เซียนคีย์บอร์ด [陆地键仙] - บทที่ 177 มี่เหลียนอิ๋นเดือดดาล
บทที่ 177 มี่เหลียนอิ๋นเดือดดาล
ไม่ว่าจะเป็น เส้นใยสุขสันต์ หรือ สายตา เจ็บ-จน-ทรุด ถึงแม้ชื่อของพวกมันจะฟังดูไร้สาระและน่ากังขา แต่ความสามารถพวกมันกลับน่าเหลือเชื่อหากใช้ในสถานการณ์ที่เหมาะสม
อย่างไรก็ตาม ซูอัน ไม่สามารถนึกถึงประโยชน์ในการใช้งานของไอ้ทักษะที่เขาเพิ่งได้รับ มาได้เลย
ทั้งหมดที่มันทำได้ก็คือทำให้อีกฝ่ายตอบกลับว่า ‘ข้ากำลังมองแกไงไอ้โง่!’
จะมีอะไรที่ไร้ประโยชน์มากกว่านี้อีกไหม?
แต่แล้ว จู่ ๆ ก็มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นในหัวของเขา นี่อาจเป็นทักษะที่ใช้สำหรับการเยาะเย้ยศัตรูเพื่อให้ได้รับคะแนนความโกรธเพิ่มขึ้นหรือเปล่า?
อย่างไรก็ตาม ในไม่ช้าเขาก็ปฏิเสธแนวความคิดนั้น เพราะแค่ถามว่า ‘แกมองอะไร’ มันคง ไม่อาจสร้างความโกรธให้กับคนอื่น ๆ ได้มากสักเท่าไหร่
สิ่งหนึ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจก็คือทักษะนี้ไม่มีข้อจำกัดในการใช้งาน ซึ่งแตกต่างจากพวกทักษะก่อนหน้านี้ที่เขาได้รับ
สิ่งนี้ทำให้หัวใจของ ซูอัน สงบลงเล็กน้อย แต่อีกครั้ง ทักษะนี้มีประโยชน์น้อยกว่าทักษะอื่นที่เขาเคยได้รับมาก ซึ่งมันทำให้เขาไม่รู้ว่าเขาควรจะดีใจหรือว่าเสียใจดี
เขายังคงจับสลากต่อด้วยการถอนหายใจยาว หลังจากนั้นเขาไม่ได้รับอะไรที่แปลกไปอีกนอกจาก ‘ขอบคุณที่ร่วมสนุก’ หรือ ผลไม้พลังชี่
ผลลัพธ์แบบนี้เป็นสิ่งที่เขาคาดเอาไว้อยู่แล้ว เพราะมันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะโชคดีถึงขนาดที่จะได้ทักษะมากกว่าหนึ่งอย่างในการสุ่มรางวัลรอบเดียว
จนถึงตอนนี้ อักขระตัวที่สามของเขามันถูกเติมไปสามส่วน จากนั้นด้วยการกินผลไม้พลังชี่ทั้งหมดที่เขาเพิ่งสุ่มมาในครั้งนี้ อักขระตัวที่สามของเขาก็เต็มพอดี
ซูอัน รู้สึกได้ว่าจากจำนวนพลังชี่ ที่เขามีในร่างตอนนี้ เขาน่าจะสามารถเรียกใช้จ้าววายุได้ถึงสองครั้งติดต่อกัน จากที่ก่อนหน้านี้เขาสามารถใช้มันได้เพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น
ดูเหมือนว่าความจุพลังชี่ของเขาจะเพิ่มขึ้นตามระดับการบ่มเพาะอย่างแน่นอน
ซูอัน อยากรู้ว่าเขาจะได้รับทักษะใหม่อีกครั้งรึเปล่าเมื่ออักขระชุดใหม่ทั้งเก้าตัวถูกเติมเต็ม จ้าววายุเป็นทักษะที่น่าเกรงขาม และนี่เป็นเพียงทักษะแรกเท่านั้น ดังนั้นมันแน่นอนว่าทักษะที่เขาจะได้หลังจากนี้มันจะต้องยิ่งน่าตื่นตามากกว่าเดิมจริงไหม?
อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาคิดถึงค่าความโกรธจำนวนมากที่เขาต้องการเพื่อเพิ่มระดับการ บ่มเพาะ ชายหนุ่มก็ส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้ เฮ้อ…อย่าเพิ่งคิดเรื่องไกลตัวแบบนั้นตอนนี้จะดีกว่า ตอนนี้ข้าควรเน้นไปที่การเตรียมตัวสำหรับการต่อสู้ในอีกสองวันข้างหน้า!
ด้วยความสามารถในปัจจุบันของเขา เขาค่อนข้างมั่นใจว่าตนจะสามารถป้องกันตัวเองจาก หยวนเหวินตง บนลานประลองได้ และคราวนี้เขาจะทำตามแบบที่ เจียงลั่วฝู เคยกล่าวเอาไว้ว่าเขาไม่ควรที่จะเก็บงำความแข็งแกร่งอีกต่อไป
ถ้าเขาแสดงความสามารถให้คนอื่นเห็นเขาจะได้รับการยอมรับจากผู้คนซึ่งมันจะทำให้ชีวิตของเขาง่ายมากขึ้นกว่าเดิมแถมเขายังจะได้ทรัพยากรบ่มเพาะเพิ่มขึ้นจากสถาบันอีกต่างหาก มันจะเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ถ้าเขาไม่ใช้โอกาสนี้ฉายแสงอย่างเต็มที่ หรืออย่างน้อยที่สุด การที่สมาชิกคนอื่น ๆ ในตระกูลฉู่ มองเขาเปลี่ยนไปกลายมาเป็นยอมรับเขามันก็เป็นเรื่องที่ดี
แต่ปัญหาที่เขาเผชิญตอนนี้ก็คือถึงแม้เขาจะพอป้องกันตัวเองจาก หยวนเหวินตง ได้ แต่เขาไม่คิดว่าเขาแข็งแกร่งพอที่จะเอาชนะ หยวนเหวินตง เพราะไม่ว่าจะยังไงฝั่งตรงข้ามก็เป็นถึง ผู้บ่มเพาะระดับ 5 แถมยังมีความสามารถในการควบคุมอาวุธหลายชิ้นพร้อม ๆ กัน ซึ่งมันทำให้ฝั่งตรงข้ามเหมือนเป็นเซียนกระบี่ในนิยายแฟนตาซีที่เขาเคยอ่าน
นอกจากนี้ เขาไม่ต้องการที่จะแสดงไพ่เด็ดทั้งหมดของเขาบนลานประลอง ต่อให้เขาอยากจะพิสูจน์ตัวเองต่อหน้าผู้คนมากขนาดไหน แต่การแสดงไพ่เด็ดของตัวเองทั้งหมดในที่สาธารณะมันเป็นเรื่องที่โง่เขลา เพราะศัตรูของเขาคนอื่น ๆ จะหาวิธีการมาจัดการกับเขาได้อย่างง่ายดาย
หลังจากไตร่ตรองอยู่นาน ซูอัน ตัดสินใจที่จะมุ่งความสนใจไปที่ 13 ท่วงท่ากระบี่พื้นฐาน ที่ ไป๋ซู่ซู่ เพิ่งสอนในชั้นเรียนวันนี้ ถึงแม้ว่าวิชากระบี่ระดับต่ำแบบนี้มันไม่เหมาะกับคนทั่วไป สักเท่าไหร่ แต่สำหรับ ซูอัน แล้วมันเหมาะเป็นอย่างมาก และยิ่งไปกว่านั้นถ้าเขาสามารถเอาชนะ หยวนเหวินตง ได้ด้วยวิชากระบี่นี้ เขาก็จะสามารถพิสูจน์คุณค่าของตัวเองได้โดยไม่ต้องแสดงไพ่เด็ดของเขาออกไป
ด้วยความคิดเช่นนั้น ซูอันเริ่มสั่นเทาด้วยความตื่นเต้น เขารีบหยิบกระบี่ที่เขาได้รับจากสถาบันขึ้นมาและเริ่มฝึกกวัดแกว่งกระบี่ตามท่วงท่าที่ ไป๋ซู่ซู่ เคยสอน
น่าแปลกที่ท่วงท่าของ ซูอัน ในขณะนี้เกือบจะเหมือนกับของ ไป๋ซู่ซู่ ที่แสดงในชั้นเรียน บางทีอาจเป็นเพราะพรสวรรค์ระดับเลิศล้ำของเขา มันจึงทำให้เขาจำการเคลื่อนไหวที่ไป่ซู่ซู่แสดงให้เขาเห็นก่อนหน้านี้ได้อย่างแม่นยำ
“โอ้? เจ้าเข้าใจ 13 ท่วงท่ากระบี่พื้นฐาน ของสถาบันจันทร์กระจ่างได้อย่างรวดเร็วขนาดนี้เลยงั้นหรือ? ดูเหมือนว่าฝึกฝนอีกสักหน่อยเจ้าก็น่าจะบรรลุได้เต็ม 10 ส่วนแล้ว” เสียงที่น่าขนลุกดังขึ้นที่ข้างหลังของ ซูอัน
ชายหนุ่ม สะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ เขารีบหันหลังกลับไปมองทันทีซึ่งเขาก็เห็นว่าคนพูดไม่ใช่ใครอื่นนอกจาก มี่เหลียนอิ๋น!”นี่ท่านมาตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย?” ซูอัน ถามขึ้นทันทีด้วยสีหน้าปกติที่สุด แต่ในใจเขาเตือนตัวเองให้ระวังมากขึ้นในครั้งต่อไป มิฉะนั้น ถ้ามี่เหลียนอิ๋นค้นพบไพ่เด็ดที่เขามีอยู่ เขาอาจจะโดนชายชรา ผู้นี้หักหลังได้
“ข้าเฝ้าดูเจ้าได้ครู่หนึ่งแล้ว” มี่เหลียนอิ๋นตอบกลับ “ได้ยินมาว่าเจ้าจะสู้กับ หยวนเหวินตง ในงานประลองระหว่างตระกูลงั้นหรือ?”
“ใช่ มันคงเป็นแบบนั้น” ซูอัน ยักไหล่และตอบกลับ เขาจะไปทำอะไรได้ในเมื่อตระกูลฉู่ วางตำแหน่งให้เขาเป็นเบี้ยเอาไว้ล่อของฝ่ายตรงข้าม
“เจ้าตั้งใจจะใช้ไอ้วิชากระบี่พื้นฐานอะไรนี่เพื่อจัดการกับ หยวนเหวินตงจริง ๆ งั้นหรือ?” มี่เหลียนอิ๋น ลูบเคราของเขาในขณะที่เขาจ้องไปที่ ซูอัน อย่างตั้งใจ
ซูอัน รู้สึกขนลุกอยู่หน่อย ๆ เมื่อถูกมี่เหลียนอิ๋นจ้องมองเขม็งแบบนี้ “ถูกต้อง ทำยังไงได้ล่ะข้าไม่รู้ทักษะการต่อสู้อื่นใดนอกจากมันนี่นา”
“13 ท่วงท่ากระบี่พื้นฐาน เป็นวิชากระบี่พื้นฐานที่ทุกคนในสถาบันจันทร์กระจ่างต้องเรียนอยู่แล้ว ดังนั้นไม่ต้องบอกก็รู้ว่า หยวนเหวินตง ก็เคยฝึกมันแล้วเช่นกัน ข้าได้ยินมาว่าเขาเป็น ผู้บ่มเพาะระดับห้า นี่เจ้าไม่คิดว่ามันการรนหาที่ตายบ้างเลยหรือกับการที่เจ้าเอา 13 ท่วงท่ากระบี่พื้นฐาน ไปต่อกรกับฝั่งตรงข้าม?” มี่เหลียนอิ๋น ถามกลับด้วยบสีหน้าเยาะเย้ย
ซูอัน ประท้วงเบา ๆ “แต่ข้าได้ยินจากอาจารย์ของสถาบันบอก 13 ท่วงท่ากระบี่พื้นฐานไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด มันเป็นพื้นฐานของวิชากระบี่ทั้งหมด และแม้แต่มือกระบี่ที่เก่งที่สุดเมื่อบรรลุไปถึงจุดหนึ่งบางครั้งเขาก็ยังกลับมาใช้มันเช่นกัน…”
“นี่เจ้าเชื่อลมปากของไอ้พวกอาจารย์ห่วย ๆ พวกนั้น จริง ๆ งั้นหรือ? คำพูดพวกนั้นมันมีเอาไว้หลอกเด็กโง่ ๆ อย่างเจ้าให้มีแรงจูงใจในการฝึกมันก็แค่นั้นแหละ!” มี่เหลียนอิ๋น มองไปที่ ซูอัน ราวกับว่าเขาเป็นคนงี่เง่า “แต่มันก็ไม่ผิดหรอกกับคำพูดที่บอกว่าเมื่อบ่มเพาะไปถึงระดับหนึ่ง ผู้บ่มเพาะจะหวนคืนสู่จุดพื้นฐาน แต่เจ้าต้องรู้เอาไว้ว่าที่คนพวกนั้นใช้มันอย่างได้ผลเป็นเพราะ พวกเขามีความเร็วและความแข็งแกร่งเหนือกว่าศัตรูอย่างล้นหลามจนสามารถใช้อะไรก็ได้ในการ บดขยี้ศัตรู แต่สำหรับมือใหม่อย่างเจ้า การใช้ 13 ท่วงท่ากระบี่พื้นฐานนี้เพื่อจัดการกับผู้บ่มเพาะระดับ 5 มันไม่ต่างอะไรกับการรนหาที่ตาย!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ซูอัน ยิ้มอย่างกระอักกระอ่วนและพูดว่า “ก็ได้ ๆ งั้นข้าไม่คิดจะสู้กับ หยวนเหวินตง ก็ได้ ยังไงซะ รอบประลองของข้าก็เป็นรอบสุดท้าย ตระกูลฉู่น่าจะชนะรอบแรก ๆ ไปจนหมดก่อนที่ข้าจะได้ประลองแน่ ๆ อยู่แล้วจริงไหม?”
มี่เหลียนอิ๋นเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่จะถามขึ้นอีกรอบ “ข้าได้ยินมาว่าเจ้ามีความแค้นกับ หยวนเหวินตง?”
ซูอัน รู้สึกประหลาดใจที่ได้ยินคำถามนี้จาก มี่เหลียนอิ๋น ตาแก่คนนี้อยู่ในตระกูลฉู่เสมอ ไม่ใช่หรือ? ไหงมันดูเหมือนว่าเขาจะรู้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นภายนอกด้วยเช่นกันแบบนี้? “อืม… ข้ากับเขามีความขัดแย้งกันเล็กน้อยตอนที่อยู่ในสถาบัน”
“ทะเลาะกันเล็กน้อย?” มี่เหลียนอิ๋น เยาะเย้ย “ข้าได้ยินมาว่า หยวนเหวินตง ประกาศว่าเขาจะฆ่าเจ้า!”
“ก็ตอนนั้นเขากำลังโมโหข้ามากอยู่ ดังนั้นมันไม่แปลกหรอกหากเขาขู่ข้าออกมาแบบนั้น” ซูอัน ตอบกลับ
“ไม่นานมานี้เจ้าก็เพิ่งหลงกลศัตรูถูกล่อออกไปฆ่ามารอบหนึ่งแล้วซึ่งเจ้าโชคดีรอดมาได้ แต่ข้าบอกเอาไว้เลยว่าการประลองกันตัวต่อตัวในอีกสองวันต่อมามันไม่มีใครสามารถช่วยเจ้าได้ทันแน่นอนหาก หยวนเหวินตง จ้องจะเอาชีวิตเจ้าจริง ๆ” มี่เหลียนอิ๋น ถลึงตาใส่ซูอันระหว่างพูดซึ่งมันทำให้ใบหน้าที่น่าสะพรึงกลัวของเขายิ่งน่ากลัวขึ้นไปอีก “ข้าได้ยินมาว่า ฉู่ชูเหยียน ต้องการให้เจ้า ยั่วยุหยวนเหวินตงอีกครั้งในวันพรุ่งนี้ใช่ไหม?”
“ช..ใช่…” ซูอัน ขนลุกซู่ทันทีเมื่อได้ยินคำถามนี้ เรื่องนี้ควรมีแต่คนที่รวมโต๊ะอาหารเมื่อครู่ นี้นี่นาที่รู้เรื่อง แต่ตอนนี้ มี่เหลียนอิ๋น กลับรู้มันด้วยอีกต่างหาก! มันเป็นไปได้ไหมที่เขารู้เรื่องคีย์บอร์ดด้วย?
“คนตระกูลฉู่นี่มันเลือดเย็นจริง ๆ ! ถึงแม้ว่านางจะไม่ชอบเจ้า แต่นางก็ไม่ควรโยนเจ้าลงไปในหลุมที่ลุกเป็นไฟแบบนั้น!” มี่เหลียนอิ๋นกระทืบเท้าด้วยความโกรธ