เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 974 เขาเปลี่ยนไปใช้แซ่จูตั้งแต่ตอนไหน
ตอนที่ 974 เขาเปลี่ยนไปใช้แซ่จูตั้งแต่ตอนไหน?
“น้องสาว…เผ่าของเจ้าพอจะมีตำราอะไรบ้างหรือไม่? ขอเป็นคัมภีร์อะไรก็ได้ แค่มีตัวอักษรอยู่ในนั้นก็พอ…”
หลินเป่ยเฉินพยายามสื่อสารด้วยภาษามืออีกครั้ง
“อะวาย? วาลา กาดา?”
ไป๋ซานเยว่ขมวดคิ้วด้วยความมึนงง ใบหน้าที่สะสวยของนางแสดงออกถึงความไม่เข้าใจ
หลินเป่ยเฉินแก้ปัญหาการอธิบายของตนเอง ด้วยการนำกิ่งไม้มาขีดเขียนเป็นรูปหนังสือบนพื้นดิน
ฉับพลันนั้น ไป๋เสี่ยวเซียวก็เหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่าง
“อะวาคาลา”
นางพูด ก่อนจะหมุนตัววิ่งออกไปจากลานหน้ากระท่อมของหลินเป่ยเฉิน
หลังจากนั้นไม่นาน เด็กสาวก็วิ่งกลับมาอีกครั้งพร้อมกับตำราเล่มหนึ่งจริง ๆ
เห็นไหมล่ะ
เขานี่มันอัจฉริยะทางด้านภาษามือที่แท้จริง
หลินเป่ยเฉินคลี่ยิ้มออกมาด้วยความยินดี และมั่นใจว่าการที่เด็กสาวไปนำตำรากลับมาให้เขาได้สำเร็จ ล้วนเป็นความดีความชอบของเขาเอง
เรื่องราวหลังจากนี้ก็ง่ายขึ้นแล้ว
หลินเป่ยเฉินสแกนตำราเล่มนั้นที่มีความหนาเพียงไม่กี่สิบหน้าเข้าไปในโทรศัพท์มือถือ จากนั้นก็เปลี่ยนมันเป็นแอปพลิเคชัน เหมือนที่เคยทำกับตำราเรียนของสถานศึกษากระบี่ที่สาม
นี่คือความสามารถขั้นพื้นฐานของโทรศัพท์มือถือเครื่องนี้
ตราบใดที่สามารถทำให้มันกลายเป็นแอปพลิเคชันในโทรศัพท์มือถือได้ ตัวอักษรที่อยู่ในนั้นก็ไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป
นี่ก็เกือบจะเหมือนการใช้แอปแปลภาษาแล้ว
“อุ๊ย เสร็จแล้ว”
นี่คือสิ่งที่พิสูจน์ว่า ความจริงนั้นหลินเป่ยเฉินเป็นคนฉลาดมาก
ในแอปสโตร์ปรากฏแอปพลิเคชั่นใหม่ให้ดาวน์โหลด
มันเป็นแอปที่มีชื่อว่า ‘ตำราการเพาะปลูกกวนเจี๋ย’
นี่ไงล่ะ
ตำราที่เด็กสาวนำมาให้เขาสแกนเข้าสู่โทรศัพท์ เป็นตำราแนะแนวเกี่ยวกับการปลูกผลไม้ที่ชื่อว่าต้นกวนเจี๋ย นับว่าเป็นตำราที่ไม่ได้มีความซับซ้อนสูงส่งใด ๆ แต่มันก็เป็นตำราที่บรรจุด้วยตัวอักษรของชาวเผ่าจันทราขาวเอาไว้จำนวนมาก
และเมื่อเปิดใช้งานแอปตำราการเพาะปลูกกวนเจี๋ย อย่างน้อยหลินเป่ยเฉินก็สามารถอ่านตัวอักษรของชาวเผ่าจันทราขาวได้แล้ว ถึงเขาจะพูดไม่ได้ แต่ก็สามารถอ่านและเขียนได้อย่างไม่มีปัญหา
เพียงเท่านี้ ปัญหาในการสื่อสารก็หมดไป
ไป๋เสี่ยวเซียวมองหน้าหลินเป่ยเฉินด้วยความสงสัย
นางประทับใจในตัวเด็กหนุ่มแปลกหน้าผู้นี้ไม่น้อย
ไม่ใช่เพราะว่าเขาช่วยชีวิตของนาง ไม่ใช่เพราะว่าที่มาที่ไปของเขาลึกลับน่าค้นหา แต่เหตุผลสำคัญที่สุดก็คือ… เพราะเขาหล่อ!
ไป๋เสี่ยวเซียวเคยพบเห็นแต่ชายฉกรรจ์นักรบในหมู่บ้าน แต่ละคนหยาบกร้านป่าเถื่อนไร้ความอ่อนโยน ดังนั้น ยามเมื่อนางได้พบเจอกับใบหน้าที่หล่อเหลาของหลินเป่ยเฉิน ท่วงท่าที่สง่างามของหลินเป่ยเฉิน กิริยาอ่อนหวานของหลินเป่ยเฉิน หัวใจของไป๋เสี่ยวเซียวจึงหลอมละลายโดยไม่รู้ตัว
นางจ้องมองหลินเป่ยเฉินและพูดอะไรบางอย่างออกมายาวเหยียด
เด็กหนุ่มยิ้มและโบกมือ ก่อนจะหยิบกิ่งไม้มาขีดเขียนบนพื้นดินว่า…
“ข้าชื่อหลินเป่ยเฉิน เจ้าชื่ออะไร?”
ไป๋เสี่ยวเซียวเบิกตาโตมองตัวอักษรบนพื้นดินด้วยความตกตะลึง
นี่เขารู้ภาษาชาวเผ่าของพวกนางด้วยหรือ?
แล้วทำไมก่อนหน้านี้ถึงไม่สื่อสารกันตั้งแต่แรก?
“ไม่ต้องแปลกใจ ข้าเพิ่งเรียนรู้ภาษาของเจ้าผ่านตำราการเพาะปลูกเล่มนั้น… ข้าไม่ได้เป็นเพียงบุรุษหนุ่มผู้หล่อเหลาที่สุดแห่งเป่ยไห่เท่านั้น แต่ยังเป็นอัจฉริยะทางด้านภาษาอีกด้วย”
ดูเหมือนหลินเป่ยเฉินจะเข้าใจถึงความสงสัยของไป๋เสี่ยวเซียว เขาจึงอธิบายเพิ่มเติมผ่านข้อความบนพื้นดิน
อัจฉริยะทางด้านภาษา?
ใบหน้ารูปไข่ของไป๋เสี่ยวเซียวแสดงออกถึงความสงสัยเปี่ยมล้น
ต่อให้เป็นอัจฉริยะทางด้านภาษา แต่ในเวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจเช่นนี้ เขากลับสามารถเรียนรู้ภาษาใหม่ด้วยตนเองอย่างแตกฉาน จนถึงขั้นอ่านออกเขียนได้เชียวหรือ?
ไป๋เสี่ยวเซียวยิงคำถามใส่หน้าเด็กหนุ่มต่อเนื่อง
หลินเป่ยเฉินโบกมือและเขียนอธิบาย “ข้าฟังไม่ออก พูดไม่ได้ ทำได้เพียงอ่านและเขียนเท่านั้น”
เมื่อได้รับการอธิบายเช่นนี้ ไป๋เสี่ยวเซียวก็เริ่มเชื่อขึ้นมาเล็กน้อย
นางหยิบกิ่งไม้อีกกิ่งหนึ่งมาเขียนข้อความบนพื้นดินว่า “ข้ามีนามว่าไป๋เสี่ยวเซียว… เหตุไฉนท่านปู่ถึงบอกว่าท่านมีแซ่จูล่ะ?”
แซ่จูเนี่ยนะ?
หลินเป่ยเฉินหยุดชะงัก
นี่มันอะไรกันครับเนี่ย?
เขาเปลี่ยนไปใช้แซ่จูตั้งแต่ตอนไหน?
อย่าบอกนะว่า…
ตาเฒ่าที่แปลภาษาก่อนหน้านี้มั่วนิ่มทั้งเพ!!
หลินเป่ยเฉินเริ่มอยากรู้แล้วว่าชายชราที่มีดวงตา แขนและขาอย่างละข้างคนนั้น แปลคำพูดก่อนหน้านี้ของเขาไปว่าอย่างไรบ้าง?
เด็กหนุ่มกำลังจะเขียนคำถามลงบนพื้นดิน แต่แล้วเหตุไม่คาดคิดกลับบังเกิดขึ้น
เขาได้ยินเสียงกรีดร้องด้วยความตื่นตกใจดังมาจากพื้นที่เพาะปลูกห่างไกลออกไปประมาณครึ่งลี้ หลังจากนั้น ก็ตามมาด้วยเสียงร้องไห้ปานใจจะขาด
ชาวเผ่าหลายสิบคนรีบวิ่งไปดูด้วยความตื่นตกใจ
เมื่อไป๋เสี่ยวเซียวเห็นเช่นนี้ นางก็รู้ว่าต้องเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นแล้วแน่ ๆ
เด็กสาวยอดบุปผางามประจำเมืองมีสีหน้าแปรเปลี่ยนไป นางไม่สนใจเขียนข้อความกับหลินเป่ยเฉินอีกแล้ว เด็กสาวโยนกิ่งไม้ในมือทิ้ง ก่อนจะรีบวิ่งตรงไปยังพื้นที่เพาะปลูกด้วยความตื่นตระหนก
หลินเป่ยเฉินวิ่งตามไปดูด้วยความสงสัย
เมื่อเข้าไปใกล้ เขาก็เห็นกลุ่มหญิงชรากำลังนั่งร้องไห้อยู่หน้าต้นไม้ที่เหี่ยวเฉา หลินเป่ยเฉินสังเกตพบว่ามันเป็นต้นของผลไม้สีเขียวมรกตรสเผ็ดเหล่านั้นนั่นเอง
และชาวเผ่าคนอื่น ๆ ที่ยืนรวมตัวกันอยู่ก็มีสีหน้าเศร้าหมองเช่นกัน
ดูเหมือนต้นไม้ที่ตายซากเหล่านี้จะเป็นเรื่องใหญ่ทีเดียว
ชาวเผ่าบางส่วนเดินเข้าไปปลอบใจกลุ่มหญิงชรา และบางส่วนก็เดินเข้าไปสำรวจดูต้นไม้ที่ตายซากอย่างพยายามค้นหาคำตอบว่าพวกมันตายได้อย่างไร…
สภาพพื้นดินของเมืองนี้ขาดสารอาหาร ไม่มีผลไม้ชนิดใดสามารถเพาะปลูกได้เลย นอกจากผลไม้ชนิดนี้เท่านั้น
ก่อนหน้านี้ พวกเขาก็ไม่เคยมีผลไม้ชนิดนี้ให้รับประทานหรอก แต่ด้วยความช่วยเหลือของไป๋ชินหยุน ผู้ได้เข้าไปฝึกวิชาในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ นางเป็นคนค้นพบผลไม้ชนิดนี้และนำกลับมาฝากชาวเผ่าจันทราขาวจากดินแดนที่อันตรายแห่งหนึ่ง
หลายปีต่อมา ชาวเผ่าจันทราขาวก็ต้องพึ่งพาผลไม้ชนิดนี้เป็นอาหารหลัก
แม้ว่าผลกวนเจี๋ยจะมีรสชาติแย่มาก แต่มันก็สามารถเติบโตออกผลอย่างรวดเร็ว ทั้งยังง่ายต่อการดูแลรักษาและเก็บเกี่ยว ดังนั้น มันจึงเป็นแหล่งอาหารที่ช่วยทำให้ชาวเผ่าจันทราขาวรอดพ้นความอดอยากในสภาพแวดล้อมที่โหดร้ายเสมอมา
แต่ไม่มีใครรู้ว่าเพราะเหตุใด ช่วงหกเดือนที่ผ่านมา ต้นกวนเจี๋ยในเขตกำแพงเมืองจึงเริ่มเกิดความเหี่ยวเฉา ไม่ว่าจะเป็นหัวหน้าเผ่า เหล่าผู้อาวุโส และหมอผีประจำเผ่า ต่างก็พยายามหาวิธีแก้ปัญหานี้อย่างสุดความสามารถ
เพื่อความอยู่รอด ชาวเผ่าจันทราขาวถึงกับยอมเสี่ยงอันตราย นำต้นกวนเจี๋ยออกไปปลูกในเขตหุบเขานอกกำแพงเมือง
ปรากฏว่าต้นกวนเจี๋ยเหล่านั้นเติบโตงอกงามได้ก็จริง แต่เมื่อไม่มีกำแพงหินสูงตระหง่านคอยคุ้มกันความปลอดภัย พวกมันส่วนใหญ่จึงมักจะถูกอสูรในป่าทำลายหมดสิ้น หลายครั้งที่ผลกวนเจี๋ยสุกงอมได้ที่ใกล้ถึงเวลาเก็บเกี่ยว แต่พวกมันก็ถูกสัตว์อสูรทำลายหมดสิ้นในช่วงเวลาเพียงคืนเดียว ความพยายามอันยากลำบากของชาวเผ่าจึงสูญสลายหายไปในพริบตา
นอกจากนี้ ระหว่างกระบวนการเพาะปลูก การดูแลและเก็บเกี่ยวนั้น ยังถือเป็นขั้นตอนที่อันตรายสำหรับชาวเผ่าที่จะถูกสัตว์อสูรนอกกำแพงเมืองจับกินเป็นอาหาร ด้วยเหตุนี้ จำนวนประชากรของชาวเผ่าจันทราขาวจึงลดลงเป็นจำนวนมาก
เพราะฉะนั้น ทางที่ดีที่สุดก็คือพวกเขาสมควรดูแลต้นกวนเจี๋ยในกำแพงเมืองให้ดีที่สุด เกิดการคัดเลือกชาวเผ่าผู้มีประสบการณ์เพาะปลูกอย่างโชกโชน 200 คน เพื่อรับหน้าที่ดูแลต้นกวนเจี๋ยเหล่านี้ทั้งวันทั้งคืน โดยหวังว่าพวกเขาจะสามารถยืดชีวิตของต้นผลไม้เหล่านี้ได้สำเร็จ…
คิดไม่ถึงเลยว่าแม้จะใช้วิธีการนี้แล้ว แต่ต้นกวนเจี๋ยก็ยังเหี่ยวแห้งตายซากอยู่ดี
บ่ายวันนี้ กลุ่มหญิงชรารับหน้าที่คอยดูแลต้นกวนเจี๋ย แต่ในเวลาเพียงพริบตาเดียว ต้นกวนเจี๋ยกว่า 30 ต้นกลับเหี่ยวเฉาลงไปต่อหน้าต่อตา…
นั่นจึงเป็นเหตุผลให้กลุ่มหญิงชราร้องไห้ออกมาด้วยความเศร้าโศกเสียใจ
บัดนี้ ชาวเผ่าทุกคนล้วนมีสีหน้าสับสนและเศร้าหมอง
หรือว่าองค์เทพเจ้าแห่งดินแดนรกร้างจะทรงละทิ้งชาวเผ่าจันทราขาวไปเสียแล้ว?
เหตุไฉนต้นกวนเจี๋ยพวกนี้จึงต้องตาย?
“ท่านป้ามู่ ท่านป้าชิง อย่าได้ร้องไห้ไปเลยเจ้าค่ะ นี่ไม่ใช่ความผิดของพวกท่าน…”
ไป๋เสี่ยวเซียวผู้มีสีหน้าหมองเศร้าพยายามปลอบใจกลุ่มหญิงชราอย่างยากลำบาก
นั่นคือสิ่งเดียวที่นางทำได้เท่านั้น
แต่ยังคงไม่มีอะไรดีขึ้น
ไม่มีใครรู้ว่าต้นกวนเจี๋ยเหล่านี้เหี่ยวเฉาลงไปได้อย่างไร
เพราะว่าผลกวนเจี๋ยทุกต้น ก่อนหน้านี้ยังปกติดีทุกอย่าง ไม่มีแมลงกัดกิน ไม่มีกิ่งก้านเสียหาย ไม่มีการติดเชื้อของต้นไม้ ไม่มีปัจจัยทำลายล้างจากภายนอก แต่อยู่ดี ๆ พวกมันกลับมีสภาพเหี่ยวแห้งลงไปโดยไม่มีสัญญาณเตือน…
กระบวนการทั้งหมดนี้สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า
ราวกับว่าพวกมันถูกสิ่งมีชีวิตลึกลับดูดพลังออกไปหมดสิ้น
นี่เป็นไปได้อย่างไร?
หากยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อย ๆ ต้นกวนเจี๋ยก็คงต้องเหี่ยวเฉาไปหมดทั้งเมือง และชาวเผ่าจันทราขาวก็คงไม่สามารถรอดพ้นจากวิกฤตการณ์ครั้งนี้ได้อีกต่อไป
พวกเขาได้แต่หันมามองหน้ากันด้วยความหมดหวัง
ทันใดนั้น หลินเป่ยเฉินกลับพบเห็นเบาะแสบางอย่าง
เขาเดินเข้าไปดูต้นกวนเจี๋ยที่เหี่ยวแห้งต้นหนึ่ง ก่อนจะทาบมือลงไปบนลำต้นของมัน
หลังจากนั้น เด็กหนุ่มก็แสดงสีหน้าประหลาดใจ
หืม?
ต้นไม้ต้นนี้ยังไม่ตาย
มันยังมีชีวิตอยู่
หลินเป่ยเฉินลองโคจรพลังปราณธาตุไม้ของตนเองเข้าไปเล็กน้อย ทันใดนั้น เด็กหนุ่มพลันรับรู้ได้ถึงชีพจรที่เต้นอยู่ในรากไม้ของต้นกวนเจี๋ยต้นนี้
เกิดอะไรขึ้นกันแน่?
หลินเป่ยเฉินขมวดคิ้วและเดินไปสำรวจดูชีพจรของต้นกวนเจี๋ยต้นอื่น ๆ ที่อยู่ในบริเวณเดียวกัน เมื่อมีพลังปราณธาตุไม้คอยช่วยเหลือ ในไม่ช้าเขาก็ได้รับคำตอบ
คิดไม่ถึงเลยว่า
โอกาสเอาชนะใจชาวเผ่าจะมาถึงอีกครั้ง
หลังจากส่งเสียงกระแอมไอเพื่อเรียกความสนใจจากทุกคน หลินเป่ยเฉินก็เดินมาหยุดยืนอยู่ข้างกายไป๋เสี่ยวเซียวและใช้กิ่งไม้เขียนข้อความบนพื้นดินว่า
ต้นไม้เหล่านี้ยังไม่ตาย!!