เซียนคีย์บอร์ด [陆地键仙] - บทที่ 234 อาชญากร
เจิ้งกวนซีถึงกับสะดุ้งโหยงทันที “น…นายน้อยซู แต่ก่อนหน้านี้ท่านเรียกร้องจากบ่อนโกยเงินแค่ 1 ใน 10 เท่านั้นเอง!”
“กรณีนั้นมันต่างกับของเจ้า พวกเขาเป็นหนี้ข้า 7,500,000 ตำลึงเงิน ซึ่งเงินจำนวนขนาดนั้นข้าเข้าใจว่ามันมหาศาลและพวกเขาคงไม่สามารถหาเงินมาใช้ข้าได้ภายในระยะเวลาอันสั้นแน่นอน แต่อย่างไรก็ตาม จำนวนเงินที่เจ้าเป็นหนี้ข้านั้นต่ำกว่ามาก…เจ้ากำลังพยายามบอกข้าว่าบ่อนของเจ้าไม่มีเงินมากมายขนาดนั้นทั้ง ๆ ที่ยอมรับการเดิมพันของข้าเนี่ยนะ?” ซูอันเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชา
โชคดีที่เขาวางเดิมพันเอาไว้เพียง 10,000 ตำลึงเงิน ไม่เช่นนั้นคราวนี้เขาคงทวงเงินลำบากยิ่งกว่าเดิม
“ถูกต้อง! เจ้าเปิดให้พนันทำไมในเมื่อเจ้าไม่มีปัญญาจ่ายเงินให้กับลูกค้าของเจ้าเองได้?”
“ข้าคิดว่าการกระทำของเฒ่าตู๋ในตอนแรกมันน่าจะเป็นแผนของบ่อนสี่สมุทรที่พยายามจะหลบเลี่ยงการจ่ายเงิน!”
“ฮ่า ๆ! ดูเหมือนว่าลูกเขยของตระกูลฉู่ จะเป็นศัตรูตัวฉกาจของบ่อนทั้งหมด”
“ครั้งหน้าเราควรแทงตามเขาให้หมด ข้ามั่นใจว่าเขาจะเป็นแสงนำทางเราไปสู่ความร่ำรวย!”
…
ฝูงชนชี้นิ้วไปที่เจิ้งกวนซีและวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง สิ่งนี้ทำให้ เจิ้งกวนซีรู้สึกหงุดหงิดอย่างไม่น่าเชื่อ ทันใดนั้นร่างกายของเขาก็กระตุกเล็กน้อย ราวกับว่าจู่ ๆ มีคนมากระซิบที่ข้างหูของเขา และจากนั้นไม่นานเขาก็หันไปหาซูอันแล้วพูดว่า “เกี่ยวกับเรื่องนี้ เอาเป็นว่าอันดับแรกทางเราขอจ่ายเงินให้ท่านก่อนจำนวนเงินครึ่งหนึ่งของรางวัล ส่วนที่เหลือ เราจะเขียนเป็นตั๋วหนี้ในอัตราดอกเบี้ย 2 ใน 10 ส่วนต่อปี ท่านฟังดูเป็นอย่างไรบ้าง?”
เมื่อได้ยินข้อเสนอนี้ ซูอันก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจทันที “เจ้าควรจะทำแบบนี้ตั้งแต่แรก เอาล่ะนำเงินออกมาให้ข้าได้แล้ว!”
อันที่จริงซูอันไม่คิดอยู่แล้วว่าเขาจะได้รับเงินเต็มจำนวนมาในทีเดียว ดังนั้นการได้รับเงินจำนวน 500,000 ตำลึงเงินมาก่อนนั้นค่อนข้างน่าพึงพอใจสำหรับเขาแล้ว ต้องไม่ลืมว่าที่บ่อนโกยเงินเขาสามารถทวงเงินมาได้เพียง 150,000 ตำลึงเงินเท่านั้นเอง…
ในห้องด้านหลังของบ่อน ซ่างเชียนกัดฟันกรอดพร้อมกับพึมพำอย่างโกรธจัด “ข้าอยากจะเอากำปั้นของข้าทุบไปที่หน้าของมันจริงๆ!”
เจิ้งตานส่ายหัวและพูดว่า “เขาพาฉู่ชูเหยียนมาด้วย ท่านคงไม่สามารถทำอะไรเขาได้ในวันนี้หรอก”
ซ่างเชียนมองเจิ้งตานอย่างสงสัยก่อนที่จะถามขึ้น “ทำไมเจ้าดูไม่โกรธเลย?”
“ท่านจะให้ข้าโกรธอะไรล่ะ? ไม่ว่ายังไงแผนของเราก็คือให้ข้าเข้าไปใกล้เขาเพื่อขโมยตั๋วหนี้อยู่แล้ว” เจิ้งตานตอบในขณะที่นางมองดูซูอันอย่างตั้งใจผ่านรอยต่อของกำแพงไม้ “เมื่อถึงเวลาข้าก็แค่ขโมยเงินของเรามาด้วย แค่นั้นเราก็จะได้เงินของเราคืนมาพร้อมกับได้กำไรมาอีกต่างหากไม่ใช่หรือไง”
เมื่อได้ยินเช่นนี้สีหน้าของ ซ่างเชียนก็ผ่อนคลายลง เขาพยักหน้าเห็นด้วย “ข้าไว้ใจเจ้า แต่เจ้าต้องปกป้องตัวเองให้ดี จำไว้ว่า เจ้าต้องไม่อนุญาตให้เขาเอาเปรียบเจ้า”
“ข้ารู้” เจิ้งตานตอบกลับ
“นอกจากนี้ เราควรปรับเปลี่ยนกฎของบ่อน เราไม่ควรเสนออัตราการจ่ายที่สูงเช่นนี้อีกต่อไปและเราควรจำกัดการเดิมพันในประเภทอัตราจ่ายเงินเดิมพันสูง มิฉะนั้นเราอาจจะล้มละลายจากอุบัติเหตุประหลาดเช่นนี้ ” ซ่างเชียนเอ่ยขึ้นแนะนำ…
เขาไม่สามารถปล่อยให้ว่าที่ภรรยาของเขาคอยเก็บกวาดสิ่งที่เขาทำได้ทุกครั้งในสองสามวันที่ผ่านมา ด้วยเหตุผลบางอย่างเขารู้สึกกระวนกระวายอยู่ภายในใจราวกับว่าเดี๋ยวนี้เขากลายเป็นแมงดาไปแล้ว?
…
หลังจากรับเงินและตั๋วหนี้มาแล้ว ซูอัน และคนอื่น ๆ ของตระกูลฉู่ก็เดินทางกลับไปที่คฤหาสน์ตระกูลฉู่ ซูอันมอบตั๋วเงินส่วนหนึ่งให้กับเฉิงโซวผิง ซึ่งมันทำให้เด็กน้อยหัวซาลาเปารู้สึกตื่นเต้นมากจนมือของเขาสั่นไม่หยุด
ถัดมาซูอันยังแจกตั๋วเงินบางส่วนให้กับเหล่าทหารยามของตระกูลฉู่ด้วย ในตอนแรกบรรดาทหารต่างก็ลังเลที่จะรับมัน แต่เมื่อเห็นว่าฉู่ชูเหยียนไม่ได้พูดอะไร พวกเขาก็รับตั๋วเงินมาจากซูอันด้วยสีหน้าตื่นเต้นเป็นอย่างมาก ทุกคนต่างก็มีครอบครัวที่ต้องเลี้ยงดูดังนั้น เงินที่ได้รับเพิ่มเติมมานี้ย่อมทำให้พวกเขารู้สึกมีความสุข…
“นายน้อยซู วันนี้ท่านดูองอาจจริงๆ!”
“ฮ่า…ไม่รู้ทำไมยิ่งข้ามองมากเท่าไหร่ข้าก็ยิ่งรู้สึกว่านายน้อยยิ่งเหมาะสะสมกับคุณหนูใหญ่มากขึ้นเท่านั้น!”
“เพื่อเห็นแก่ความงดงามของตั๋วเงินนี้ในมือของข้า ข้ายอมเห็นด้วยกับคำพูดประโยคนี้ของเจ้า แต่แค่เพียงครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้นนะ!”
…
ซูอันยืนตั๋วเงินปึกหนึ่งให้กับฉู่ชูเหยียนด้วย “นี่…ส่วนแบ่งของเจ้า”
อย่างไรก็ตามฉู่ชูเหยียนกลับไม่ยอมรับ “ข้าไม่ต้องการมัน”
“เจ้าจะเกรงใจไปเพื่ออะไร? เจ้ามีส่วนอย่างมากในการทวงหนี้ครั้งนี้ด้วย” ซูอันหัวเราะออกมาอย่างเปี่ยมสุข “ตอนนี้ข้ารวยแล้ว ถึงเวลาที่ข้าต้องหาเลี้ยงเจ้าบ้างแล้ว!”
ฉู่ชูเหยียนยังคงนิ่งสนิท
ถ้าเขายังคงแสดงท่าทางอวดดีแบบนี้ต่อไป นางคิดว่าตัวนางเองคงอดใจไม่ไหวที่จะตีเขาให้หลาบจำแน่ๆ!
แม้หลังจากกลับไปถึงคฤหาสน์ตระกูลฉู่ ซูอันก็ยังคงมีความสุขมากจนนอนไม่หลับทั้งคืน เมื่อเขาตื่นขึ้นในวันรุ่งขึ้นเขาก็รู้สึกสดชื่นเต็มที่ ท้องฟ้าสีฟ้าที่เต็มไปด้วยเมฆสีขาวดูสวยงามกว่าที่เคย และแม้แต่อากาศก็ยังสดชื่นกว่าปกติ
แต่แล้วในขณะที่เขากำลังจะเดินทางไปที่สถาบันจันทร์กระจ่างเพื่อเริ่มต้นวันใหม่อันรุ่งโรจน์จู่ ๆ เจ้าหน้าที่แต่งตัวบ่งบอกว่ามาจากทางการกลุ่มหนึ่งเดินตรงปรี่เข้ามาหาเขาที่หน้าคฤหาสน์ตระกูลฉู่และตะโกนว่า “ซูอัน เจ้าต้องตามเรากลับไปที่ หยาเหมิน เพื่อถูกพิจารณาคดีในอาชญากรรมที่เจ้าก่อเอาไว้! ” [1]
ซูอันตกตะลึง เขาไม่เคยคิดเลยว่าจะมีวันที่พลเมืองสุจริตอย่างเขาจะถูกเจ้าหน้าที่ทางการตามจับ
เขาเนี่ยนะก่ออาชญากรรม?! อาชญากรรมอะไร?!
ในขณะที่เขายังคงจมดิ่งอยู่ในความสับสน เจ้าหน้าที่ได้ตรึงมือของเขาไว้ข้างหลังด้วยโซ่ตรวนโลหะคู่หนึ่งแล้ว โชคดีที่ทหารยามของตระกูลฉู่อยู่ด้วยและไม่ยอมให้เขาถูกจับไปง่าย ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากทหารยามเหล่านี้รับเงินจากเขาไปเมื่อวันก่อน
“ซูอัน เจ้าพยายามที่จะต่อต้านการจับกุมงั้นเหรอ!?” หัวหน้ากลุ่มเจ้าหน้าที่ถามอย่างเย็นชา
ในที่สุด ซูอันก็หลุดจากอารมณ์สับสนและตั้งตัวได้
เมื่ออยู่ในโลกนี้มาระยะหนึ่งแล้ว เขารู้ดีว่าราชสำนักมีอำนาจเพียงใด ดังนั้นเขาจึงก้าวไปข้างหน้าและหยุดทหารยามของตระกูลฉู่ ก่อนที่จะถามกลับว่า “อย่างน้อยเจ้าควรให้เหตุผลกับข้าอย่างน้อยที่สุดเจ้าคงไม่อาจจับตัวข้าไปโดยไร้เหตุผลใช่ไหม?”
“เจ้าไม่ควรทำตัวชั่วช้าตั้งแต่แรกถ้าเจ้าไม่ต้องการให้คนอื่นรู้เรื่องนี้” หัวหน้ากลุ่มเจ้าหน้าที่ชี้ไปที่ด้านหลัง “ไม่ได้ยินเสียงของคนเหล่านั้นหรือไง”
ซูอันหันศีรษะไปมองแล้วก็ต้องตกใจกับสิ่งที่เขาเห็น ฝูงชนจำนวนมากวิ่งมาทางเขาด้วยใบหน้าที่ขุ่นเคืองและคำรามอย่างโกรธจัด
“ฆาตกรต้องถูกลงโทษ!”
“ตระกูลฉู่สมควรมีส่วนรับผิดชอบที่ปล่อยให้ลูกเขยออกไปก่ออาชญากรรมอันเลวทราม!”
…
เมื่อเห็นป้ายข้อความที่มีประโยคเช่น ‘นำความยุติธรรมกลับสู่ราชวงศ์โจวที่ยิ่งใหญ่’ และ ‘ชีวิตสามัญชนสำคัญเช่นกัน’ ที่ฝูงชนชูขึ้นพร้อมกับพร่ำตะโกนด่า ซูอันอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว เขารู้สึกเหมือนกำลังตกลงไปในหลุมพรางขนาดใหญ่
ขณะเดียวกันนี้เองที่ ฉู่จงเทียน ฉินหว่านหรู ฉู่ชูเหยียน และคนอื่น ๆ รีบออกมาดู ส่วนฉู่ฮวนเจายังคงอยู่ในคฤหาสน์ตระกูลฉู่เพราะนางยังคงต้องฟื้นตัวจากอาการบาดเจ็บ และฉู่จงเทียนสั่งห้ามไม่ให้นางออกมาด้วย…
“เกิดอะไรขึ้น?” ฉู่จงเทียนสั่งให้คนของเขาหยุดฝูงชนที่ก่อจลาจลก่อนที่จะหันไปหาหัวหน้ากลุ่มเจ้าหน้าที่ด้วยสายตาที่เย็นชา
การแสดงออกของหัวหน้ากลุ่มเจ้าหน้าที่เป็นมิตรขึ้นในทันที “ท่านอ๋องฉู่ ซูอัน ลูกเขยของท่านตกเป็นผู้ต้องสงสัยในการสังหารใต้เท้าหยางเว่ย และพลเมืองดอกบ๊วยสิบสอง และ ดอกบ๊วยสิบสาม ท่านเจ้าเมืองได้สั่งให้พวกเรามาจับกุมเขาเพื่อนำไปพิจารณาคดี”
ทุกคนในตระกูลฉู่ ต่างตกตะลึงเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ แม้การที่ดอกบ๊วยสิบสองและดอกบ๊วยสิบสามถูกฆ่าตายจะไม่นับเป็นเรื่องใหญ่ แต่การตายของหยางเว่ยไม่ใช่อย่างนั้น แม้เขาจะเป็นข้าราชการชั้นผู้น้อย แต่เขาก็ยังเป็นหนึ่งในคนของราชสำนัก
ซูอันตื่นตัวอย่างรวดเร็ว คนทั้งสามเคยมีความขัดแย้งกับเขามาก่อน ดังนั้นการตายของพวกเขาจึงบอกเป็นนัยถึงอุบายที่มุ่งตรงมายังเขา!
หยาเหมิน (Yamen) เป็นหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายในจีนโบราณ ซึ่งการพิจารณาคดีอยู่ภายใต้การดูแลของเจ้าหน้าที่ ซึ่งมักจะเป็นรองผู้พิพากษาหรือผู้พิพากษาเอง