เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 952 การมีชีวิตอยู่มันแย่นักหรือ
ตอนที่ 952 การมีชีวิตอยู่มันแย่นักหรือ?
ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอยู่นอกเหนือการคาดคิดของทุกคน
เพียงพริบตาเดียว บรรยากาศที่ตึงเครียดก็ทำให้หัวใจของแขกผู้มาร่วมงานเลี้ยงแทบกระดอนออกมาเต้นอยู่นอกอก
เกิดอะไรขึ้น?
สายตาของผู้คนจำนวนมากจ้องมองไปยังร่างที่ยืนอยู่เบื้องหน้าผู้อาวุโสเสี่ยวเหยียน
ชายฉกรรจ์คนนี้มีร่างกายกำยำ บนศีรษะไว้ผมจุกเป็นเอกลักษณ์ แขนและขามีมัดกล้ามเนื้อหนามากกว่าปกติ
หน้าตาของเขาธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง
ออกจะมีลักษณะของคนบ้านนอกอยู่เล็กน้อย
ด้วยรูปลักษณ์เช่นนี้ สมควรที่จะเป็นอันธพาลข้างถนนในดินแดนชนบทห่างไกลความเจริญอย่างยิ่ง
แต่มือแข็งแกร่งที่สามารถทำลายกระบี่ได้ในพริบตา ย่อมเปิดเผยให้เห็นถึงพละกำลังมหาศาล
อีกทั้งชายฉกรรจ์ผู้นี้ยังปรากฏตัวในช่วงวิกฤต สามารถช่วยชีวิตผู้อาวุโสเสี่ยวเหยียนเอาไว้ได้ทันเวลา และถึงกับสามารถกำราบมือสังหารที่มีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์ตอนปลายได้อยู่หมัด นี่หมายความว่าตัวของชายฉกรรจ์ปริศนาเองก็ต้องมีระดับพลังสูงส่งไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
หัวใจของใครหลายคนกระตุกวูบ
โดยเฉพาะหัวใจของสมาชิกตระกูลเสี่ยวจำนวนมาก
ผ่านไปอีกหลายลมหายใจ เสียงคำรามของเสี่ยวสือจึงทำลายความเงียบขึ้นมาว่า “เจ้าเป็นใคร? กล้าดีอย่างไรบุกรุกเข้ามาในจวนตระกูลเสี่ยว? นอกจากก่อกวนความสงบสุขของพิธีส่งมอบตำแหน่ง ยังถึงกับกล้าทำร้ายคนของตระกูลเสี่ยวอีก?”
ชายหนุ่มพูดออกมาด้วยความเดือดดาล
เสี่ยวอี้ เสี่ยวหยวนละพรรคพวก เริ่มมีสีหน้าวิตกกังวลเล็กน้อย
เหตุไฉนถึงมียอดฝีมือยื่นมือเข้ามาแทรกแซงเรื่องราวในตระกูลเสี่ยวได้ล่ะ?
ภายใต้การจ้องมองของดวงตานับไม่ถ้วน ชายฉกรรจ์ผมจุกค่อย ๆ หันกายไปประสานมือโค้งคำนับทำความเคารพผู้อาวุโสเสี่ยวเหยียนอย่างแช่มช้า “ข้าน้อยเป็นองครักษ์ของคุณชายหลิน มีนามว่ากงกง ขอทำความเคารพผู้อาวุโสเสี่ยวเหยียน”
“เจ้า… เจ้าเป็นคนของหลินเป่ยเฉินอย่างนั้นหรือ?”
จั่วเซียงรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาราวกับว่าเคยเห็นหน้าชายฉกรรจ์คนนี้ที่ไหนมาก่อน
“คารวะท่านอัครเสนาบดีจั่วเซียง”
กงกงหมุนตัวกลับมาประสานมือทำความเคารพ “ใช่แล้วขอรับ”
บังเกิดเสียงอุทานในงานเลี้ยงดังอื้ออึง
ไม่ต่างไปจากเสียงของกาต้มน้ำที่กำลังเดือดพล่าน
หลายคนเริ่มมีสีหน้าแปลกประหลาดไปจากเดิม
เสี่ยวอี้ เสี่ยวหยวน เสี่ยวเจิ้น และลูกสมุนย่อมตกตะลึงมากกว่าผู้ใด
“เจ้าเป็นคนของคุณชายหลิน แต่ว่าเขา… เฮ้อ!”
ผู้อาวุโสเสี่ยวเหยียนดวงตาลุกวาว แต่เพียงครู่เดียว แววตาก็กลับมาหมองเศร้าอีกครั้ง
น่าสงสาร
หลินเป่ยเฉินกลับเสียชีวิตไปแล้ว
“ฮ่า ๆๆ นึกว่าใครที่ไหน สุดท้ายก็เป็นแค่สุนัขรับใช้ของเจ้าคนทรยศแซ่หลินนี่เอง”
เสี่ยวสือที่ยืนอยู่บนเวทียกพื้นสูงระเบิดเสียงหัวเราะดังกังวาน
เขาย่อมเกลียดชังหลินเป่ยเฉินเข้ากระดูกดำ
นอกจากเด็กหนุ่มบ้านนอกผู้นั้นจะสามารถสร้างความนิยมในนครหลวงได้อย่างล้นหลามแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือหมอนั่นกลับสนับสนุนเสี่ยวเย่ให้ขึ้นเป็นหัวหน้าตระกูลเสี่ยว และเกือบจะทำให้เสี่ยวสือคนนี้ ต้องสูญเสียตำแหน่งไปอย่างไม่คาดฝัน
แต่อย่างไรก็ตาม เรื่องราวทุกอย่างจบลงแล้ว
หลินเป่ยเฉินได้ตายไปแล้ว
เสี่ยวสือหัวเราะในลำคอ ก่อนจะยกมือชี้หน้ากงกง “ช่างน่าหัวเราะเสียเหลือเกิน เจ้าคนแซ่หลินได้ตายไปแล้ว แต่เจ้ากลับกล้ามาแสดงตัวในจวนตระกูลเสี่ยว และทำลายบรรยากาศความสุขในงานเลี้ยงของพวกเราไม่เหลือชิ้นดี ความผิดของเจ้านั้นสมควร…”
พูดยังไม่ทันจบ
เงาร่างของชายฉกรรจ์ผมจุกก็เคลื่อนไหว
กงกงไปปรากฏตัวอยู่บนเวทีด้วยความรวดเร็วยิ่ง
เพี๊ยะ!
เสียงฝ่ามือปะทะใบหน้าดังสนั่น
โลหิตสาดกระจาย
บัดนี้ ใบหน้าของบุรุษหนุ่มผู้ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าตระกูลเสี่ยวคนใหม่บิดเบี้ยวผิดรูปผิดร่างไปถึงครึ่งหนึ่งแล้ว
โลหิตไหลทะลักออกจากใบหน้า
ร่างของเสี่ยวสือลอยกระเด็นตกจากเวที หล่นลงไปอยู่ท่ามกลางกลุ่มคน
“ใครก็ตามที่กล้าพูดจาล่วงเกินนายท่านของข้า มันต้องตาย”
กงกงยืนอยู่บนเวทียกพื้นสูง สีหน้าว่าเย็นชาแล้ว แต่น้ำเสียงของเขากลับเย็นชามากไปกว่านั้น
เสียงอุทานดังขึ้นจากกลุ่มผู้คนอีกครั้ง
พวกเขารู้สึกหนาวเย็นไปถึงขั้วหัวใจ
ขนลุกซู่ไปทั้งร่างกาย
ชายหนุ่มผู้มีนามว่ากงกงคนนี้ กระทำตัวยโสโอหังเป็นอย่างยิ่ง
“สือเอ๋อร์…”
เสี่ยวอี้ผู้เป็นหัวหน้าตระกูลสาขาสองรีบสลัดความตกตะลึง ร้องอุทานออกมาด้วยความตื่นตระหนก วิ่งเข้ามาดูอาการของหลานรักและพบว่าเสี่ยวสือหมดสติ อาการเป็นตายยากคาดเดา
โดยเฉพาะส่วนปากของชายหนุ่มที่ฟันทุกซี่หลุดออกมาหมดสิ้น
“หลานรักของปู่…”
เสี่ยวอี้ร้องครวญครางเสียใจ ดวงตาเป็นประกายวาวโรจน์ด้วยความโกรธแค้น หลังจากนั้น ชายชราลุกขึ้นยืน หันมาจ้องมองที่กงกงและกล่าวว่า “เจ้าสุนัขรับใช้ วันนี้เจ้าไม่มีทางกลับออกจากจวนตระกูลเสี่ยวอย่างมีชีวิตเด็ดขาด พวกเราฆ่ามันให้ได้!”
เมื่อได้รับคำสั่ง นายทหารในชุดเกราะเหล็กก็ชักกระบี่ออกมากระโดดเข้าไปหากงกง
กงกงยกมือขึ้นและสะบัดแขนวูบไหวด้วยความว่องไว
ครืน!
มวลพลังที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่าแผ่กระจายออกมา
แล้วนายทหารในชุดเกราะเหล็กเหล่านั้น ก็ระเบิดกระจายกลายเป็นม่านหมอกเลือดไปคนแล้วคนเล่า เพียงไม่กี่ลมหายใจเท่านั้น ทั้งคนทั้งกระบี่ก็สูญสลายหายไปสิ้น
แข็งแกร่ง!
และทรงพลัง!!
ความแข็งแกร่งทางด้านการต่อสู้ของชายฉกรรจ์ผมจุกในขณะนี้ทำให้เสี่ยวอี้ เสี่ยวหยวนและพรรคพวกนอกจากรู้สึกโกรธแค้นแล้ว ยังเริ่มรู้สึกร้อนรุ่มใจขึ้นมาอีกด้วย
ผู้ที่ทรงพลังเช่นนี้หากคิดทำลายล้างตระกูลเสี่ยว ย่อมไม่ใช่เรื่องยาก
“พวกเจ้าอย่าได้คิดทดสอบความอดทนของข้า”
ดวงตาของกงกงยังคงเยือกเย็นปราศจากอารมณ์ความรู้สึก
ดวงตาของเขาคล้ายกับเป็นหลุมดำที่ปราศจากก้นหลุม
น้ำเสียงของกงกงทุ้มต่ำ ดังกังวานได้ยินไปถึงขั้วหัวใจของผู้รับฟังทั่วลานจัดเลี้ยง คำพูดเหล่านี้ไม่ต่างจากกระบี่น้ำแข็งที่แทงทะลวงผิวหนังทะลุหัวใจ ทำให้ทุกคนเกิดความรู้สึกราวกับว่าเลือดลมในร่างกายพลันเย็นเฉียบแช่แข็ง
เสี่ยวอี้ก้มลงกอดร่างของเสี่ยวสือผู้บาดเจ็บสาหัส ก่อนจะหันไปหาท่านทูตทั้งสองจากกลุ่มพันธมิตรจักรวรรดิส่วนกลาง ซึ่งนั่งอยู่ตรงโต๊ะของแขกคนสำคัญที่สุดภายในงานวันนี้
“ใต้เท้าขอรับ!”
ชายชราร่ำร้องออกมาด้วยความเจ็บแค้น
“ผู้อาวุโสได้โปรดลุกขึ้นเถิด”
เทพสงครามเซียนมนุษย์จีหวูชวงค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนอย่างเชื่องช้า
เขาล้วงยาเม็ดนึงออกมายื่นส่งให้เสี่ยวอี้พร้อมกับพูดว่า “นำโอสถต้าหวนเม็ดนี้ไปบดให้เป็นผงละเอียด ก่อนนำไปละลายในน้ำร้อน และนำมาราดบนบาดแผลของหลานชายท่าน เพียงเท่านี้อาการบาดเจ็บของเขาก็จะทุเลาแล้ว”
“ขอบคุณท่านทูตมากขอรับ”
เสี่ยวอี้รับโอสถเม็ดนั้นไปถือด้วยสองมืออย่างดีใจสุดขีด
“คนผู้นั้นกล่าววาจาล่วงเกินนายท่านของข้า เจ้าแน่ใจหรือว่าอยากจะช่วยเหลือมัน?”
เสียงของกงกงดังมาจากทางเวที
ขณะนี้ ชายฉกรรจ์ผมจุกกำลังจ้องมองมาที่จีหวูชวงด้วยแววตาเรียบเฉย แต่น้ำเสียงบอกชัดเจนว่ากำลังส่งสัญญาณเตือนถึงอีกฝ่าย
จีหวูชวงชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอีกครั้ง
เป็นเสียงหัวเราะที่มีความโกรธแค้นแฝงอยู่หลายส่วน
ไม่ต่างจากเสียงคำรามของมังกรที่ถูกกระตุ้นโทสะ
“ฮ่า ๆๆ คิดไม่ถึงเลยจริง ๆ ว่าในโลกใบนี้ ยังมีคนที่อยากรนหาที่ตายเช่นนี้อยู่ด้วย”
เขาก้าวเดินช้า ๆ ตรงไปทางเวที
ในน้ำเสียงบอกถึงจิตสังหารไม่ปิดบัง
ทันใดนั้น อุณหภูมิในลานจัดเลี้ยงของตระกูลเสี่ยวพลันลดลงอย่างรวดเร็ว
“ข้าจะให้โอกาสเจ้าคุกเข่าขอความเมตตา”
เทพสงครามเซียนมนุษย์จ้องมองไปที่กงกง พูดเน้นย้ำทีละคำ “หากเจ้าอ้อนวอนด้วยความจริงใจที่มากพอ ข้าก็จะทำให้เจ้าได้ตายอย่างไม่ทรมานมากนัก มิฉะนั้นแล้ว เจ้าจะได้รู้ว่าความเจ็บปวดที่สุดในโลกนั้นเป็นเช่นไร…”
น้ำเสียงดุดัน
ต่อให้เป็นบุคคลสมองเสื่อมก็ยังมองออกว่าผู้มีพลังขั้นเซียนจากจักรวรรดิเจิ้งหลงท่านนี้กำลังบันดาลโทสะจริง ๆ
แต่สีหน้าของกงกงกลับเรียบเฉยยิ่งกว่าสีหน้าของจีหวูชวงเสียอีก
“การมีชีวิตอยู่มันแย่นักหรือ? เหตุไฉนเจ้าถึงต้องรนหาที่ตายด้วยการดูหมิ่นนายท่านของข้า?”
น้ำเสียงของชายฉกรรจ์ราบเรียบ ราวกับว่าตนเองไม่ได้กำลังเผชิญหน้าอยู่กับผู้มีพลังระดับเซียนจากต่างแดน
ราวกับว่านี่เป็นการทะเลาะวิวาทระหว่างอันธพาลข้างถนนเท่านั้น
กงกงไม่พูดอะไรอีก นอกจากยกมือขึ้นมาอย่างแช่มช้า
ในมือของเขามีป้ายประจำตระกูลที่แกะสลักเป็นลวดลายมังกรกำลังส่องแสงสว่างเป็นประกาย
นี่หมายความว่าอย่างไร?
ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์เบิกตาโต
ชายฉกรรจ์ผมจุกผู้นี้คิดว่าป้ายเล็ก ๆ ในมือตนเองจะทำให้จีหวูชวงยอมไว้ชีวิตของเขาได้อย่างนั้นหรือ?
ต่อให้นี่เป็นป้ายอาญาสิทธิ์ขององค์จักรพรรดิแห่งจักรวรรดิเป่ยไห่ ยามนี้ก็คงไม่มีความหมายอันใดอีกแล้ว
อย่าว่าแต่นี่เป็นป้ายประจำตระกูลเล็ก ๆ ไม่ทราบที่มาที่ไป
แต่เมื่อสายตาของทุกคนหันกลับมาจ้องมองที่จีหวูชวง พวกเขาก็ต้องตกตะลึงมากกว่าเดิม
เพราะไม่กี่ลมหายใจก่อนหน้านี้ เทพสงครามเซียนมนุษย์ยังคงมีท่าทีก้าวร้าวราวกับพญามังกรพิโรธ ทว่า เพียงเห็นป้ายประจำตระกูลในมือของกงกง สีหน้าของเขาก็แปรเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ใบหน้าพลันขาวซีดไร้สีเลือด ตัวสั่นเทาตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยความหวาดกลัวไม่ต่างไปจากกระต่ายน้อยตัวหนึ่ง
แสดงว่าป้ายประจำตระกูลชิ้นนี้ไม่ธรรมดา
ทันใดนั้น ทุกคนพลันตระหนักถึงบางสิ่งบางอย่าง…