เซียนคีย์บอร์ด [陆地键仙] - บทที่ 153 ขอเป็นอาจารย์!
บทที่ 153 ขอเป็นอาจารย์!
ฉู่ฮวนเจา รู้สึกพอใจอย่างมากเมื่อเห็นปฏิกิริยาผิดหวังของชายทั้งสองคน “คู่หมั้นของนางก็ไม่ใช่ใครอื่น เขาคือ ซ่างเชียน ผู้ชายที่ท่านพบเมื่อตอนไปบ่อนโกยเงินนั่นแหละ เห็นได้ชัดว่าการที่ เจิ้งตาน เข้าหาท่านในวันนี้ไม่ใช่เรื่องปกติแน่นอน มันน่าจะเป็นแผนการของ ซ่างเชียน กับ ตระกูลเจิ้งแน่ ๆ ซึ่งมันมีแต่คนเจ้าชู้อย่างท่านเท่านั้นที่ตกไปอยู่ในกับดักความงามของนางง่าย ๆ แบบนี้!”
“คู่หมั้นของซ่างเชียน?” เมื่อนึกถึงภาพหน้าของผู้นำกองทหารหนุ่มผู้หยิ่งผยองที่เขาพบ เมื่อคืนนี้ พร้อมกับครุ่นคิด
…
รถม้าอันหรูหราของตระกูลเจิ้ง จอดอยู่ในตรอกที่ห่างไกล ความตื่นตระหนกบนใบหน้าของคนขับรถม้าถูกแทนที่ด้วยสีหน้าอันเงียบสงบ “คุณหนู เมื่ออาจารย์ท่านได้ตั๋วหนี้มาหรือไม่?”
เจิ้งตานส่ายหัว “มันไม่ได้อยู่ในตัวเขา ดูเหมือนว่าเราคงต้องพยายามให้มากขึ้นอีกหน่อย”
ก่อนหน้านี้ ในตอนที่ซูอัน รับตัวนางเอาไว้ นางก็แอบล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อของเขาและค้นดูจนทั่วแต่น่าเสียดายที่นางไม่พบอะไรเลย
คนขับรถม้าพ่นลมหายใจอย่างไม่พอใจ “ไอ้สวะผู้นั้นมันน่าโดนตัดมือทิ้งจริง ๆ ที่บังอาจมาสัมผัสร่างกายของคุณหนูแบบนั้น!”
รอยยิ้มจาง ๆ ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของ เจิ้งตาน “ไม่เป็นไรหรอก มันเป็นแค่การสัมผัสภายนอกซึ่งมีเสื้อผ้าขวางเอาไว้อยู่ชั้นหนึ่งและมือของเขาก็ไม่ได้เตร็ดเตร่ไปทั่ว ข้าไม่ได้รู้สึกเสียหายอะไรสักเท่าไหร่”
คนขับรถม้าโล่งใจที่ได้ยินคำพูดนี้ของ เจิ้งตาน แต่เขาก็ยังอดไม่ได้ที่จะผุดขึ้นด้วยสีหน้าหงุดหงิด “คุณหนู ข้าอยู่เคียงข้างท่านตั้งแต่ท่านยังเด็ก ข้าทนไม่ได้ที่เห็นใครเอาเปรียบท่านเช่นนี้ เฮ้อ…ไอ้คนแซ่ซางผู้นั้นก็แย่จริง ๆ เป็นผู้ชายซะเปล่าแต่กลับคิดแผนให้คู่หมั้นของตัวเองไปวางกับดักน้ำผึ้งกับชายอื่นนี่เขาไม่รู้สึกละอายใจบ้างเลยรึไง?”
เจิ้งตานไม่ได้คิดอะไรมาก “ลุงเยว่ ใจเย็น ๆ อย่างแรกเลย การหมั้นหมายของข้ากับ ซ่างเชียน คือการแต่งงานเพราะผลประโยชน์ระหว่างตระกูล ความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นเช่นนี้มันเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่เราจะต้องสูญเสียบางสิ่งไปบ้างเพื่อให้ได้มาซึ่งของสำคัญ”
คนขับรถม้าที่ถูกเรียกว่าลุงเยว่ถอนหายใจยาว “คุณหนู ท่านคงลำบากมากสินะที่ต้องมาแบกรับภาระจากตระกูลเจิ้งเช่นนี้…”
“มันเพื่อตัวข้าเองด้วย” เจิ้งตานตอบด้วยรอยยิ้ม “อย่างไรก็ตาม ข้าจะไม่ปล่อยให้ ซูอัน ใช้ประโยชน์จากตัวข้ามากไปกว่านี้แน่นอน นอกจากนี้ การเผชิญหน้ากับเขาก่อนหน้านี้ทำให้เรื่องนี้น่าสนใจยิ่งขึ้นไปอีก”
…
ทางด้านของซูอัน ฉู่ฮวนเจายังคงทิ่มแทงจิตใจของเขาผ่านการพูดจาโผงผางของนางแต่การทรมานก็สิ้นสุดลงเมื่อพวกเขาไปถึงสถาบัน ฉู่ฮวนเจา ตรงไปที่ห้องเรียนของนาง แต่ ซูอัน กลับเดินไปที่อาคารบริหารเพื่อไปหาอาจารย์ใหญ่คนสวย
เขาเคาะประตูและในไม่ช้าเสียงอันทรงเสน่ห์ของ เจียงลั่วฝู ก็ตอบกลับมาว่า “เจ้าเข้ามาได้!”
ซูอัน ผลักประตูบานใหญ่ให้เปิดออกและเดินเข้าไปข้างใน และก็ได้พบกับ เจียงลั่วฝู ที่นั่งโดดเด่นอยู่กลางห้องเองก็ยังโดดเด่นที่สุด
“บังเอิญจริง ๆ ข้าเองก็กำลังจะส่งคนให้ไปเรียกเจ้ามาหาพอดี” เจียงลั่วฝู รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยกับการมาของ ซูอัน นางโบกมือเบา ๆ และสายลมเบา ๆ ก็พัดผ่านใบหน้าของเขาไปปิดประตูบานใหญ่ที่อยู่ข้างหลังให้ปิดลง
“อาจารย์ใหญ่ ท่านมีอะไรเจ้ามีอะไรให้ข้ารับใช้งั้นเหรอ?” ซูอัน ไม่ได้หลงตัวเองถึงขนาดที่จะคิดว่า เจียงลั่วฝู เรียกเขาเพราะตกหลุมรักในหน้าตาอันหล่อเหลาของเขาแน่นอน
“เจ้าสนิสนมกับซางหลิวอวี้ งั้นเหรอ?” เจียงลั่วฝู หรี่ตามองไปที่ ซูอัน ขณะถามราวกับว่ากำลังจะจับผิด
“ซ่างหลิวอวี้?” ซูอันส่ายหัว “ข้าไม่รู้จักนาง”
จิตใจของเขาเริ่มกระวนกระวายอย่างรวดเร็ว เขาสงสัยว่ามันเป็นไปได้ไหมที่ อาจารย์ใหญ่เจียงจะรู้เรื่องคำขอของ จี้เติ้งถู ที่ให้เขาขโมยชุดชั้นในของซางหลิวอวี้? ไม่สิ มันไม่ควรจะเป็นไปได้ ข้าไม่เคยพบกับซางหลิวอวี้ เลยด้วยซ้ำ!
“เจ้าไม่รู้จักซางหลิวอวี้ หญิงงามอันดับ 3 ของเมืองจันทร์กระจ่างงั้นเหรอ?” ดวงตาของ เจียงลั่วฝู หรี่ลงมากเกินเดิมด้วยความสงสัย
“ข้าหมายถึง ข้าเคยได้ยินชื่อนาง แต่ข้าไม่เคยเจอหน้านางเลย”
น่าแปลกที่จู่ ๆ ซูอัน ก็นึกถึงสีหน้าอันของ เว่ยสั่ว ที่มีทุกครั้งเมื่อได้ยินชื่อของ เจียงลั่วฝู ซึ่งมันทำให้ ซูอัน อดไม่ได้ที่จะมองไปที่ถุงน่องของอาจารย์ใหญ่เจียงโดยไม่รู้ตัว
อืม มันดูเรียบเหมือนหยก… เอ๊ะ วันนี้ถุงน่องสีผิวเหรอ? โห ๆ มันช่างดูเหมาะกับนางจริง ๆ !
เจียงลั่วฝู สังเกตเห็นสายตาที่ซุกซนของซูอันอย่างรวดเร็ว ซึ่งมันทำให้คิ้วคมของนางขมวดขึ้นด้วยความไม่พอใจ
ซูอัน สะดุ้งตกใจกับสีหน้าของฝั่งตรงข้ามทันที เขารีบพูดหันเหความสนใจของอีกฝ่าย อย่างรวดเร็ว “ข้าคิดว่าอันดับพวกนั้นเชื่อถือไม่ได้เลยสักนิด อาจารย์ซาง ผู้นั้นจะสวยงามกว่าท่านอาจารย์ใหญ่ได้อย่างไร? ด้วยขาที่เรียบเนียนของท่าน มันไม่มีทางที่อาจารย์ซางอะไรนั่นจะเทียบเทียมท่านได้แน่นอน!”
น้ำเสียงที่จริงจังของ ซูอัน ทำให้ เจียงลั่วฝู หัวเราะออกมาอย่างขบขัน “ตลอดชีวิตของข้า ข้าได้ยินคำเยินยอมามากมายจนเป็นเรื่องปกติ แต่เจ้าเป็นคนแรกที่กล้าเจาะลึกรายละเอียดเกี่ยวกับข้ามากขนาดนี้!”
เมื่อเห็นว่า เจียงลั่วฝู ไม่ได้โกรธเขา ซูอัน จึงยืดอกและเสริมว่า “แน่นอนว่ามันเป็นความคิดที่จริงใจจากก้นบึ้งของหัวใจของข้า!”
“ซ่างหลิวอวี้ คงจะโกรธจนหัวฟันหัวเหวี่ยงแน่นอนเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ของเจ้า” เจียงลั่วฝู ตอบด้วยรอยยิ้มล้อเลียน “นี่เจ้าไม่คิดว่ามันเป็นการเนรคุณมากไปสักหน่อยงั้นเหรอกับการที่พูดจาลับหลังแย่ ๆถึงนางแบบนี้?”
“เนรคุณ?” ซูอัน รู้สึกสับสน ข้าไม่รู้จักอาจารย์ซางอะไรนั่นเลยด้วยซ้ำ ข้าจะไปเนรคุณนางได้ยังไง?
เจียงลั่วฝู หยิบหนังสือออกมาจากลิ้นชักของนางแล้วเริ่มพลิกดู “ก่อนหน้านี้ข้าไม่ได้บอกเจ้าหรอกเหรอว่าเจ้าไม่ควรเปิดเผยความจริงที่ว่าเจ้ามีพรสวรรค์ระดับเลิศล้ำ? เจ้าจำได้ใช่ไหมว่าข้าเคยบอกว่าข้าจะไปจัดการกับบันทึกที่เกี่ยวข้องในเรื่องที่เกิดขึ้นที่หน้าทางเข้าสถาบัน แต่แล้วเมื่อข้าไปค้นดูบันทึกดู มันกลับกลายเป็นว่ามีคนจัดการเรื่องทุกอย่างไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเมื่อข้าตรวจสอบให้ลึกลงไปอีกมันก็กลายเป็นว่าซางหลิวอวี้ ที่เป็นคนจัดการลบบันทึกทั้งหมดออกไป”
นางหยุดอาจารย์หนึ่งเพื่อประเมินสีหน้า ซูอัน อย่างตั้งใจก่อนจะถามอีกครั้งว่า “เจ้าแน่ใจเหรอว่าเจ้าไม่สนิทกับนางอย่างที่เจ้าพูด?”
“เอ่อ… มันเป็นไปได้ไหมที่หน้าตาของข้ามันหล่อเหลาจนสามารถทำให้ผู้หญิงคนหนึ่ง ตกหลุมรักข้าโดยได้ที่ไม่เคยรู้จักกัน?” ซูอัน ลูบใบหน้าของตัวเองเบา ๆ พร้อมกับพึมพำด้วยความประหลาดใจ
“…” เจียงลั่วฝู
หนังหน้าของไอ้ผู้ชายคนนี้มันคงหนาเท่ากับกำแพงเมืองได้มั้งมันถึงคิดอะไรขนาดนี้ได้!
“ลืมมันไปซะ ถ้าเจ้าไม่รู้จักนางจริง ๆ ” เจียงลั่วฝู เอ่ยขึ้นตัดความรำคาญ “ว่าแต่เจ้ามาหาข้ามีเรื่องอะไร?”
ซูอัน เดินไปดึงเก้าอี้และนั่งตรงข้ามกับ เจียงลั่วฝู ด้วยท่าทางเป็นกันเองและพูดว่า “ท่านอาจารย์ใหญ่ ข้าอยากเป็นอาจารย์กิตติมศักดิ์ของสถาบัน!”
เจียงลั่วฝู หัวเราะเยาะอยู่สักพักก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “นี่เจ้าบ้าไปแล้วหรือว่าข้าหูแว่วไปเอง? เมื่อครู่เจ้าเพิ่งบอกว่าเจ้าอยากจะเป็นอาจารย์กิตติมศักดิ์ของสถาบันงั้นเหรอ? เจ้ารู้บ้างรึเปล่าว่าข้อกำหนดในการเป็นอาจารย์ของสถาบันเรามีอะไรบ้าง? หากเจ้าต้องการสอนหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับการเพาะปลูก เจ้าต้องมีระดับการบ่มเพาะอยู่ในระดับ 6 ขึ้นไป ส่วนอาจารย์ที่สอนทางด้านวิชาการข้อกำหนดของระดับการบ่มเพาะอาจจะถูกลดหลั่นมาให้ได้ตามความเหมาะสม แต่อาจารย์ทุกคน ที่จะสอนวิชาการได้นั้นจะต้องเชี่ยวชาญในวิชาการสาขาของตนจนได้รับการยอมรับจากราชสำนัก ไหนข้าขอถามหน่อยได้ไหมว่าเจ้าเป็นผู้บ่มเพาะระดับ6หรือเคยได้รับการยอมรับจากราชสำนัก หรือเปล่า?”
“แน่นอนข้ารู้ว่าข้าไม่มีคุณสมบัติอะไรพวกนั้น แต่ข้าไม่ได้วางแผนที่จะเป็นอาจารย์กิตติมศักดิ์อย่างถูกต้องตามระเบียบสักหน่อย ข้าแค่หวังว่าจะเป็นอาจารย์กิตติมศักดิ์ได้โดยการให้ความสนับสนุนสถาบัน” ซูอัน ตอบกลับอย่างเขินอาย
สถาบันส่วนใหญ่ในชีวิตที่แล้วของเขามี ‘กฎลับ’ ที่ไม่ได้เขียนบอกเอาไว้ ยกตัวอย่างเช่นบรรดาผู้ปกครองทั้งหลายที่ให้การอุปถัมภ์โรงเรียนมากพอ โรงเรียนจะให้เกียรติผู้ปกครองเหล่านั้นโดยการตั้งชื่ออาคารตามชื่อของผู้ปกครองเหล่านั้น ส่วนลูก ๆ ของผู้ปกครองเหล่านั้นก็จะสามารถเข้าเรียนในโรงเรียนได้ง่ายขึ้น หรือหากผู้ปกครองที่บริจาคมีสถานะสูงในสังคม เขาอาจได้รับตำแหน่งอาจารย์กิตติมศักดิ์ในโรงเรียนด้วยซ้ำ
“สนับสนุน?” เจียงลั่วฝู กะพริบตาปริบ ๆ ด้วยความประหลาดใจ นางไม่เคยได้ยินเรื่อง แบบนี้มาก่อน แต่ฟังดูเหมือนเป็นวิธีการที่น่าสนใจพอสมควรและมันอาจจะทำให้ข้อกำหนดต่าง ๆถูกละเว้นไปก็ได้ อย่างไรก็ตาม ในไม่ช้านางก็ส่ายหัวและพูดว่า “ชิ เจ้าเป็นแค่ลูกเขยของตระกูลฉู่ อย่างเจ้าจะมีเงินสักเท่าไหร่กันเชียว?”
“เงิน 7,500,000 ตำลึงเงินเพียงพอที่จะให้ข้าเป็นอาจารย์กิตติมศักดิ์รึเปล่า?” ซูอัน ถามกลับ