เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 976 โลกที่แตกสลาย
ตอนที่ 976 โลกที่แตกสลาย
เนื่องจากเขาเป็นผู้สร้างปาฏิหาริย์ได้สำเร็จ หลินเป่ยเฉินจึงกลายเป็นแขกกิตติมศักดิ์ของชาวเผ่าจันทราขาวอย่างไม่ต้องสงสัย
และที่พักของเขาก็เปลี่ยนจากกระท่อมเก่าซอมซ่อ กลายเป็นกระท่อมหินซึ่งตั้งอยู่ใจกลางหมู่บ้าน
และยังมีการ ‘เรียกประชุม’ ครั้งพิเศษอีกด้วย
หลินเป่ยเฉินนั่งลงในห้องประชุมของชาวเผ่าจันทราขาวด้วยความตื่นเต้น การประชุมครั้งนี้จัดขึ้นโดยหัวหน้าเผ่านามไป๋ไห่เฉา ผู้ร่วมประชุมคือผู้อาวุโสระดับสูงของชาวเผ่า นี่จึงหมายความว่าพวกเขายอมรับการมีอยู่ของหลินเป่ยเฉินเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
การประชุมครั้งนี้ว่าด้วยความอยู่รอดในอนาคตของชาวเผ่าจันทราขาว
แผนการในตอนแรกของหลินเป่ยเฉินผิดพลาดไปเล็กน้อย
แต่ดูเหมือนว่าบัดนี้ทุกอย่างจะเข้ารูปเข้ารอยดีแล้ว
แค่ต้องปรับปรุงแผนการขั้นต่อไปเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
แต่อย่างไรก็ตาม คุณชายหลินก็ได้รู้ความจริงว่าก่อนหน้านี้ที่เข้าใจว่าตนเองเป็นอัจฉริยะด้านการใช้ภาษามือนั้น การสื่อสารที่เกิดขึ้นได้ถูกผู้อาวุโสสูงสุดประจำเผ่านามไป๋ซานเยว่บิดเบือนความหมายไปหมดสิ้น
และนั่นก็ทำให้หลินเป่ยเฉินต้องวางแผนการเกี่ยวกับชาวเผ่าจันทราขาวใหม่ทั้งหมด
เด็กหนุ่มออกมานั่งอยู่ในลานหน้าบ้านพักและรับประทานผลกวนเจี๋ยที่หอมหวานอย่างเอร็ดอร่อย
“องครักษ์ส่วนตัวของข้า… เจ้าชื่ออะไรนะ… เจ้านั่นแหละ…”
ระหว่างที่หลินเป่ยเฉินรับประทานผลไม้สีเขียวสด เขาก็พูดขึ้นมาลอย ๆ “เจ้ากลับไปบอกองค์จักรพรรดิว่าข้าแฝงตัวเข้ามาอยู่ในเผ่าจันทราขาวได้สำเร็จแล้ว อย่าลืมให้พระองค์ทรงเตรียมของรางวัลเอาไว้ให้ข้าด้วย… และหากเป็นไปได้ บอกให้พระองค์ทรงเพิ่มศิลาบูชาด้วยก็จะดีมาก”
“รับทราบขอรับ นายท่าน”
เสียงทุ้มต่ำดังขึ้น
และในเงามืดด้านหลังหลินเป่ยเฉิน ร่างของใครบางคนก็ค่อย ๆ เคลื่อนกายออกมา
เจ้าของเงาร่างนั้นมีร่างกายกำยำสูงใหญ่ บนศีรษะไว้ผมจุกอย่างเป็นเอกลักษณ์ ลักษณะท่าทางคล้ายกับเหล่าจอมยุทธ์พเนจร เพียงพริบตาเดียว ชายฉกรรจ์ก็เดินหายลับไปในความมืด
‘กงกงนี่ลองหนได้หรือไงนะ’
หลินเป่ยเฉินคิดขณะเคี้ยวผลกวนเจี๋ย
เสียงฝีเท้าดังขึ้น
ปรากฏว่าเป็นยอดสาวงามประจำเผ่าจันทราขาวไป๋เสี่ยวเซียวกลับมาหาหลินเป่ยเฉินด้วยความอยากรู้อยากเห็นอีกครั้ง
นางมาได้ถูกเวลาพอดี
หลินเป่ยเฉินทำท่าบอกให้นางมานั่งพูดคุยด้วยกัน
เด็กสาวชาวเผ่าผู้นี้ดูจะมีความกระตือรือร้นและตรงไปตรงมาที่สุดแล้ว
ไป๋เสี่ยวเซียวนำบั้นท้ายหนั่นแน่นของตนเองวางลงบนเก้าอี้หินตรงข้ามหลินเป่ยเฉิน ช่วงเอวคอดกิ่ว สองขาเรียวยาวงดงามน่าทะนุถนอมยิ่งนัก
นางมีผิวสีเข้มเช่นคนที่ตากแดดตากลมเป็นประจำ ดวงตาสดใสสกาวราวกับดวงดาวบนท้องฟ้า ชวนให้จ้องมองได้อย่างไม่รู้เบื่อ
หลินเป่ยเฉินย่อมดูออกว่าไป๋เสี่ยวเซียวให้ความสนใจในตัวเขาเป็นพิเศษ
ซึ่งเรื่องนี้จัดการได้ง่ายมาก
‘นี่ น้องสาว พวกเรามาเล่นสนุกกันดีหรือไม่ ข้าจะถามคำถามเจ้า เจ้าก็ตอบคำถามข้า ไม่มีอะไรซับซ้อน แต่รับรองว่าเจ้าไม่ผิดหวังแน่นอน’
หลินเป่ยเฉินใช้กิ่งไม้ในมือเขียนข้อความบนพื้นดิน
เมื่อเห็นตัวอักษรบนพื้นดิน ไป๋เสี่ยวเซียวก็พยักหน้าอย่างกระตือรือร้น
หนึ่งชั่วยามต่อมา
หลินเป่ยเฉินก็หลอกถามข้อมูลจากเด็กสาวมาได้เยอะทีเดียว
เขาได้รู้ข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับดินแดนปริศนาแห่งนี้ทั้งหมด
ชาวเผ่าจันทราขาวเรียกอาณาจักรของตนเองว่าเมืองจันทราขาว
ซึ่งเป็นชื่อเผ่าพันธุ์ของพวกเขา
แต่อันที่จริงนั้น ชาวเผ่าจันทราขาวไม่ใช่ผู้คนของอาณาจักรนี้มาตั้งแต่แรก
พวกเขาเองก็เป็นคนนอกเช่นกัน
ด้วยดินแดนอันไกลโพ้นที่พวกเขาเคยอยู่มีสภาพแวดล้อมยากลำบากต่อการดำรงชีวิตมากเกินไป และดินแดนแห่งใหม่ที่มีคุณสมบัติดีพอต่อการดำรงชีวิตก็หาได้ไม่ง่าย ชาวเผ่าจันทราขาวจึงเดินทางร่อนเร่ไปทั่ว แต่พวกเขาพบเพียงดินแดนที่ยากลำบากมากกว่าเดิม…
ไม่ทราบเลยว่าเหล่าสาวกของเทพเจ้าแห่งแดนรกร้างออกร่อนเร่พเนจรอยู่นานเท่าใด ก่อนที่พวกเขาจะมาพบเจออาณาเขตสนธยาแห่งนี้
ชาวเผ่าจันทราขาวพบเจอที่นี่โดยบังเอิญ และพวกเขาก็ตั้งรกรากอยู่ในอาณาเขตสนธยานับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ตอนแรก ทุกคนเข้าใจว่าตนเองได้ค้นพบดินแดนแห่งความหวัง แต่ในภายหลัง ชาวเผ่าจันทราขาวก็ได้พบกับความเป็นจริงว่า ทรัพยากรของดินแดนแห่งนี้กำลังลดน้อยลงเรื่อย ๆ
แต่ถึงอย่างนั้น พวกเขาก็ตั้งรกรากลงหลักปักฐานอยู่ที่นี่เรียบร้อยแล้ว
ถึงอย่างไร มันก็คงเป็นการดีกว่าออกร่อนเร่พเนจรไปตามดินแดนอื่น ๆ อย่างไร้ความหมาย
นอกจากชาวเผ่าจันทราขาวแล้ว ก็ยังมีอีกสองเผ่าพันธุ์ที่เดินทางมาอาศัยอยู่ในอาณาเขตแห่งนี้ และด้วยความที่ทั้งสองเผ่าพันธุ์นั้นไม่ได้เป็นสาวกของเทพเจ้าแห่งแดนรกร้าง ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขากับเผ่าชาวจันทราขาวจึงเกิดความขัดแย้งกันมาตั้งแต่ต้น…
‘อีกสองเผ่าพันธุ์ที่อยู่ในดินแดนแห่งนี้ หนึ่งมีนามว่าเผ่าพันธุ์กิ้งก่าวายุ พวกมันมีปราณธาตุสายฟ้าโดยกำเนิด ส่วนสองนั้นมีนามว่าเผ่าพันธุ์คนแคระเขียว พวกเขาเป็นกลุ่มคนแคระจอมชั่วร้าย ที่มีร่างกายเป็นสีเขียว…’
‘แต่เมืองของพวกเรามีความแห้งแล้งมากเกินไป และดินแดนแห่งนี้ก็มีความกว้างใหญ่ไพศาล พวกเขาทั้งสองเผ่าพันธุ์จึงไม่ค่อยมายุ่งเกี่ยวกับพวกเราเท่าไหร่ เพราะฉะนั้น เมืองจันทราขาวจึงอยู่รอดปลอดภัยเสมอมา’
‘และในความเป็นจริง ทุกเผ่าพันธุ์ก็พบกับความยากลำบากไม่ต่างกัน ต่างฝ่ายต่างก็ยุ่งอยู่กับการเอาชีวิตรอด จนไม่มีเวลามาทำสงครามสู้รบกันมากกว่าเจ้าค่ะ’
ไป๋เสี่ยวเซียวใช้กิ่งไม้เล็กๆ ขีดเขียนข้อความบนพื้นดินด้วยความคล่องแคล่ว
ไม่ว่าหลินเป่ยเฉินถามอะไรออกมา หากนางรู้ นางก็จะตอบโดยไม่ปิดบัง
สายตาคู่งามที่จ้องมองเด็กหนุ่มนั้นเต็มไปด้วยความเคารพบูชา
‘ข้ามีอีกหนึ่งคำถามที่อยากรู้ เมืองจันทราขาวแห่งนี้ พวกเจ้าไม่ได้สร้างขึ้นมาเองใช่หรือไม่?’
หลินเป่ยเฉินถามอย่างใช้ความคิด
ไป๋เสี่ยวเซียวเขียนตัวอักษรสวยงาม ตอบว่า ‘เมืองของพวกเราเป็นสิ่งที่มีมาอยู่แล้วตั้งแต่ยุคปฐมกาลเจ้าค่ะ’
‘ข้าอยากรู้รายละเอียด’
หลินเป่ยเฉินถามต่อไปด้วยความตื่นเต้น
ไป๋เสี่ยวเซียวเขียนอธิบายว่า ‘เมืองจันทราขาวของพวกเราเป็นเพียงเศษเสี้ยวเล็ก ๆ ของดินแดนที่เรียกว่าแผ่นดินพั่วสุยเจ้าค่ะ แผ่นดินพั่วสุยแบ่งแยกออกเป็นสี่เมืองใหญ่ เมืองเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นมาตั้งแต่ยุคปฐมกาล ไม่มีผู้ใดรู้ว่าใครเป็นคนสร้างเมืองเหล่านี้ขึ้นมา แต่หากไม่มีเมืองเหล่านี้ให้ใช้ป้องกันพวกสัตว์อสูรที่อยู่นอกกำแพงเมือง เกรงว่าพวกเราก็คงต้องถูกพวกมันฆ่าตายไปนานแล้ว…’
หลินเป่ยเฉินพยักหน้าหงึกหงัก
เขาเองก็นึกถึงเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน
แต่ยุคปฐมกาลคืออะไรกันแน่?
เด็กหนุ่มนึกสงสัยขึ้นมาอีกครั้ง
การเล่นเกมตอบคำถามจึงดำเนินต่อไป
หลินเป่ยเฉินได้รับทราบคำตอบสำหรับสิ่งที่ตนเองสงสัยอย่างรวดเร็ว
ว่ากันตามหลักความเชื่อของชนเผ่าจันทราขาว ในจักรวาลนี้ มี ‘โลก’ ขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตมากมายอยู่หนึ่งใบ แต่ภายหลังไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น โลกขนาดใหญ่ใบนั้นจึงได้แตกสลาย ชิ้นส่วนต่าง ๆ ของโลกใบนั้นลอยกระจัดกระจายไปทั่วจักรวาล…
ไม่มีผู้ใดทราบว่าชิ้นส่วนของโลกที่แตกสลายมีมากมายเท่าไหร่ มีขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่เพียงใด พวกเขารู้แต่เพียงว่าเศษชิ้นส่วนเหล่านั้นไม่ต่างไปจากเม็ดทรายในมหาสมุทร บัดนี้ พวกมันกำลังลอยละล่องอยู่ในจักรวาลอันกว้างใหญ่ผ่านวันเวลายาวนาน และเมื่อล่องลอยไปจนถึงจุดหนึ่ง โลกใบใหม่ก็ได้ถูกสร้างขึ้นมาตามเศษชิ้นส่วนของโลกใบเก่าเหล่านั้น…
โลกแต่ละใบล้วนมีเทพเจ้าแต่ละองค์คอยดูแลโดยเฉพาะ
ยามใดที่เทพเจ้ายังคงอยู่ โลกใบนั้นก็ยังอยู่ แต่ตราบใดที่เทพเจ้าไม่อยู่แล้ว โลกใบนั้นก็จะถึงคราวดับสูญ
ชาวเผ่าจันทราขาวมีความเชื่อว่าเทพเจ้าแห่งแดนรกร้างของตนเองถือกำเนิดเกิดขึ้นมาหลังยุคปฐมกาลนี้
ครั้งหนึ่ง เทพเจ้าแห่งแดนรกร้างและชาวเผ่าจันทราขาวเคยอาศัยอยู่ในดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ แต่เมื่อโลกใบใหม่จากเศษชิ้นส่วนของโลกใบเก่าถูกทำลายล้างด้วยสงครามระหว่างทวยเทพ เทพเจ้าแห่งแดนรกร้างจึงต้องออกเร่ร่อนตามหาที่อยู่ใหม่นับตั้งแต่นั้น จนกระทั่งได้มาพบเข้ากับอาณาเขตสนธยาแห่งนี้…