เซียนคีย์บอร์ด [陆地键仙] - บทที่ 147 ความพยาบาท
เสวี่ยเอ๋อร์หน้าแดง นางรู้สึกอับอายที่ไม่สามารถจัดการกับคนที่ได้รับฉายา ‘ขยะประจำเมือง’ อย่าง ซูอัน ได้ “ข้าเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้นกับข้า แต่จู่ ๆ ข้าก็รู้สึกปวดท้องจนทนไม่ไหว ข้าไม่อาจฝืนสู้ต่อได้ ชายผู้นั้นโชคดีเกินไปจริง ๆ ที่สถานการณ์ต่าง ๆ เข้าข้างเขาได้มากถึงขนาดนี้”
เมื่อนางพูดจบ นางก็นึกขึ้นได้ว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางลงมือเล่นงานซูอันและผิดพลาด อย่างน่าอนาถ
“อืม ไอ้สารเลวผู้นั้นมันโชคดีจริง ๆ ” เหมยเชาฟง พยักหน้าพลางคิดถึงตัวเองเช่นกันที่ ซูอัน สามารถชนะบ่อนเขาได้ซึ่งมันทำให้เขาต้องติดหนี้ถึง 7,500,000 ตำลึงเงิน
ผู้หญิงนี่ช่างไว้ใจไม่ได้เลยจริง ๆ ! นังผู้หญิงคนนี้ชอบทำตัวราวกับว่านางเป็นเจ้าของโลก แต่ท้ายที่สุดนางกลับเป็นคนทำให้เรื่องทุกอย่างมันวุ่นวายมากยิ่งขึ้น ถ้าข้ารู้ว่านางหวังพึ่งไม่ได้มากขนาดนี้ ข้าจะไม่มีทางเขียนไอ้ตั๋วหนี้บ้า ๆ นั่นเด็ดขาดในตอนนั้น!
‘ดูเหมือนว่าข้าคงจะต้องลงมือด้วยตัวเองสินะ!’
หนี้เงิน 7,500,000 ตำลึงเงินเป็นเหมือนคำสาปที่รบกวนจิตใจของเขาตลอดเวลาไม่ว่าเขาจะทำอะไร เขาอดไม่ได้ที่จะกังวลเกี่ยวกับหายนะจากตั๋วหนี้ที่จะตามมาในภายหลัง สิ่งต่าง ๆ จะยังคงสามารถจัดการได้หากตั๋วหนี้ยังคงอยู่ในมือของ ซูอัน แต่ถ้า ซูอัน ส่งต่อมันให้กับคนอื่น แล้วล่ะก็มันจะเป็นหายนะอย่างแท้จริงทันที
เสวี่ยเอ๋อร์ ที่เหมือนจะรู้ทันความคิดของ เหมยเชาฟง รีบเอ่ยขึ้นทันที “เจ้าอย่าคิดจะทำอะไรโง่ ๆ เด็ดขาด ข้ามั่นใจว่าหลังจากนี้ตระกูลฉู่ จะยิ่งเพิ่มการรักษาความปลอดภัยมากขึ้นและแน่นอนว่า ซูอันคงจะมีทหารยามคอยปกป้องอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าเจ้าคิดจะทำอะไรโอกาสที่เจ้าจะสำเร็จนั้นน้อยมาก” “แล้วถ้าอย่างงั้นข้าควรทำยังไง!?” เหมยเชาฟง โกรธจัด ในท้ายที่สุดสถานการณ์ทุกอย่างมันคงไม่เลวร้ายขนาดนี้หากผู้หญิงคนนี้ไม่ทำให้ตระกูลฉู่ตื่นตัว “เราไม่สามารถแตะต้องเขาในคฤหาสน์ตระกูลฉู่ได้ และมันยิ่งเป็นไปไม่ได้ในสถาบันจันทร์กระจ่าง อันที่จริงข้าสงสัยว่าการตายของดอกบ๊วยสิบสอง อาจเป็นการกระทำของสถาบันจันทร์กระจ่างด้วยซ้ำ!”
ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงรายงานจากดอกบ๊วยสิบสามที่เขาเคยได้รับมา ซูอัน เคยสนทนา อย่างเป็นกันเองกับ ซางหลิวอวี้ ในศาลาด้านนอกสถาบันซึ่งมันทำให้เขายิ่งคิดว่าสิ่งที่เขาคิดเอาไว้มันยิ่งน่าจะเป็นไปได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาถึงทุกสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ แต่มีสิ่งหนึ่งที่เขายังไม่เข้าใจเท่าไหร่ก็คือ เขาไม่เข้าใจว่าขยะอย่าง ซูอัน มันได้รับการช่วยเหลือจากบุคคลที่มีชื่อเสียงมากมายแบบนี้ได้อย่างไร
จู่ ๆ รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้าซีดเซียวของเสวี่ยเอ๋อร์ “ไม่ต้องกังวล ข้ามีวิธีการบางอย่าง ที่สามารถเล่นงานเขาได้จนเขาต้องถูกขับไล่ออกจากสถาบันในไม่ช้านี้!”
เหมยเชาฟงรู้ว่า เสวี่ยเอ๋อร์ เป็นคนสนิทของนายน้อยที่ถูกส่งตัวมาที่เมืองจันทร์กระจ่างโดยเฉพาะ ดังนั้นนางจึงมีทรัพยากรมากมายที่นางสามารถใช้ประโยชน์ได้หากต้องการ เขาจึง ไม่สงสัยเลย หากนางจะบอกว่ามีวิธีอื่นที่สามารถจัดการกับซูอันให้ถูกไล่ออกจากสถาบันได้
“ตราบใดที่แม่นางเฉียวสามารถทำให้ไอ้ขยะนั่นถูกไล่ออกจากสถาบันได้ ข้ามั่นใจว่าข้าสามารถฆ่ามันได้อย่างแน่นอน” หลังจากเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น เหมยเชาฟง ไม่กล้าที่จะมอบหมายภารกิจจัดการกับซูอันให้กับลูกน้องของเขาอีกต่อไป เพราะเขารู้สึกว่าหากไม่ใช่ตนลงมือด้วยตัวเอง โอกาสที่ซูอันจะรอดไปได้นั้นมีสูงมาก
เสวี่ยเอ๋อร์ ถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อได้ยินว่า เหมยเชาฟง จะลงมือเอง “หากเจ้า สำนักเหมยลงมือด้วยตัวเอง ข้าก็ค่อยโล่งใจหน่อย!”
ก่อนหน้านี้นางมั่นใจเช่นกันว่านางสามารถจัดการ ซูอัน ได้ด้วยตัวเอง แต่หลังจากเหตุการณ์ที่ผ่านมานางก็ไม่มั่นใจต่อไป หญิงสาวกลัวว่าหากตนโผล่ไปจัดการกับซูอันอีกรอบ แล้วฝั่งตรงข้ามสามารถทำให้นางปวดท้องได้อย่างใจนึกจริง ๆ รอบหน้ามันคงจะเป็นตัวนางเองที่โดนจัดการแทน เสวี่ยเอ๋อร์จึงคิดว่ามันจะเป็นการดีที่สุดที่ให้ เหมยเชาฟง ลงมือแทนนาง
…
เช้าวันรุ่งขึ้นทันทีที่ซูอันตื่นขึ้นมา ก็เห็น เฉิงโซวผิง กำลังยืนยิ้มหน้าบานให้เขาอยู่ข้างเตียง ชายหนุ่มก็สะดุ้งตกใจทันทีและถามขึ้นด้วยสีหน้าระแวดระวัง “เจ้ามาทำบ้าอะไรที่นี่!”
“นายน้อย นายท่านสั่งให้ข้ามาบอกกับท่านว่า วันนี้ท่านไม่จำเป็นต้องไปสถาบัน วันนี้นายท่านอนุญาตให้ท่านหยุดพักฟื้นอาการบาดเจ็บของท่านไปก่อน” เฉิงโซวผิง เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเบิกบาน
ซูอัน พยักหน้าก่อนจะถามกลับว่า “ว่าแต่ มีเหตุผลอะไรที่เจ้าถึงได้ทำหน้าตาร่าเริงอะไรขนาดนี้? หรือว่าเจ้าสะใจมากที่เห็นข้านอนนอนเป็นผักติดเตียงแบบนี้?”
“ไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อยนายน้อย! ข้าแค่รู้สึกมีความสุขแทนนายน้อยที่ดูเหมือนว่านายท่านและนายหญิงเริ่มเอาใจใส่นายน้อยมากขึ้นแล้ว ท่านคงไม่รู้หรอกว่าแม้แต่คุณหนูใหญ่และคุณหนูรองยังไม่มีสิทธิพิเศษถึงขนาดมีทหารยามคอยคุ้มกันแบบนี้เหมือนท่านที่มีเลย!”
เฉิงโซวผิง รู้สึกยินดีเป็นอย่างมากที่สถานะของ ซูอัน ในตระกูลดูเหมือนว่าจะสูงขึ้น และเพราะเขาเป็นเด็กรับใช้ส่วนตัวของซูอัน หาก ซูอัน มีตำแหน่งในตระกูลที่มั่นคงมันก็ความว่าเขาเอง ก็สถานะที่สูงขึ้นตามไปด้วยสำหรับในแวดวงคนรับใช้ของตระกูลและนั่นมันก็หมายถึงว่าเขาและ เสวี่ยเอ๋อร์ ก็คงจะ…
เมื่อคิดถึงเสวี่ยเอ๋อร์ รอยยิ้มของเฉิงโซวผิงก็กลายเป็นแข็งค้างไปในทันที “นายน้อย เมื่อคืนเป็น เสวี่ยเอ๋อร์ จริง ๆ เหรอที่ทำร้ายท่าน? หญิงสาวที่บอบบางอย่างนางกลับกลายเป็นคนที่โหดร้ายขนาดนี้ได้ยังไง…”
ซูอัน จ้องเขม็งไปที่ เฉิงโซวผิง และตวาดกลับด้วยน้ำเสียงเดือดดาล “ไอ้เด็กบ้าเอ๊ย เจ้าคิดว่าข้าโกหกงั้นหรือไง! ทั้งพ่อตาและแม่ยายของข้าก็ได้สืบสวนเรื่องนี้แล้ว และพวกเขาก็สรุปว่า เสวี่ยเอ๋อร์ได้แทรกซึมเข้ามาในตระกูลฉู่ด้วยจุดประสงค์แอบแฝงจริง ๆ นางกำลังรับใช้นาย อีกคนหนึ่ง เอ๊ะเดี๋ยวนะ? นี่เจ้ากำลังพยายามแก้ตัวให้นางอยู่งั้นเหรอ? เฮ้ นี่เจ้าเป็นหนึ่งในผู้ร่วมขบวนการของนางด้วยอีกคนใช่ไหม!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ร่างของ เฉิงโซวผิง ก็ตัวแข็งทื่อไปทันที เขารีบโบกมือปฏิเสธพัลวันและพูดว่า “ไม่ใช่นะขอรับนายน้อย ไม่ใช่ ไม่ใช่ ท่านอย่าเข้าใจข้าผิดไปแบบนี้! ข้าไม่เกี่ยวข้องกับเสวี่ยเอ๋อร์เลย อันที่จริงข้าก็ตะขิดตะขวงใจอยู่นานแล้วเหมือนกันว่านางน่าจะไม่ใช่คนดี แม้นางจะเป็นสาวใช้ของคุณหนูใหญ่แต่ทั้งท่าทางของนางที่ชอบอวดเบ่งและการแต่งตัวของนางที่ดูไม่ธรรมดาเหมือนสาวใช้ทั่วไป ข้าก็คิดอยู่ในใจมาตลอดว่านางน่าจะเป็นสายลับที่ถูกส่งมาแน่ ๆ และท้ายที่สุดมันก็เป็น แบบนั้นจริง ๆ อย่างที่ข้าคิด นายน้อยคอยดูนะ หากข้าเจอนางอีกครั้งในอนาคต ข้าจะจับตัวนางมาให้ท่านได้ลงโทษนางทันที!”
ซูอัน ตกตะลึงกับปฏิกิริยาของ บ่าวรับใช้ตนที่เขาสามารถเปลี่ยนท่าทีที่มีต่อ เสวี่ยเอ๋อร์ จากหน้ามือเป็นหลังได้ภายในไม่ถึงอึดใจแบบนี้!
“อะแฮ่ม อะแฮ่ม~”
จู่ ๆเสียงไอเบา ๆ ก็ดังขึ้นที่ด้านนอกทำให้ ซูอัน หันหน้าไปมองซึ่งเขาก็ได้เห็นว่าเป็น ฉู่ชูเหยียน ที่ยืนอยู่ที่ประตู
ซูอัน ยิ้มกว้างพร้อมกับเอ่ยขึ้นทักทายทันที “ภรรยาของข้าดีกับข้าจริง ๆ เลย เจ้าเป็นคนแรกในคฤหาสน์เลยที่มาเยี่ยมข้าในวันนี้!”
เฉิงโซวผิง จ้องที่ ซูอัน อย่างไม่เต็มใจในขณะที่เขาคิดว่า ‘นายน้อย มันเป็นข้าไม่หรือไง ที่มาเยี่ยมท่านเป็นคนแรก!’
แน่นอนว่า เฉิงโซวผิง ไม่กล้าเอ่ยออกมาแน่นอน เมื่อเห็นเช่นนี้เขาจึงรีบก้าวถอยไปที่ประตูและเชิญ ฉู่ชูเหยียน เข้าไปด้านในห้องแทน “เชิญคุณหนูใหญ่เข้าไปด้านในได้เลย”
ฉู่ชูเหยียน จ้องมองนายและบ่าวทั้งสองคนด้วยสีหน้าซับซ้อน แน่นอนว่านางได้ยิน บทสนทนาระหว่างทั้งสองคนก่อนหน้านี้ทั้งหมดซึ่งมันทำให้นางอดคิดไม่ได้ว่า นกที่มีขนสีเดียวกันย่อมต้องอยู่ร่วมกันอย่างไม่ต้องสงสัย
แทนที่จะเดินเข้าไปในห้อง นางพูดที่ประตูทางเข้าว่า “หมอเทวะจี้หรือจี้เติ้งถู กำลังจะมารักษาเจ้าเร็ว ๆ นี้ เขาเป็นคนประหลาด ดังนั้นข้าจึงมาเตือนเจ้าก่อนว่าให้ควบคุมตัวเองหน่อยเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา จงอย่าพูดจาอะไรไร้สาระซึ่งจะทำให้หมอเทวะจี้ขุ่นเคืองเป็นอันขาด”
ถึงแม้ว่านางจะใช้เวลาอยู่กับ ซูอัน ได้ไม่นานนัก แต่จากที่นางสังเกตดูนางก็สรุปได้ว่า ซูอัน คือตัวสร้างปัญหาระดับมือฉมัง เขามีฝีปากที่ร้ายกาจจนสามารถทำให้คนรอบข้างเขาทุกคนเกลียดเขาได้อย่างไม่น่าเชื่อ แต่ จี้เติ้งถู ไม่ใช่คนธรรมดาที่ ซูอัน จะไปยั่วยุได้ดังนั้นนางจึงต้องมาเตือนเขาก่อนที่จะเกิดเรื่องอะไรบานปลาย
“จี้เติ้งถู? เยี่ยมมาก!”
ซูอัน ตกตะลึงครู่หนึ่งก่อนที่จะหัวเราะด้วยความยินดี อันที่จริงตอนแรกเขาวางแผนเอาไว้ว่าวันนี้เขาจะแอบออกไปหาจี้เติ้งถูสักหน่อยเพื่อสอบถามว่าการเตรียมตัวสำหรับการรักษา ‘ซูอัน’ น้อยไปถึงไหนแล้ว
อย่างไรก็ตาม การที่ตอนนี้เขามีทหารยามส่วนตัวคอยตามติดอยู่มันจึงทำให้เขาคิดไม่ออกเหมือนกันว่าจะสลัดทหารยามพวกนี้ยังไงดี แต่แล้วในระหว่างที่เขากำลังมืดแปดด้านอยู่นั้น จู่ ๆ เขาก็ได้รับข่าวดีว่าจี้เติ้งถูจะมาหาเขาที่นี่ซะงั้นมันจึงทำให้เขาอดไม่ได้ที่จะระเบิดหัวเราะออกมา