เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 946 ข้าต้องขอรับค่าจ้างทั้งหมดจากคุณชายจูก่อน
ตอนที่ 946 ข้าต้องขอรับค่าจ้างทั้งหมดจากคุณชายจูก่อน
“ตาเฒ่าคนนี้ ทำไมถึงยังไม่ตาย ๆ ไปเสียทีนะ”
ชายหนุ่มผู้หนึ่งกัดฟันกรอด คำรามด้วยความโกรธแค้น ราวกับเป็นหมาป่าที่ตัวเมียของมันถูกกระชากไประหว่างการสืบพันธุ์ก็ไม่ปาน
ชายหนุ่มผู้นี้ก็คือเสี่ยวสือ
เมื่อเห็นตำแหน่งหัวหน้าตระกูลหลุดลอยไปต่อหน้าต่อตา ความหวังของเสี่ยวสือจึงพังทลาย ถึงกับควบคุมสติของตนเองไม่ได้อีกต่อไป
เพี๊ยะ!
เสี่ยวอี้ต้องตบหน้าชายหนุ่มอย่างแรง “สามหาว เจ้ากล้าพูดถึงท่านหัวหน้าตระกูลเช่นนี้ได้อย่างไร?”
“ท่านปู่ ขะ… ข้าผิดไปแล้ว”
เสี่ยวสือได้สติขึ้นมาอีกครั้งเมื่อถูกท่านปู่ตบหน้าเข้าไปฉาดใหญ่
เสี่ยวอี้จ้องมองห้องประชุมที่ว่างเปล่าด้วยดวงตาโกรธแค้น
“ในเมื่อท่านไม่มีจิตคิดเมตตาต่อคนรุ่นหลัง เพราะฉะนั้น อย่าหาว่าข้าใจดำอำมหิตเกินไป นี่นับเป็นท่านรนหาที่ตายเอง”
เสี่ยวอี้ตัดสินใจได้แล้ว
“เสี่ยวหยวน ท่านไปติดต่อกับฝ่ายนั้น บอกว่าข้าเห็นด้วยกับแผนการของพวกเขา ขอให้ดำเนินการทุกอย่างในงานส่งมอบตำแหน่งหัวหน้าตระกูลอีกสองวันข้างหน้า และวันนั้น คือวันที่เราจะกำจัดตาเฒ่านั่นทิ้งไปซะ”
เสี่ยวอี้พูดด้วยสีหน้าเข้มขรึม
เสี่ยวหยวนรับคำด้วยความกระตือรือร้น “พี่อี้ ในที่สุดท่านก็ตัดสินใจได้แล้ว ประเสริฐ การเป็นพวกเดียวกับกลุ่มพันธมิตรจักรวรรดิส่วนกลาง ย่อมยกระดับตระกูลของพวกเราให้สูงส่งมากยิ่งกว่าเดิมแน่นอน แม้แต่องค์จักรพรรดิก็คงไม่กล้าทำอะไรพวกเราอีกแล้ว ฮ่า ๆๆ ถ้าอย่างนั้น ข้าขอตัวไปติดต่อพวกเขาก่อน”
เสี่ยวหยวนก้าวเดินออกไปจากห้องประชุมด้วยความตื่นเต้น
เสี่ยวอี้หันกลับมามองหน้าหลานชายของตนเองเสี่ยวสือ
“ที่ปู่ตบเจ้าเมื่อสักครู่นี้ เจ้าเจ็บหรือไม่?”
“ท่านปู่สั่งสอนข้าได้ถูกต้องแล้ว เป็นผู้เยาว์พูดจาไม่ยั้งคิดเอง”
“ในเมื่อรู้ตัวว่าผิดก็ดีแล้ว ปู่รักเจ้ายิ่งชีวิต ปู่จะปูเส้นทางทุกอย่างให้เจ้าได้ขึ้นครองตำแหน่งอย่างสะดวกสบาย แต่สิ่งที่ปู่ช่วยเจ้าไม่ได้ก็คือการซื้อใจผู้คน… แต่ไม่ต้องห่วง อีกสองวันข้างหน้า เจ้ากำลังจะได้เป็นหัวหน้าตระกูลคนใหม่ ช่วงเวลาระหว่างนี้ เจ้าต้องรักษาตนเองให้ดี ห้ามออกไปเมามายที่ไหนเด็ดขาด”
“เข้าใจแล้วขอรับท่านปู่”
…
เจดีย์เซียนเหยียบเมฆ
เกออู๋โหยวสวมใส่ชุดสีน้ำเงิน ใบหน้ายังคงหล่อเหลา ในมือยังคงถือถ้วยน้ำชาสามขา เขายกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบดับความร้อนรนในจิตใจ
เขาเพิ่งอนุมัติให้จูจวิ้นหลานกู้ยืมศิลาบูชาไปอีกจำนวนมาก ทั้ งๆ ที่เกออู๋โหยวไม่แน่ใจเลยว่าจะได้กลับคืนมาเมื่อไหร่
“ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าจูจวิ้นหลานไม่เคยผิดหนี้ใคร เมื่อข้ากลับมามีศิลาบูชาเป็นของตนเองอีกครั้ง ข้าจะรีบนำมาชดใช้ให้เจ้าโดยเร็วที่สุด”
จูจวิ้นหลานผู้นั่งอยู่ข้าง ๆ ยกมือตบหน้าอกตนเองเป็นการยืนยันหนักแน่น
“ข้ารู้ดีว่าคุณชายจูมาจากตระกูลใหญ่ ท่านย่อมมีหนทางชำระหนี้คืนข้าได้อยู่แล้ว”
เกออู๋โหยวพูดสิ่งที่สวนทางกับความรู้สึกในใจ
ชีวิตนี้ช่างโหดร้าย
ในที่สุด เกออู๋โหยวก็ต้องดำเนินชีวิตในแบบที่ตนเองเกลียดชังมากที่สุด
“เฮ้อ แต่ครั้งนี้ข้าก็โล่งใจนักเมื่อได้ข่าวว่าหลินเป่ยเฉินตายแล้วจริง ๆ”
จูจวิ้นหลานพูดออกมาด้วยความอารมณ์ดี
เกออู๋โหยวได้ยิน แต่ไม่แสดงความคิดเห็น
เขารู้สึกเศร้าใจเล็กน้อย
หลินเป่ยเฉินนับเป็นเมล็ดพันธุ์ที่ดี มีระดับพลังแข็งแกร่ง เป็นผู้ที่ถูกเลือกจากเทพีกระบี่ สามารถใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างคล่องแคล่ว แต่โชคชะตาชีวิตของคนเราก็เช่นนี้ นับว่าเด็กหนุ่มตายเร็วเกินไปจริง ๆ
ก๊อกก๊อกก๊อก
เสียงเคาะประตูดังขึ้น
เกออู๋โหยวรีบชำเลืองมองไปที่หน้าจอใหญ่ในห้องสังเกตการณ์
“หืม?”
ความประหลาดใจปรากฏขึ้นบนสีหน้า
เนื่องจากภาพที่กำลังปรากฏอยู่บนหน้าจอ คือร่างของใครคนหนึ่งที่ยืนอยู่หน้าประตูเจดีย์เซียนเหยียบเมฆ
เป็นบุรุษก้านยาว ซุนซิงเจ๋อ
เขามาที่นี่ทำไม?
จูจวิ้นหลานก็กำลังสงสัยอยู่เช่นกัน
“เชิญเข้ามาได้”
จูจวิ้นหลานหัวใจเต้นระทึก
หลังจากนั้น
ในห้องโถงใหญ่ที่ชั้นแรกของเจดีย์เซียนเหยียบเมฆ
“คุณชายจู ข้ามีข่าวสำคัญมาบอกท่าน”
ซุนซิงเจ๋อกระซิบกระซาบอย่างมีลับลมคมใน
“เจ้ากำลังจะบอกว่าหลินเป่ยเฉินตายแล้วใช่หรือไม่?”
จูจวิ้นหลานชักสีหน้าด้วยความไม่พอใจ ก่อนพูดต่อ “เรื่องนี้ข้ารู้แล้ว หลินเป่ยเฉินตายด้วยอิทธิฤทธิ์ของลูกศรจากคันธนูเทพเจ้าร่ำไห้”
“ผิดแล้ว” ซุนซิงเจ๋อส่ายศีรษะเล็กน้อย “นั่นเป็นข่าวลือทั้งหมด หลินเป่ยเฉินยังมีชีวิตอยู่รอดปลอดภัย อาการบาดเจ็บของเขาไม่รุนแรง บัดนี้ ยังห่างไกลจากความตายยิ่งนัก”
“ว่าอย่างไรนะ?”
จูจวิ้นหลานกับเกออู๋โหยวอุทานออกมาพร้อมกันด้วยความเหลือเชื่อ
“เจ้ามีหลักฐานหรือไม่?”
จูจวิ้นหลานมองหน้าซุนซิงเจ๋อด้วยแววตาตึงเครียด “เจ้าห้ามโกหกข้าเด็ดขาด”
ซุนซิงเจ๋อนำศิลาบันทึกภาพออกมาก้อนหนึ่ง
“ขอเชิญคุณชายจูดูด้วยตนเอง”
ซุนซิงเจ๋อยื่นส่งศิลาบันทึกภาพก้อนนั้นมาด้วยสองมือ
จูจวิ้นหลานรับศิลาบันทึกภาพมาดูด้วยความสงสัย แล้วภาพที่ถูกบันทึกอยู่ด้านในก็ฉายขึ้นมาในอากาศ
มันเป็นภาพของหลินเป่ยเฉินที่ยังคงมีลูกศรผลึกน้ำแข็งปักอยู่บนหน้าอกฝั่งขวา แต่สีหน้าของเด็กหนุ่มยังยิ้มแย้มมีความสุข และโอบกอดหยอกล้อกับสาวใช้ในอ้อมแขนด้วยความซุกซน ท่าทางยังแข็งแรงดี มิหนำซ้ำ ยังดื่มสุราได้อีกด้วย
นี่น่ะหรือสีหน้าของคนที่กำลังจะตายเพราะได้รับบาดเจ็บสาหัส?
จูจวิ้นหลานหนังหัวชายิบไปเล็กน้อย
เป็นไปได้อย่างไร?
เป็นที่ทราบกันดีว่าสิ่งที่อยู่ในศิลาบันทึกภาพนั้น ไม่สามารถปลอมแปลงขึ้นมาได้
สรุปว่า หลินเป่ยเฉินไม่เพียงยังมีชีวิตอยู่ แต่เขายังแข็งแรงดีอีกด้วย?
“เจ้าได้ภาพนี้มาได้อย่างไร?”
จูจวิ้นหลานถามด้วยสีหน้าหนักใจ
จวนซางจั้วหยวนได้รับการคุ้มกันแน่นหนา คนในห้ามออก คนนอกห้ามเข้า แล้วมีผู้คนเข้าไปบันทึกภาพมาได้อย่างไร?
วิธีการที่เข้าไปได้ต้องไม่ธรรมดา
ซุนซิงเจ๋อตอบว่า “ข้าย่อมมีวิธีการของตนเอง”
“เจ้ามาหาข้าเพียงเพราะต้องการบอกข่าวนี้หรือ?”
“แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่ ข้ามาตามหาคุณชายจู ก็เพื่อขอรับค่าจ้างทั้งหมดขอรับ”
“ค่าจ้างทั้งหมดอันใด?”
“ย่อมต้องเป็นค่าจ้างลอบสังหารหลินเป่ยเฉิน”
“แต่เขายังไม่ตาย”
“บัดนี้ยังไม่ตาย แต่กำลังจะตายในไม่ช้า”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
“ในเมื่อข้ามีวิธีการเข้าไปบันทึกภาพนี้ได้ นั่นก็หมายความว่าข้าสามารถเข้าใกล้เขาได้ตลอดเวลา ด้วยอาการบาดเจ็บของหลินเป่ยเฉินขณะนี้ เขายังจะมีความแข็งแกร่งอยู่สักเท่าไหร่? ข้าย่อมสามารถสังหารเขาได้ตลอดเวลา”
“จริงหรือ?”
“ซุนซิงเจ๋อเป็นคนตรงไปตรงมาไม่เคยโกหก”
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าฆ่าเขาก่อน แล้วข้าจะจ่ายส่วนที่เหลือให้”
“ไม่ได้ ไม่ได้ ครั้งนี้ข้ามั่นใจว่าสามารถสังหารเขาได้แน่นอน เพียงแต่ว่าเมื่อสังหารสำเร็จแล้ว ข้าจำเป็นต้องรีบหนีออกไปนอกจักรวรรดิเป่ยไห่โดยทันที เพราะฉะนั้น ข้าจึงต้องมาขอรับค่าจ้างทั้งหมดจากคุณชายจูก่อนขอรับ”