เซียนคีย์บอร์ด [陆地键仙] - บทที่ 181 เหตุผล
บทที่ 181 เหตุผล
“มาโซคิสม์? มันคืออะไร? เจ้าพูดอะไรแปลก ๆ อีกแล้ว…แต่ช่างเถอะ พอพูดถึงเรื่องนี้ เมื่อครู่เจ้าบอกว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่นางพยายามจะฆ่าเจ้า ทำไมเจ้าไม่บอกข้าก่อนหน้านี้?” ฉู่ชูเหยียน ถามขึ้นอีกรอบ
ซูอันกลอกตา “ข้าจะรู้ได้ยังไงว่าเจ้าไม่ใช่คนบางการสังหารข้า? นางเป็นสาวใช้ส่วนตัว ของเจ้า ข้าไม่รู้หรอกว่าซ่อนเด็กหนุ่มขี้เล่นเอาไว้ข้างนอกรึเปล่าและต้องการจะฆ่าข้าเพื่อที่เจ้าจะ ได้เสวยสุขกับเด็กหนุ่มของเจ้า!”
แก้มของ ฉู่ชูเหยียน กระตุกรัวด้วยความหงุดหงิด “เจ้าหมายถึงอะไรกับไอ้ว่า เด็กหนุ่ม ขี้เล่น? ข้าแนะนำว่าเจ้าควรหัดคิดก่อนพูดซะบ้างไม่อย่างนั้นสักวันเจ้าอาจจะไม่มีลิ้นให้พูด อีกต่อไป!”
“พี่เขย ท่านช่างน่าสงสารจริง ๆ ในตอนนั้นท่านคงจะหวาดกลัวมากเลยใช่ไหม?” ฉู่ฮวนเจา เอ่ยขึ้นแทรกพร้อมกับแสดงสีหน้าเห็นใจซูอัน
ซูอัน รู้สึกอบอุ่นในหัวใจขึ้นทันทีเมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉู่ฮวนเจา น้องภรรยากำลังพยายามปลอบประโลมเขา จากนั้นเขาหันกลับไปจ้องที่ ฉู่ชูเหยียน และพูดว่า “ดูเอาไว้เป็นตัวอย่าง! นางเป็นน้องของเจ้าแท้ ๆ แต่นางกลับดีต่อข้ามากกว่าเจ้าที่เป็นภรรยาของข้าซะอีก!”
ฉู่ฮวนเจา รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูกกับคำพูดนี้ ที่บ้านพ่อแม่ของนางมักจะบอกนางเสมอว่านางควรเรียนรู้จากพี่สาวคนโตของนาง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนบอกให้พี่สาวของนางเรียนรู้จากนางแทน รู้สึกดีไม่เลวเลยที่ได้ยินอะไรเช่นนี้
ในทางกลับกัน ฉู่ชูเหยียน เพิกเฉยต่อคำพูดของ ซูอัน และเอ่ยว่า “ต่อจากนี้ไปอย่าลังเลที่จะบอกอะไรข้า อย่าลืมว่าพวกเราคือคนครอบครัวเดียวกัน…”
จากนั้นนางมองดูน้องสาวตัวน้อยของนางอย่างลังเลก่อนที่จะตัดสินใจไม่พูดออกมาในที่สุด “… เอาเป็นว่า ต่อจากนี้ข้าจะปกป้องเจ้าให้ดีที่สุด ดังนั้นเจ้าไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องความปลอดภัยของเจ้าอีกต่อไป”
ดวงตาของ ซูอัน เป็นประกายทันที “ฮ่าฮ่าฮ่า ยอดเยี่ยมที่สุดเลย! นับจากนี้ถ้าใครกล้า รังแกข้า ข้าจะเรียกเจ้าไปอัดพวกคนเหล่านั้นให้หัวจมดินกันให้หมด!”
“…” ฉู่ชูเหยียน
“ข้าไม่ได้พูดแบบนี้เพื่อให้เจ้าสามารถไปหาเรื่องคนอื่นได้ตามใจชอบนะ!”
“ข้ารู้ ข้ารู้~” ซูอัน หัวเราะอย่างอารมณ์ดี “แต่มันมีสิ่งหนึ่งที่ข้ายังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ภายนอกมันดูเหมือนว่าตระกูลฉู่ ของเจ้าจะแข็งแกร่ง แต่ในความเป็นจริงทำไมถึงอ่อนแอขนาดที่ ไม่สามารถจัดการกับสำนักใต้ดินเล็ก ๆ ได้ด้วยซ้ำ?”
เมื่อได้ยินคำถามนี้ ฉู่ชูเหยียน ก็รีบอธิบายทันที “ตอนนี้เจ้าเป็นสมาชิกของตระกูลฉู่แล้ว ดังนั้นเรื่องนี้ข้าสามารถแบ่งปันข้อมูลให้กับเจ้าได้ แม้ว่าเราจะเป็นตระกูลอ๋อง แต่สถานการณ์ของเราไม่ได้ดูดีเหมือนที่คนอื่น ๆ มองจากภายนอก พูดตรง ๆ ก็คือ ขณะนี้เรากำลังอยู่ท่ามกลางระหว่างการต่อสู้แย่งชิงบัลลังก์
“ตามคำสัญญาของจักรพรรดิองค์ก่อน บัลลังก์ควรจะส่งต่อไปยังราชันฉี แต่ตอนนี้ องค์จักรพรรดิกลับส่งต่อตำแหน่งรัชทายาทให้กับลูกชายของเขาเอง หากเป็นภายใต้สถานการณ์ปกติ ขุนนางทั้งหลายคงเคารพการตัดสินใจขององค์จักรพรรดิแน่นอน แม้ว่ามันจะดูผิดต่อคำสัญญาที่พระองค์ให้ไว้ตั้งแต่แรกแต่มันก็เป็นข้อยกเว้นเพราะองค์จักรพรรดิคือผู้บ่มเพาะที่แข็งแกร่งที่สุด ในอาณาจักร อย่างไรก็ตาม ปัญหาคือองค์รัชทายาทยังขาดความสามารถอยู่มาก สติปัญญา ของเขานั้นไม่ใกล้เคียงกับ ราชันฉี เลย
“ดังนั้นมันจึงมีเหล่าขุนนางจำนวนไม่น้อยที่ไม่พอใจการตัดสินใจนี้ขององค์จักรพรรดิ ซึ่งมันกลายเป็นโอกาสให้ ราชันฉี ปลุกระดมเหล่าขุนนางจำนวนมากให้มาเข้าข้างเขา และนั่นทำให้ตอนนี้ในราชสำนักมีการแบ่งฝ่ายกันอย่างชัดเจน”
“ขณะนี้ทั้งสองฝ่ายต่างกำลังคานอำนาจกันอยู่และเพื่อที่จะสร้างความได้เปรียบใน ขุมอำนาจของตน พวกเขาจึงจำเป็นต้องดึงเหล่าตระกูลที่มีชื่อเสียงในอาณาจักรเข้าร่วมให้ได้มากที่สุด ซึ่งตระกูลฉู่ของเราที่ควบคุมการค้าเกลือและอาวุธในเมืองจันทร์กระจ่างจึงตกเป็นเป้าหมายหลักของทั้งสองฝ่าย
“ถึงอย่างนั้น ตระกูลฉู่ ของเราไม่ต้องการมีส่วนร่วมในเรื่องนี้ พวกเราจึงปฏิเสธที่จะเข้าข้างไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใดก็ตาม ซึ่งการกระทำนี้ของเรามันส่งผลให้ทั้งสองฝ่ายผิดหวังและกังวลไป พร้อม ๆ กัน องค์จักรพรรดิทรงกังวลว่าเราจะเลือกเข้าข้างราชันฉี พระองค์จึงทรงแต่งตั้งรองเสนาบดีกระทรวงการคลัง ซ่างหง ให้มาดำรงตำแหน่งเป็นผู้ตรวจการมณฑลหลิงฉวนคนใหม่ เพื่อให้ ซ่างหง เข้ามาแทรกแซงการค้าเกลือและอาวุธ ซึ่งการกระทำนี้มันกล่าวได้ว่าองค์จักรพรรดิมุ่งเป้ามาที่ตระกูลฉู่ ของเราโดยตรง
“ในขณะเดียวกัน ราชันฉี ก็กำลังดูเหตุการณ์อยู่อย่างใจเย็นจากด้านข้าง ซึ่งเขาคงกำลังรอให้เราหมดแรงจากการรับมือกับ ซ่างหง และคนอื่น ๆ ก่อนที่จะเล่นเป็นคนดีและเกลี้ยกล่อมให้เราเข้าร่วมฝ่ายของเขา เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เจ้าเมืองจันทร์กระจ่างเองก็เป็นสมาชิกของฝ่ายราชันฉีเหมือนกัน ซึ่งเจ้าก็น่าจะได้เห็นแล้วที่บ่อน”
ในที่สุด ซูอัน ก็เข้าใจถึงความยุ่งเหยิงทั้งหมดที่เกิดขึ้นที่นี่ สิ่งนี้มันอธิบายได้ทั้งหมดว่าทำไมถึงไม่มีใครชอบหน้าเขาเลยตั้งแต่เขากลายเป็นลูกเขยของตระกูลฉู่ และบางคนถึงกับพยายามเอาชีวิตเขาด้วยซ้ำ ที่แท้คนเหล่านั้นไม่ใช่ริษยาเขาที่มีภรรยาที่งดงามเช่น ฉู่ชูเหยียน แค่เพียงอย่างเดียว แต่ดูเหมือนว่ามันจะเป็นทั้งตระกูลฉู่ทั้งหมดที่คนพวกนั้นกำลังอยากจะยึดครอง
“ด้วยเหตุนี้ ตระกูลฉู่ของเราจึงต้องย่างก้าวอย่างระมัดระวัง เราต้องไม่เปิดช่องให้ไม่ว่าจะ ฝั่งไหนมีข้ออ้างโจมตีเราได้” ฉู่ชูเหยียน อธิบายขึ้นด้วยสีหน้าขมขื่น
อันที่จริงนางเองก็รู้ดีว่าไม่มีทางที่ตระกูลของนางจะต้านทานแผนการที่พุ่งเป้ามาโดยตรงแบบนี้ได้นานนัก มันเป็นเพียงแค่ว่าตระกูลฉู่จะทนได้ถึงสักเท่าไหร่ก่อนที่จะพลาดพลั้งหรือว่ายอมจำนนด้วยตัวเอง อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้มันไม่มีทางเลือกอื่นมากนักนอกจากตอนนี้ที่ทำได้เพียงอดทนต่อไปก่อน
ซูอัน อดไม่ได้ที่จะถามขึ้น “ข้าไม่เข้าใจว่าทำไมพวกเจ้าถึงยืนกรานที่จะอยู่ในตำแหน่งที่เป็นกลางนัก? มันไม่ดีกว่าหรือไงที่เลือกฝ่ายไปให้สิ้นเรื่อง? อย่างน้อยที่สุด ตระกูลฉู่ก็ไม่ต้องอยู่ในตำแหน่งที่ยากลำบากเหมือนที่เป็นอยู่ในตอนนี้”
ฉู่ชูเหยียน ส่ายหัวและกล่าวว่า “ประเด็นหลักก็คือขณะนี้ทั้งสองฝ่ายยังคงมีอิทธิพลเท่าเทียมกันอยู่ ดังนั้นเราจึงไม่มีทางรู้ได้เลยว่าใครจะเป็นคนกำชัยชนะในท้ายที่สุด หากเราเลือกฝ่ายผิดมันจะหมายความว่านั่นคือหายนะครั้งใหญ่ของตระกูลฉู่ ดังนั้นถึงแม้ว่าการทำตัวเป็นกลางในตอนนี้มันจะทำให้เรายากลำบาก แต่ตราบใดที่เราสามารถอดทนไปได้ถึงตอนจบของเรื่องไม่ว่าฝ่ายใดชนะฝ่ายนั้นจะต้องใช้เวลาในการฟื้นฟู และเมื่อถึงเวลานั้นพวกเขาย่อมเต็มใจยอมรับพวกเราไปเข้าฝั่งโดยไม่มีข้อแม้ อย่างน้อยที่สุด สิ่งนี้จะช่วยให้แน่ใจได้ว่าตระกูลฉู่ของเราอยู่รอดได้ ในตอนจบ”
ซูอัน รู้สึกทึ่งกับแผนการของตระกูลฉู่ พวกคนที่ขลุกอยู่ในการเมืองพวกนี้ช่างน่าทึ่งจริง ๆ แม้แต่คนที่ดูเถรตรงอย่าง ชูซ่งเทียน ก็ยังมีด้านที่เจ้าเล่ห์ไม่ต่างอะไรกับคนอื่น ๆ
ข้าควรระวังให้มากกว่านี้ พวกคนตระกูลขุนนางพวกนี้ล้วนแล้วแต่เป็นพวกจิ้งจอกเจ้าเล่ห์! หืม? ว่าแต่ เพ่ยเหมียนหมาน ก็แอบย่องเข้าไปในตระกูลฉู่ เพื่อขโมยสมุดบัญชีนี่นา? นี่นางเป็นคนของฝ่ายไหนกันแน่…
แต่แล้วจู่ ๆ รถม้าก็หยุดลงกะทันหัน พร้อมกับมีเสียงเอะอะโวยวายเกิดขึ้นด้านนอก ฉู่ชูเหยียน ขมวดคิ้วพร้อมกับตะโกนถามเหล่าทหารคุ้มกันที่อยู่ด้านนอกทันที “เกิดอะไรขึ้น ข้างนอก?”
ทหารคุ้มกันของตระกูลฉู่ ตอบกลับอย่างรวดเร็วว่า “รายงานคุณหนูใหญ่ ดูเหมือนว่ารถม้าของนายน้อยคนที่หกของตระกูลซือ จะอยู่ข้าหน้าพวกเรา ส่งผลให้ตอนนี้มีชาวบ้านจำนวนมากออกมายืนกันอยู่เต็มถนนเพื่อโยนดอกไม้และผลไม้ไปยังรถม้าของเขา”
ซูอัน รู้สึกงุนงงและถามกลับทันที “ไอ้นายน้อยตระกูลซืออะไรนั่นเป็นครึ่งคนครึ่งลิงงั้นหรือ? ทำไมผู้คนมากมายถึงต้องออกมาดูเขา แถมยังโยนผลไม้ให้กับเขาด้วย?”