เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 973 การแก้ไขปัญหาอุปสรรคทางด้านภาษา
ตอนที่ 973 การแก้ไขปัญหาอุปสรรคทางด้านภาษา
เรานี่มันอัจฉริยะจริง ๆ
หลินเป่ยเฉินเห็นสีหน้าของชาวเผ่าจันทราขาว ก็รับทราบแล้วว่าอีกฝ่ายเข้าใจการสื่อสารของเขาอย่างชัดเจน เด็กหนุ่มถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก และอดชื่นชมตนเองไม่ได้ที่สามารถใช้ภาษามือได้อย่างดีเยี่ยม
ฮ่า ๆๆ
แค่นี้ก็ไม่มีอุปสรรคทางภาษาอีกแล้ว
เขา…หลินเป่ยเฉินผู้หล่อเหลาที่สุดในปฐพี นอกจากเก่งกาจเรื่องการต่อสู้ ยังเก่งเรื่องการใช้ภาษามืออีกด้วย
บัดนี้ ทั้งสองฝ่ายต่างยิ้มแย้มออกมาอย่างมีความสุข
ในที่สุด เมื่อปรึกษาหารือกันอีกเล็กน้อย ไป๋ซานเยว่ก็ตัดสินใจจะรับทาสรับใช้จากดินแดนภายนอกคนนี้ เข้าไปพักที่เมืองของพวกเขาเป็นการชั่วคราว
เพราะถึงอย่างไรก็ตาม เด็กหนุ่มแปลกหน้าผู้นี้คือคนที่ช่วยชีวิตไป๋เสี่ยวเซียวเอาไว้
ชาวเผ่าจันทราขาวมีจิตใจดีงามบริสุทธิ์ พวกเขารู้ดีว่าคนเรามีบุญคุณต้องทดแทน จะนิ่งเฉยไม่ช่วยเหลือผู้มีพระคุณไม่ได้เด็ดขาด
แต่ก่อนที่ทุกคนจะเดินทางกลับเข้าไปในตัวเมือง บรรดานักรบของชาวเผ่าจันทราขาวก็ขออนุญาตหลินเป่ยเฉิน เพื่อเก็บซากศพของหนูอสูรขนเหล็กยกขึ้นรถเข็นนำกลับเมืองไปด้วย
แม้ว่าเนื้อของหนูอสูรจะมีรสเปรี้ยวนำ ซ้ำยังมีกลิ่นสาบรุนแรง แต่กระดูกของพวกมันมีประโยชน์มาก และแผ่นหนังก็ยังสามารถถลกนำมาใช้งานได้อีกหลายอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงนี้ทรัพยากรของพวกเขาขาดแคลน ของดีมีประโยชน์เช่นนี้คงปล่อยทิ้งให้เสียเปล่าอยู่ที่นี่ไม่ได้
“น่าแปลก ปกติหนูอสูรขนเหล็กออกหากินตอนกลางวันไม่ใช่หรือ? แล้วเหตุไฉนคืนนี้พวกมันถึงออกมาหากินตอนกลางคืน เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
ระหว่างเดินทางกลับเมือง ผู้อาวุโสไป๋ซานเยว่ก็แอบคิดอยู่ในใจ
ในไม่ช้า พวกเขาก็กลับมาถึงกำแพงเมือง
เมื่อผู้อาวุโสไป๋ซานเยว่รายงานสถานการณ์ทั้งหมด หลินเป่ยเฉินก็ได้รับอนุญาตให้เข้าพักในหมู่บ้านของพวกเขาโดยไม่มีปัญหา
ระหว่างทาง เด็กหนุ่มไม่รู้เลยว่าบรรดานักรบชาวเผ่าพูดคุยอะไรกันบ้าง แต่เขาก็รับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าชาวเมืองลับแลแห่งนี้ กำลังจ้องมองมาที่ตนเองด้วยความสงสัยใคร่รู้
และมีผู้คนจำนวนไม่น้อยส่งยิ้มให้เขาอย่างใสซื่อบริสุทธิ์ หลินเป่ยเฉินจึงบอกได้อย่างมั่นใจเลยว่าชาวเผ่าเหล่านี้ต่างเห็นเขาเป็นมิตร ไม่ได้มีเจตนาคิดทำอันตรายแม้แต่น้อย
หากใจดีอย่างนี้ตลอดไปก็ดีสิ
แต่ดูจากสภาพความเป็นอยู่ ชาวเผ่าเหล่านี้น่าจะพบกับความยากลำบากพอสมควร…
เฮ้อ ทำไมคนดี ๆ ถึงต้องเจอชีวิตที่ยากลำบากเสมอเลยนะ
หลินเป่ยเฉินอดถอนหายใจออกมาไม่ได้
ผ่านไปชั่วต้มน้ำเดือด เด็กหนุ่มก็ถูกนำตัวมาพักในกระท่อมร้างหลังหนึ่ง ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางลานโล่งของตัวเมือง
ไม่ใช่ว่าชาวเมืองไม่ไว้ใจหลินเป่ยเฉิน แต่เป็นเพราะว่าสถานการณ์ของชาวเผ่าจันทราขาวในขณะนี้มีบ้านร้างอยู่จำนวนมาก เนื่องจากสภาพแวดล้อมที่โหดร้าย ระบบนิเวศที่แห้งแล้ง แหล่งน้ำที่ขาดแคลน จึงทำให้จำนวนประชากรของพวกเขาลดลงไปอย่างน่าใจหาย
เมื่อผู้อาวุโสไป๋ซานเยว่จัดการหาที่พักให้หลินเป่ยเฉินเรียบร้อยแล้ว ชายชราก็รีบมุ่งหน้าตรงไปยังใจกลางหมู่บ้าน เพื่อตามหาหัวหน้าเผ่าและบอกเล่าสิ่งที่เกิดขึ้นในคืนนี้ให้อีกฝ่ายรับฟัง
หากจะมีคนนอกมาอาศัยอยู่กับชาวเผ่าเป็นระยะเวลายาวนาน บุคคลผู้นั้นต้องได้รับการยินยอมจากหัวหน้าเผ่าและบรรดาผู้อาวุโสคนอื่น ๆ เสียก่อน
หลินเป่ยเฉินแสดงให้เห็นถึงฝีมือการต่อสู้ที่แข็งแกร่ง หากเขายินดีอยู่ร่วมกับชาวเผ่า ก็จะถือเป็นประโยชน์สูงสุดแก่ส่วนรวม และนี่เองก็เป็นหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ทำให้ไป๋ซานเยว่ยอมรับตัวเด็กหนุ่มแปลกหน้าเข้ามาในหมู่บ้าน
ลานหน้าบ้านมีขนาดเล็ก เต็มไปด้วยเศษฝุ่น
หลินเป่ยเฉินยืนกวาดตามองสภาพแวดล้อมรอบกายด้วยความเยือกเย็น
สภาพความเป็นอยู่ที่เขาพบเห็นก็คือ เมืองเล็ก ๆ ที่มีประชากรไม่เกิน 700 คนแห่งนี้ไม่มีชีวิตชีวาเลยแม้แต่น้อย กระท่อมแต่ละหลังมีสภาพชำรุดทรุดโทรม ท้องถนนเป็นหลุมเป็นบ่อ ขนาดเมืองหยุนเมิ่งว่าเป็นเขตชนบทห่างไกลความเจริญมากแล้ว แต่มันก็ยังดูมีความรุ่งเรืองรุ่งโรจน์มากกว่าเมืองโบราณแห่งนี้หลายร้อยเท่า
แต่เสียงของบรรดาสัตว์เลี้ยงที่ดังแว่วมาตามสายลมนั้น ก็ให้ความรู้สึกผ่อนคลายอย่างประหลาด
มันทำให้หลินเป่ยเฉินนึกถึงตอนกลับไปเยี่ยมคุณยายที่บ้านนอก ความรู้สึกเก่าแก่ที่เกือบเลือนหายไปแล้วพลันกลับมาเด่นชัดอีกครั้ง
เด็กหนุ่มอดคิดถึงญาติพี่น้องของตนเองขึ้นมาไม่ได้
ไม่รู้เลยว่าป่านนี้พ่อแม่พี่น้องปู่ย่าน้าอาตายาย ทุกคนกำลังทำอะไรกันอยู่?
โดยเฉพาะคุณยาย
ในกลุ่มหลาน ๆ ทั้งหลาย หลินเป่ยเฉินนับได้ว่าเป็นหลานคนโปรดของคุณยายมาแต่ไหนแต่ไร ช่วงหลายปีที่ผ่านมา คุณยายมีโรคประจำตัวรุมเร้า หัวใจไม่แข็งแรง หลินเป่ยเฉินไม่รู้เลยว่าข่าวการหายตัวไปของเขาจะทำให้อาการของคุณยายแย่ลงหรือไม่?
หลินเป่ยเฉินยืนอยู่ในลานเล็ก ๆ หน้าบ้านพักของตนเอง ดวงตาทอดมองออกไปยังพื้นที่เกษตรกรรมห่างไกล ความรู้สึกเศร้าโศกกัดกินหัวใจ ความรู้สึกอยากกลับบ้านที่ระยะหลังได้จางหายไปจากหัวใจของเขาพลันกลับมาถาโถมราวกับพายุคลื่นทะเลคลั่งอีกครั้ง
ทันใดนั้น…
“ชิจ๊ะ มันมาเอามาโมปูเต…”
ไป๋เสี่ยวเซียว เด็กสาวผู้สวมใส่เสื้อเกราะและกระโปรงหนังสัตว์เดินส่งเสียงทักทายมาแต่ไกล
นางมาพร้อมกับตะกร้าไม้ไผ่ใส่ผลไม้สีเขียวสดที่เก็บเกี่ยวมาจากพื้นที่เพาะปลูกนอกกำแพงเมือง เมื่อมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าหลินเป่ยเฉิน เด็กสาวก็พูดภาษาบางอย่างที่เขาไม่เข้าใจสักคำ
ไป๋เสี่ยวเซียวมีใบหน้าสะสวย รอยยิ้มอ่อนหวาน เรียกได้ว่าเป็นความสวยงามตามธรรมชาติที่แท้จริง
แต่นางกำลังพูดอะไรอยู่นะ?
หลินเป่ยเฉินได้แต่ขมวดคิ้วด้วยความไม่เข้าใจ
สงสัยคงมาขอบคุณเขาที่ช่วยชีวิตนางเอาไว้แหง ๆ
หลินเป่ยเฉินไม่อยากนึกเลยว่าหากนางรู้ความจริงว่าเป็นเขาเองนี่แหละ ที่พาฝูงหนูอสูรขนเหล็กไปหาชาวเผ่านอกกำแพงเมือง เด็กสาวยังจะยิ้มแย้มอ่อนหวานเช่นนี้ให้เขาอีกหรือไม่
“อะบาบะ คารา…”
ไป๋เสี่ยวเซียวหยิบผลไม้สีเขียวมรกตออกมาจากตะกร้าไม้ไผ่ จัดการทำความสะอาดและเด็ดใบทิ้ง ก่อนนำพวกมันมาวางเรียงไว้บนโต๊ะหินเบื้องหน้าหลินเป่ยเฉินอย่างเป็นระเบียบ
อืม…
ถึงจะไม่เข้าใจ แต่หลินเป่ยเฉินก็เดาเอาว่านางคงอยากให้เขารับประทานผลไม้พวกนี้
ต้องไม่ลืมว่าเขาคืออัจฉริยะทางด้านภาษามือ เพียงมองดูท่าทางของเด็กสาว หลินเป่ยเฉินก็เข้าใจทุกอย่าง
“ขอบคุณนะ”
หลินเป่ยเฉินส่งยิ้มโปรยเสน่ห์ ก่อนจะหยิบผลไม้สีเขียวลูกนั้นขึ้นมาถือในมือ เกิดความลังเลเล็กน้อย แต่แล้วก็ลองกัดกินดูคำหนึ่ง
รสชาติเปรี้ยวฝาดเผ็ดร้อนแผ่ซ่านไปทั่วปากทันที
เหมือนเขากำลังกินวาซาบิอยู่ชัด ๆ
“อะไรเนี่ย”
เด็กหนุ่มรีบคายสิ่งที่กินเข้าไปออกมาอย่างเร็วไว
“แน่ใจนะว่านี่เป็นอาหารคน!”
ครั้งสุดท้ายที่เขาต้องรับประทานอาหารรสชาติย่ำแย่เช่นนี้คือเมื่อไหร่กัน?
ต่อให้หลายครั้งหลินเป่ยเฉินแทบหมดตัวไปกับการใช้เงินในโทรศัพท์มือถือ แต่เขาไม่เคยละเลยเรื่องอาหารที่ตนเองรับประทานมาก่อน เดิมที เด็กหนุ่มเห็นว่าผลไม้สีเขียวมรกตเหล่านี้มีหน้าตาน่ารับประทาน ดังนั้น เขาจึงคิดไม่ถึงเลยว่ารสชาติของมันจะออกมาย่ำแย่ขนาดนี้
“อะบะ บีบี…กูรู?”
ไป๋ซานเยว่พูดอะไรบางอย่างด้วยลักษณะเหมือนอยากจะขอโทษ
หลินเป่ยเฉินแคะเศษผลไม้ออกมาจากซอกฟันพลางส่ายหน้าตอบว่า “เจ้าเอากลับไปเถอะ ข้ากินไม่เป็น…”
เด็กสาวคนสวยประจำเผ่าไม่เข้าใจคำพูดของหลินเป่ยเฉิน แต่นางก็รีบเก็บผลไม้ทั้งหมดกลับคืนตะกร้าอย่างไม่รอช้า พร้อมที่จะนำผลไม้เหล่านี้กลับไปเก็บในคลังอาหารอีกครั้ง
บัดนี้ ชาวเมืองกำลังอยู่ในภาวะขาดแคลนอาหารขั้นร้ายแรง
ผลไม้รสเผ็ดเหล่านี้กลายเป็นแหล่งอาหารหลักของทุกคน จะปล่อยทิ้งให้เสียเปล่าไม่ได้เป็นอันขาด
หลินเป่ยเฉินพยายามสื่อสารกับไป๋เสี่ยวเซียวอีกครั้ง
แต่ครั้งนี้ การใช้ภาษามือของเด็กหนุ่มไม่สามารถทำให้อีกฝ่ายเกิดความเข้าใจได้อีกแล้ว
พวกเขาพูดคุยกันอยู่นาน ทำท่าทำทางจนเหงื่อออกท่วมตัว แต่ก็ยังไม่เข้าใจความหมายของกันและกันอยู่ดี
“ปัญหาทางด้านภาษานี่ต้องหาทางแก้ไขจริง ๆ แล้วสิ”
หลินเป่ยเฉินยกมือขึ้นมานวดขมับตนเองขณะเริ่มคิดหาวิธีแก้ปัญหา
หากในโทรศัพท์มือถือมีแอปแปลภาษาให้ใช้งาน อย่างเช่นพวกแอป Google Translate แอป Baidu Translate หรือแอป Yandex Translate ปัญหาเหล่านี้ก็คงสามารถแก้ไขได้ในพริบตาเดียว
แต่น่าเสียดายที่ในแอปสโตร์ของโทรศัพท์มือถือ ไม่มีแอปแปลภาษาให้ดาวน์โหลด
แล้วยังมีทางอื่นอยู่อีกหรือเปล่านะ?
หลินเป่ยเฉินพยายามเค้นสมองขบคิด
ทันใดนั้น เด็กหนุ่มก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
“จริงด้วยสิ”
เขาค้นพบวิธีแก้ปัญหาแล้ว