดเป็นอาหารขึ้นชื่อของโรงเตี๊ยมทั้งสิ้น
หลังจากนั้น
เยวียนเหวินจวิ้นขอตัวไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เมื่อกลับมาสวมใส่เสื้อผ้าของตนเองอีกครั้ง ทุกคนจึงมานั่งล้อมวงรอบโต๊ะอาหารขนาดใหญ่และเริ่มต้นรับประทาน
“พวกเจ้าไปเชิญกู่เทียนเล่อผู้นั้นมาได้อย่างไร?”
อาจารย์ผู้โด่งดังและได้รับความเคารพจากทุกคนอดถามขึ้นมาไม่ได้
เยวียนเหวินจวิ้นเคยได้รับทราบข่าวแล้วว่าก่อนหน้านี้กู่เทียนเล่อช่วยเหลือพวกของหลี่ซิวเยวียนบุกเข้าไปชิงตัวหลิวเหวินฮุยกลับคืนมาจากสถานทูตของพวกจักรวรรดิจี้กวง
แต่เขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเด็กหนุ่มปริศนาคนนั้นจะมาช่วยเหลือตนเอง
กลุ่มลูกศิษย์ยิ้มออกมาด้วยความเบิกบานใจ
หลี่ซิวเยวียนรับหน้าที่อธิบายเหตุการณ์ทั้งหมด
“นับเป็นมือกระบี่ที่แท้จริง”
เยวียนหนงได้ยินดังนั้นก็ปรบมือด้วยความชื่นชม
ตัวเขามีนิสัยเป็นนักเคลื่อนไหว ยอมหักไม่ยอมงอ ชื่นชอบการคบหามิตรสหายที่เป็นวีรบุรุษผู้กล้า มิฉะนั้น เยวียนหนงก็คงไม่ตัดสินใจสมัครเป็นทหารชายแดนเหนือ เพื่อไปช่วยเหลือผู้คนและปกป้องประเทศชาติหรอกกระมัง
เมื่อรับฟังเรื่องเล่าของหลี่ซิวเยวียนจบลง เยวียนหนงก็รู้สึกว่ากู่เทียนเล่อคนนี้ควรค่าที่จะคบหาเป็นมิตรสหายอย่างยิ่ง น่าเสียดายที่อีกฝ่ายไม่ยอมอยู่ต่อ มิฉะนั้น พวกเขาคงได้ดื่มสุรากันหลายจอกแล้ว
“นับว่าพวกเจ้าโชคดีจริงๆ”
เยวียนเหวินจวิ้นถอนหายใจออกมาด้วยความตื้นตันใจ “การเดินขบวนของพวกเจ้าทำให้มีวาสนาได้พบกับผู้มีพลังขั้นเซียน ซ้ำเขายังเป็นแสงสว่างช่วยนำพาอาจารย์หนีขุมนรกออกมาได้สำเร็จอีกด้วย”
“ผู้มีพลังขั้นเซียนหรือเจ้าคะ?”
กานเซียวซวงถามออกมาด้วยความใสซื่อ “เอ๋? แต่เมื่อสักครู่ ศิษย์พี่กู่เพิ่งบอกว่าเขาเพียงตั้งใจข่มขู่พวกของสำนักแสงตะวันเท่านั้นนะเจ้าคะ เขาไม่ได้มีพลังขั้นเซียนจริงๆ สักหน่อย”
“เจ้าจะไปรู้อะไร” เยวียนเหวินจวิ้นยิ้มออกมาเล็กน้อยและอธิบายต่อไปด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ที่เขาพูดเช่นนั้นก็เพื่อทำให้พวกเจ้าไม่ต้องรู้สึกกดดันต่างหาก พวกเจ้าลองคิดทบทวนดูให้ดี มือกระบี่ทั่วไปจะสามารถจัดการจ้าวสำนักแสงตะวันและผู้อาวุโสลู่ล่ายได้อยู่หมัดถึงเพียงนี้หรือ? เป็นไปได้หรือที่พวกเขาจะถูกหลอกง่ายๆ เช่นนี้?”
“อ้า ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เอง…”
กานเซียวซวงพลันกลับไปมีสีหน้าเศร้าหมองอีกครั้ง
“ที่อาจารย์บอกกับพวกเราเช่นนี้ เพราะเกรงว่าพวกเราอาจจะเผลอล่วงเกินผู้มีพลังระดับเซียนโดยไม่รู้ตัวใช่ไหมเจ้าคะ?”
หลิวเหวินฮุยถาม
เยวียนเหวินจวิ้นส่ายหน้า ตอบว่า “ไม่ใช่อย่างนั้น สิ่งที่อาจารย์ต้องการจะบอกก็คือ ในเมื่อกู่เทียนเล่อยอมคบหาพวกเจ้าเป็นมิตรสหาย พวกเจ้าก็จงทำตัวให้ดี อย่าทำให้เขาต้องผิดหวังที่คบหาพวกเจ้าเป็นมิตรสหายเด็ดขาด”
เมื่อได้ยินดังนั้น กลุ่มลูกศิษย์ก็รับคำในลำคอ
ในที่สุด การช่วยเหลือท่านอาจารย์ก็ผ่านพ้นไปอย่างราบรื่น
ทุกคนกลับมามีความสุขอีกครั้ง
มีเพียงตู้กู่อู๋อิงคนเดียวเท่านั้นที่สีหน้าเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา หลายครั้งนางอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็เปลี่ยนใจในท้ายที่สุด
เมื่อรับประทานอาหารเสร็จสิ้น ทุกคนที่เหนื่อยมากก็นอนหลับพักผ่อนอยู่ในสมาคมแห่งนี้
เยวียนเหวินจวิ้นปลีกตัวไปอยู่ในห้องทำงานเพียงลำพัง และคิดอะไรบางอย่างอยู่ทั้งคืน
ก๊อกก๊อกก๊อก!
สุดท้าย ตู้กู่อู๋อิงก็รวบรวมความกล้า เดินมาเคาะประตูห้องทำงานของอาจารย์เยวียนได้สำเร็จ
…
“ตู้กู่อู๋อิงคนนี้มีบางอย่างแปลกๆ แฮะ”
หลินเป่ยเฉินนั่งคิดอยู่ในรถม้า
แต่เรื่องนี้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเขาสักหน่อย
สิ่งที่หลินเป่ยเฉินควรสนใจก็คือการประลองเดิมพันชีวิตในอีกสิบวันข้างหน้าต่างหาก
“ถึงเราจะมีพลังปราณธาตุห้าชนิดก็จริง แต่จะเปิดเผยให้ทุกคนเห็นหมดคงไม่ดีแน่”
หลินเป่ยเฉินนั่งคิดหน้าเครียด
การประลองครั้งนี้ เขาจะพลาดไม่ได้เป็นอันขาด
ต้องไม่ลืมว่าความพ่ายแพ้หรือชัยชนะในครั้งนี้ มีอนาคตของจักรวรรดิเป็นเดิมพัน
และมันก็คงช่วยขจัดความเข้าใจผิดที่มีคนพยายามปล่อยข่าวลือเกี่ยวกับตัวเขาได้แน่
หลินเป่ยเฉินสงสัยว่าเรื่องที่มีคนแอบปล่อยข่าวลือในแง่ร้ายเกี่ยวกับเขานั้น ต้องเป็นฝีมือของพวกตระกูลเว่ยแห่งมณฑลเฉียนเกาอย่างแน่นอน
รอให้เขาจัดการเรื่องราวในนครหลวงเสร็จเมื่อไหร่ เป้าหมายต่อไปของหลินเป่ยเฉินก็คือการกวาดล้างตระกูลเว่ย
หลินเป่ยเฉินสาบานกับตนเองอยู่ในใจ
ทันใดนั้น ได้ยินเสียงแจ้งเตือนจากโทรศัพท์มือถือ
หลินเป่ยเฉินนำโทรศัพท์ออกมาดูหน้าจอ และเห็นตัวหนังสือสีแดงกะพริบอยู่บนมุมโลโก้ของแอป QQ
แจ้งเตือนอะไรกันนะ?
ไม่ปกติแล้วสิ
เด็กหนุ่มจำได้ว่าตอนดาวน์โหลดและติดตั้งแอป QQ เขาไม่มีรายชื่อเพื่อนอยู่ในแอปนี้เลยสักคน
ดังนั้น หลินเป่ยเฉินรีบกดเข้าไปในแอป QQ โดยเร็ว
‘ท่านได้รับข้อความแจ้งเตือนจากระบบ กรุณาเปิดอ่าน’
ข้อความแจ้งเตือนจากระบบ?
คงไม่ใช่โฆษณาหรอกมั้ง
หรือถ้าเป็นโฆษณาจริงๆ มันจะเป็นโฆษณาผลิตภัณฑ์ในโลกแห่งวรยุทธ์ หรือเป็นโฆษณาผลิตภัณฑ์ในโลกมนุษย์ใบเก่ากันแน่?
หลินเป่ยเฉินกดเข้าไปดูข้อความด้วยความสงสัย
และเขาก็ได้พบกับคำเชิญให้เข้าร่วมกลุ่มแชท
‘ผู้ใช้บัญชี ‘กระบี่มังกรเบิกฟ้า’ เชิญท่านให้เข้าร่วมกลุ่มแชท ‘ตัวประหลาดแห่งแผ่นดินตงเต้า’ ต้องการเข้าร่วมหรือไม่?’
มีคนดึงเขาเข้ากลุ่มแชทเนี่ยนะ?
เพราะอะไร?
ไม่มีเหตุผลเลย
ใครกันจะเชิญคนแปลกหน้าเข้าไปในกลุ่มแชทของตัวเอง?
หรือว่าคนผู้นั้นจะเป็น ‘กระบี่มังกรเบิกฟ้า’ อะไรนั่น?