เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此] - บทที่ 989 ให้ไปแค่คนเดียวก็พอแล้ว
ตอนที่ 989 ให้ไปแค่คนเดียวก็พอแล้ว
ความเปลี่ยนแปลงของชายหนุ่มทั้ง 20 คนทำให้ชาวเผ่าจันทราขาวตกตะลึงกันหมดสิ้น
ทุกคนย่อมรู้ดี
ชายหนุ่มทั้ง 20 คนนี้จัดเป็นยอดยุทธ์ที่เก่งกาจที่สุดของชาวเผ่า
แต่พวกเขาไม่ได้แข็งแกร่งถึงระดับนี้
ก่อนหน้าที่ทุกคนจะมาออกกำลังกายกับหลินเป่ยเฉิน ชายหนุ่มทั้ง 20 คนไม่มีความคืบหน้าด้านระดับพลังมานานแล้ว
แต่บัดนี้ ผ่านไปเพียงไม่กี่ชั่วยามเท่านั้น ร่างกายของชายหนุ่มทั้ง 20 คนก็เปลี่ยนแปลงไปราวกับได้เกิดใหม่อีกครั้ง
นี่คือสิ่งที่น่าเหลือเชื่อ
ชาวเผ่าจันทราขาวมีความรู้เกี่ยวกับการฝึกวิทยายุทธ์เพียงเล็กน้อย
พวกเขารู้เพียงอย่างเดียวว่าใครก็ตามที่มีความแข็งแกร่งมากที่สุด ก็จะได้รับโอกาสให้เข้าไปฝึกวิชาในดินแดนศักดิ์สิทธิ์
แต่ชาวเผ่าจันทราขาวมีสภาพร่างกายแข็งแรงโดยกำเนิด แม้จะไม่ได้เข้าใจการฝึกวิทยายุทธ์อย่างลึกซึ้ง แต่เมื่อฝึกวิชามาตั้งแต่เด็ก จวบจนโตขึ้นก็มีพลังเกือบถึงขั้นเซียนแล้ว
ด้วยระดับความเร็วเช่นนี้ หากผู้คนบนแผ่นดินตงเต้ารู้เข้า ก็คงต้องอิจฉาเป็นแน่แท้
ทว่า หลินเป่ยเฉินก็รู้ดีว่าชาวเผ่าเหล่านี้หาใช่มนุษย์เลือดบริสุทธิ์ไม่
หรือกล่าวให้ถูกต้องก็คือ พวกเขาอาจมีสายเลือดของเผ่าพันธุ์ปีศาจเจือปนอยู่ไม่มากก็น้อย!
เพราะฉะนั้น ชาวเผ่าจึงถือกำเนิดเกิดขึ้นมาพร้อมกับความแข็งแกร่ง
แตกต่างจากมนุษย์ทั่วไป
และสำหรับชาวเผ่าจันทราขาว ด้วยร่างกายที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ ยิ่งพวกเขาได้รับการฝึกวิทยายุทธ์อย่างถูกต้องมากเท่าไหร่ ระดับพลังก็ยิ่งแข็งแกร่งมากเท่านั้น
“ทั้งหมดนี้ล้วนแต่เป็นความดีความชอบของผู้อาวุโสจู”
ไป๋เอ๋อร์ไห่และพรรคพวกรีบบอกเล่าถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
หลินเป่ยเฉินไม่ได้พูดอะไรเลยสักคำ
ด้วยว่าเขาตั้งใจให้เรื่องราวนี้แพร่กระจายแบบปากต่อปาก ส่วนตนเองยืนรอรับความดีความชอบเฉย ๆ ก็พอ
เมื่อการบอกเล่าของไป๋เอ๋อร์ไห่จบลง ชาวเผ่าก็มีสีหน้าตกตะลึงกันอย่างแท้จริง
“เป็นความจริงหรือไม่?”
ไป๋ไห่เฉามีดวงตาเป็นประกายแวววาวขณะจ้องมองมาที่หลินเป่ยเฉิน
‘ท่านลองรับประทานดูเดี๋ยวก็รู้’
เมื่อเขียนข้อความบนพื้นดินจบ เด็กหนุ่มก็จัดการเทเครื่องดื่มจากในไหใส่ชามกระเบื้องอีก 40 ใบ
หลังจากมีสีหน้าลังเลเล็กน้อย หัวหน้าเผ่าไป๋ไห่เฉาและเหล่าผู้อาวุโสคนอื่น ๆ ก็ยกชามกระเบื้องขึ้นดื่มของเหลวในนั้น
ผ่านไปชั่วเวลาหนึ่งก้านธูป
ชาวเผ่าจันทราขาวก็ต้องแตกตื่นตกใจกันอีกครั้ง
“เหลือเชื่อที่สุด”
“ท่านทำได้อย่างไร?”
“ผู้อาวุโสจู ท่านเป็นเทพเจ้าที่ลงมาจากสวรรค์ใช่หรือไม่?”
ไป๋ซานเยว่รู้สึกว่าเลือดลมในร่างกายพลุ่งพล่านอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าสดชื่นกระปรี้กระเปร่า ราวกับได้ย้อนคืนสู่วัยหนุ่มอีกครั้ง
ขณะนี้ ร่างกายที่อ่อนล้าพลันกลับมามีชีวิตชีวา
มวลพลังที่ไม่เคยได้สัมผัสมาก่อนค่อย ๆ ไหลเวียนไปทั่วร่างกาย
“ในที่สุด ข้าก็เลื่อนระดับสำเร็จแล้ว”
หัวหน้าเผ่าไป๋ไห่เฉาส่งเสียงร้องด้วยความดีใจ
เสียงร้องตะโกนของเขาดังก้องกังวานไปทั่วทุกทิศทุกทาง
ไป๋ไห่เฉาต้องติดอยู่ในขอบเขตขั้นเซียนระดับสี่มานานแล้ว
แต่บัดนี้ ในที่สุด เขาก็ทะลวงจุดตันและเข้าสู่ขอบเขตขั้นเซียนระดับห้าได้สำเร็จ
“ฮ่า ๆๆ…”
ทันใดนั้น ผู้อาวุโสอีกคนหนึ่งก็เงยหน้าระเบิดเสียงหัวเราะใส่ท้องฟ้าเช่นกัน น้ำตาของเขาไหลพรากขณะพูดว่า “ข้าก็สามารถเลื่อนระดับได้เช่นกัน ข้านึกว่าชีวิตนี้จะไม่สามารถทำได้เสียแล้ว แต่คิดไม่ถึงเลยจริง ๆ …เพียงเท่านี้ อายุขัยของข้าก็จะยืนยาวแล้ว!!”
เสียงโห่ร้องด้วยความตื่นเต้นดังขึ้นทั่วบริเวณ
ชาวเผ่าจันทราขาวไม่เคยมีความสุขมากขนาดนี้มาก่อน
หลินเป่ยเฉินรีบเปิดดูรายชื่อของตัวรับสัญญาณไวไฟ
รายชื่อที่ปรากฏขึ้นมายาวเหยียดนั้นประกอบไปด้วยไป๋เสี่ยวเซียว ไป๋ซานเยว่ ไป๋ไห่เฉา ไป๋เหยียน ไป๋เยว่ซู ไป๋สวีโกว…เรียกว่ารายชื่อของชาวเผ่าทั้งหมดมาปรากฏอยู่ในรายชื่อตัวรับสัญญาณของเขาก็คงไม่ผิดนัก
ทุกคนมีขีดสัญญาณเต็มห้าขีด
นี่แสดงให้เห็นถึงสิ่งใด?
นี่แสดงให้เห็นว่าพวกเขาเชื่อมั่นในตัวหลินเป่ยเฉิน!!
บัดนี้ นับว่าแผนการของเขาสำเร็จแล้วครึ่งทาง
หลินเป่ยเฉินกลับไปยังที่พักของตนเองและนำผลิตภัณฑ์เวย์โปรตีนอีก 10 กระป๋องใหญ่มามอบให้แก่หัวหน้าเผ่าไป๋ไห่เฉา พร้อมกับระบุจำนวนและอัตราส่วนที่ต้องผสมน้ำสำหรับรับประทานระหว่างออกกำลังกายครั้งต่อไป
ไป๋ไห่เฉาอ่านข้อความอธิบายจากเด็กหนุ่มไม่กี่รอบก็เข้าใจทะลุปรุโปร่ง
“ผู้อาวุโสจูกระทำเช่นนี้ ท่านคงกำลังจะไปที่ใดกระมัง?”
ผู้เป็นหัวหน้าเผ่ามีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาทันตา
แน่นอนว่าชาวเผ่าในขณะนี้ไม่อยากสูญเสียหลินเป่ยเฉินไป
หลินเป่ยเฉินพยักหน้า เขียนข้อความตอบว่า ‘ข้าจำเป็นต้องออกไปสำรวจเส้นทาง…’
เขาอยากจะออกไปสำรวจความเคลื่อนไหวของเผ่ากิ้งก่าวายุและเผ่าคนแคระเขียว รวมถึงให้ของขวัญพิเศษเป็นการทักทายพวกมันสักหน่อย
‘บัดนี้ เผ่าจันทราขาวของพวกเราเริ่มกลับมามีความแข็งแกร่งอีกครั้ง อีกไม่นานก็เป็นเวลาที่พวกท่านจะได้แก้แค้น’
หลินเป่ยเฉินเขียนข้อความด้วยสีหน้าและแววตามุ่งมั่น
ข้อความของเขาไม่ต่างจากประโยคศักดิ์สิทธิ์ ทำให้จิตใจของผู้อาวุโสในเผ่าจันทราขาวทุกคนฮึกเหิมขึ้นมาในฉับพลัน
พวกเขาต้องทนแบกรับความเจ็บปวดมานานเกินไป
โศกนาฏกรรมของบรรพชนกลายเป็นฝันร้ายที่คอยหลอกหลอนยามหลับฝัน
เพียงแต่ว่าที่ผ่านมาจำนวนประชากรของชาวเผ่าลดลง พวกเขาจึงไม่มีหนทางแก้แค้น
แต่บัดนี้ ทุกคนมองเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์แล้ว
‘ประเสริฐ… ถ้าอย่างนั้นข้าจะไปกับท่าน’
ไป๋ไห่เฉาเขียนข้อความลงบนพื้นดิน ‘ข้าสามารถช่วยคุ้มกันท่านได้’
หลินเป่ยเฉินส่ายหน้าเล็กน้อย ก่อนจะใช้กิ่งไม้ขีดเขียนตอบกลับ ‘มิกล้ารบกวน หัวหน้าเผ่าสมควรอยู่ดูแลทุกคนที่นี่ หน้าที่ของท่านคือควบคุมให้ทุกคนออกกำลังกายตามกำหนดเดิมต่อไป… นี่คือวิธีเดียวเท่านั้นที่จะสามารถเพิ่มพลังให้แก่พวกท่านได้อย่างรวดเร็วมากที่สุด และนี่เป็นวิธีเดียวเท่านั้นที่จะทำให้พวกท่านเอาชนะสองเผ่าโฉดชั่วเหล่านั้นได้’
หลังจากนั้น เด็กหนุ่มก็หันไปมองหน้าสาวสวยผิวเข้มและเขียนข้อความต่อเนื่อง ‘ให้เสี่ยวเซียวไปกับข้าคนเดียวก็พอแล้ว ข้าแค่จะออกไปสำรวจเส้นทางเท่านั้น ไม่ได้ออกไปต่อสู้ รับรองว่าจะไม่เกิดอันตรายขึ้นกับนางเด็ดขาด’
“แต่ว่า…”
ไป๋ไห่เฉาแสดงท่าทีลังเลเล็กน้อย
แต่หลังจากที่กลุ่มผู้อาวุโสปรึกษาหารือกัน สุดท้าย พวกเขาก็ต้องยอมรับข้อเสนอของหลินเป่ยเฉิน
วูบ!
ลำแสงพุ่งสูงขึ้นไปบนท้องฟ้า
หลินเป่ยเฉินยืนอยู่บนกระบี่เล่มใหญ่ ในอ้อมแขนประคองกอดไป๋เสี่ยวเซียวเหินฟ้าออกไปจากตัวเมือง
“เขาสามารถบินได้…”
ไป๋ไห่เฉามองลำแสงกระบี่บนท้องฟ้าหายวับไปด้วยความตกตะลึงและพูดอะไรไม่ออกอยู่นานสองนาน
“ที่มาที่ไปของผู้อาวุโสจู คงไม่ใช่คนธรรมดาเสียแล้ว”
และมันสมควรเป็นเช่นนั้นที่สุด
“ถูกต้อง นอกจากเขาจะช่วยชุบชีวิตต้นกวนเจี๋ยได้แล้ว เขายังสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งให้แก่เผ่าของเราได้อย่างรวดเร็ว …เหตุไฉนข้าจึงรู้สึกว่าเขากำลังเตรียมพวกเราให้พร้อมรับเหตุการณ์อะไรบางอย่างเลยนะ”
“ข้าเองก็รู้สึกเช่นนั้นเหมือนกัน”
“ข้าด้วย”
“ต่อให้เขามีจุดหมายแอบแฝง แต่เขาก็ไม่ได้ทำร้ายจิตใจพวกเรา”
“ใช่ ข้ารู้สึกว่าคุณชายท่านนี้ ไม่ได้มีประสงค์ร้ายต่อเผ่าเรา”
“การยอมลงนามในสัญญาศักดิ์สิทธิ์ต่อองค์เทพเจ้าพิสูจน์แล้วว่าเขาเป็นคนดี”
บรรดาผู้อาวุโสจับกลุ่มพูดคุยกัน
นี่คือสิ่งที่ยืนยันได้อีกครั้งว่าถึงแม้ชาวเผ่าจันทราขาวจะเป็นคนซื่อ แต่พวกเขาไม่ได้เป็นคนโง่
หลินเป่ยเฉินสามารถสร้างปาฏิหาริย์ได้นับครั้งไม่ถ้วนในระยะเวลาอันสั้น คงมีแต่เพียงหมูโง่ที่หลงเชื่อว่าเขาเป็นทาสหนุ่มธรรมดา ผู้หลบหนีมาจากดินแดนอื่นคนหนึ่งเท่านั้น
“ทุกคนต่างก็มีความลับของตัวเอง”
ไป๋ไห่เฉายิ้มแย้มออกมาเล็กน้อย
ก่อนที่จะหันกลับมามองหน้ากลุ่มผู้อาวุโสและกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ความลับของผู้อาวุโสจูอาจจะยิ่งใหญ่มากเกินไป ในเมื่อเขาไม่อยากพูดออกมา พวกเราก็อย่าถามเลย เพียงเท่านี้ เขาก็ช่วยเรามามากแล้ว ข้ารู้สึกได้ถึงจิตใจอันใสซื่อบริสุทธิ์ของผู้อาวุโสจู ทุกสิ่งที่เขาได้ทำลงไปก็เพื่อพวกเราทั้งสิ้น อย่าคิดอะไรให้มากไปกว่านี้อีกเลย พวกเรามาให้ความร่วมมือกับเขาต่อไปดีกว่า”
กลุ่มผู้อาวุโสพากันพยักหน้า
ไม่มีใครคัดค้าน
ชาวเผ่าที่เคยเผชิญหน้ากับการทรยศหักหลังมาแล้ว ย่อมรู้ดีว่าน้ำใจมิตรไมตรีจิตนั้นมีค่ามากกว่าสิ่งอื่นใด
…
ฟิ้ว!
ลำแสงกระบี่พุ่งผ่านผืนฟ้า
หลินเป่ยเฉินยืนอยู่บนกระบี่สีเงิน
ไป๋เสี่ยวเซียวใช้สองมือของนางกอดเอวเขาแนบแน่นราวกับเป็นงูเหลือมยักษ์รัดพันเหยื่อตัวหนึ่ง
“นี่คือครั้งแรกที่ข้าได้บินบนท้องฟ้า”
เด็กสาวส่งเสียงร้องออกมาด้วยความตื่นเต้น
นี่คือความมหัศจรรย์สำหรับนาง
แม้ว่าผู้คนในเผ่าจันทราขาวจะมีความแข็งแกร่ง แต่ต่อให้มีพลังอยู่ในขั้นเซียน ก็ยังไม่มีผู้ใดสามารถบินบนท้องฟ้าได้สำเร็จ
นี่เป็นผลจากการออกกำลังกายใช่หรือไม่?
หรือเป็นเพราะว่าเขามาจากดินแดนอื่น?
หลินเป่ยเฉินไม่ได้พูดอะไรออกมา
เพราะเขาฟังไม่รู้เรื่อง
ในเวลาไม่ถึงหนึ่งก้านธูป ด้วยการชี้ทางของไป๋เสี่ยวเซียว ทั้งสองก็มาบินวนอยู่เหนือเมืองของเผ่ากิ้งก่าวายุ
ไป๋เสี่ยวเซียวจ้องมองกลุ่มมนุษย์กิ้งก่าเบื้องล่าง ดวงตาร้อนผ่าวด้วยความเกลียดชัง
‘ไม่กี่ปีก่อน ข้าได้ข่าวว่าพวกมันมีขั้นเซียนระดับห้าอยู่ถึงหกตัว ท่านพี่โปรดระมัดระวังตัว’ นางใช้นิ้วมือเขียนข้อความบนแผ่นหลังของเขา ‘ต่อให้เป็นหอกธรรมดาอยู่ในมือของพวกมัน ก็ยังกลายเป็นอาวุธที่น่ากลัว สามารถขว้างปาขึ้นมาบนท้องฟ้าได้ไกลลิบ…’
หลินเป่ยเฉินยิ้มแสยะและพูดว่า “ไม่ต้องเป็นห่วง เพราะวันนี้ ข้าจะใช้วิธียืมดาบฆ่าคน!!”