เซียนคีย์บอร์ด [陆地键仙] - บทที่ 254 เจ้าต้องหมั้นกับข้าเพื่อตอบแทน!
ผีดิบดึงหนามทั้งหมดออกก่อนที่จะพุ่งเข้าหาราชาหนูปีศาจขนสีทองอีกครั้งพร้อมกับกระบองไม้ในมือ
“จี๊ด!!”
ขนของราชาหนูนั้นตั้งขึ้น แต่ไม่ใช่เพราะความฮึกเหิม แต่เป็นความกลัว มันใช้ท่าโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดแล้ว แต่ศัตรูของมันยังไม่เป็นอะไร มันจะไปสู้กับคู่ต่อสู้แบบนี้ได้ยังไงกัน!
ราชาหนูปีศาจขนทองหันหลังหนีทันที ถึงแม้มันจะเป็นราชาที่ต้องปกป้องประชากรหนูของตัวเอง แต่สถานการณ์ปัจจุบันเลวร้ายมากจนมันต้องถอดใจ
เมื่อมองดูเหตุการณ์ด้านบน ซูอันก็ขมวดคิ้วอย่างช่วยไม่ได้ พลังป้องกันของผีดิบทำให้เขาตื่นตระหนก เขาไม่คิดว่าตัวเองจะสามารถอยู่ได้โดยไม่สะทกสะท้านหลังจากถูกหนามขนาดเท่าหอกเสียบทะลุร่าง
“เสี่ยวซี มีบันทึกเกี่ยวกับพวกผีดิบในมิติลับนี้บ้างมั้ย?” ซูอันถาม
จี้เสี่ยวซีส่ายหัวเป็นคำตอบ “ข้าไม่เคยได้ยินว่ามีผีดิบในมิติลับหยกจรัสมาก่อน ในเอกสารของสถาบันไม่มีข้อมูลอะไร และพ่อของข้าก็ไม่เคยพูดถึงผีดิบกับข้ามาก่อนเลยเช่นกัน”
ซูอันรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย เขาจำได้ว่ามิติลับเปิดก่อนเวลาที่คาดไว้ และเจียงลั่วฝูเคยเตือนเขาว่ามีบางอย่างผิดปกติเกี่ยวกับมิติลับในครั้งนี้
เพราะข้าอยู่ที่นี่ เลยเกิดเรื่องแปลก ๆ ขึ้นงั้นเหรอ? บัดซบ! นี่คือเหตุการณ์พิเศษที่พระเอกในนิยายจะต้องเจอใช่หรือเปล่า?
“มีคาถาธาตุแสงหรืออะไรคล้าย ๆ แบบนั้นบ้างไหม? เราจะฆ่าสัตว์ประหลาดพวกนี้ได้ด้วยอะไรได้บ้าง?”
“คาถาธาตุแสง?” จี้เสี่ยวซีขมวดคิ้ว “ข้าไม่ค่อยรู้เรื่องทักษะเกี่ยวกับธาตุมากนัก และยิ่งไปกว่านั้นผู้บ่มเพาะที่เข้าใจธาตุแสงมีจำนวนน้อยอย่างไม่น่าเชื่อ ข้าไม่คิดว่าจะมีผู้บ่มเพาะธาตุแสงในเมืองจันทร์กระจ่าง สำหรับการจัดการกับผีดิบนั้นมีบันทึกบางอย่างบอกเอาไว้ว่าพวกมันจะหยุดเคลื่อนไหวเมื่อเราตัดหัวมันทิ้ง นอกจากนั้น…ยังมีข่าวลือว่าพวกมันแพ้ธาตุไฟ”
“ธาตุไฟ?” ซูอันขมวดคิ้ว
ไฟธรรมดาจะทำอะไรกับไอ้พวกนี้ได้จริงงั้นเหรอ? และยิ่งไปกว่านั้นมันแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะจุดไฟในหุบเขาที่มีลมแรงแบบนี้!
เขารีบทบทวนทักษะทั้งหมดที่เขาเคยเรียนรู้มาอย่างรวดเร็ว แต่ดูเหมือนว่าไม่มีทักษะใดที่จะเป็นประโยชน์ในการจัดการกับผีดิบที่มีพลังป้องกันสูงเหล่านี้ แม้แต่ ‘เพลงกระบี่ปราบมาร’ ที่เขาสุดแสนจะภาคภูมิใจ เพียงแค่เขาหลับตาก็จินตนาการได้ว่าเมื่อไหร่ที่กระบี่ของเขาฟาดลงบนตัวพวกผีดิบ มันคงกระเด้งกลับออกมาราวกับฟันลงไปยังแผ่นเหล็กกล้าแน่นอน!
ในท้ายที่สุด…มีเพียงหนึ่งในสามของหนูปีศาจขนทองทั้งหมดที่สามารถหลบหนีไปได้ ส่วนใหญ่ถูกพวกผีดิบจับและกัดกิน
อันที่จริง เหตุผลเดียวที่หนึ่งในสามของพวกมันสามารถหลบหนีได้เป็นเพราะในตอนแรกมีผีดิบไม่มากนัก อย่างไรก็ตาม เมื่อกลิ่นเลือดเริ่มอบอวลไปทั่วหุบเขา ผีดิบก็ทยอยโผล่ออกมาจากพื้นดินเพื่อหาเหยื่อ
“เจ้ามียาอะไรที่จะลบกลิ่นของเราได้บ้างมั้ย? รีบเอามาใช้เร็ว ก่อนจะสายเกินไป!” ซูอันรีบเอ่ยขึ้น
ก่อนหน้านี้พวกเขาแค่เจอกับกองทัพหนู แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าตกอยู่ในท่ามกลางฝูงผีดิบที่แข็งแกร่งกว่าหนูไม่รู้กี่เท่า ความหวังเดียวของพวกเขาที่จะอยู่รอดคือทำอย่างไรก็ได้ให้ฝูงผีดิบหาพวกเขาไม่พบ
“ข้ามี!” จี้เสี่ยวซีหยิบขวดยาออกมาจากกระเป๋าของนางและแบ่งปันให้ ซูอันโรยใส่ตัว
ในที่สุดซูอันก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“อีกนานมั้ยกว่าพวกมันจะกลับลงไปใต้ดิน?”ซูอันมองฝูงผีดิบด้วยใจที่หนักอึ้ง
ในภาพยนตร์ ผีดิบมักจะหลบเลี่ยงแสง และขณะนี้ยังเป็นเวลากลางวัน แต่แสงแดดธรรมชาติในหุบเขากลับถูกปิดกั้นจากสันเขาที่ล้อมรอบ ทำให้บริเวณรอบ ๆ มืดลง ที่เลวร้ายไปกว่านั้น พระอาทิตย์ดูเหมือนจะกำลังตกดินเสียแล้วในตอนนี้…
ซากศพเดินได้เหล่านี้จะเตร็ดเตร่ตลอดไปทั้งคืนเลยหรือเปล่า?
ซูอันสงสัยว่ามิติลับเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ที่นี่มีดวงอาทิตย์ในตอนกลางวันด้วย เขาสงสัยว่าดวงจันทร์จะขึ้นในตอนกลางคืนหรือไม่
ระหว่างนี้ผีดิบก็กำลังกินเหยื่ออย่างมีความสุข เนื้อและเลือดดูเหมือนจะเป็นอาหารอันโอชะในสายตาของพวกมัน
เมื่อกลิ่นคาวเลือดเริ่มเข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ ซูอันรู้สึกว่าท้องไส้ของเขาปั่นป่วน แต่เขาก็พยายามอย่างสุดฤทธิ์ที่จะไม่อาเจียนออกมา ส่วนจี้เสี่ยวซีที่กินอาหารเข้าไปก่อนหน้านี้จำนวนมาก กลิ่นเหม็นของเลือดและภาพของผีดิบที่กัดกินหนูปีศาจขนทองรอบ ๆ ตัว ทำให้นางเริ่มอาเจียน
เรื่องจริงที่ควรรู้อย่างหนึ่งคือ แม้แต่เทพธิดาที่งามที่สุดก็ไม่อาเจียนออกมาเป็นสตรอเบอร์รี่หรือสายรุ้ง!
“ซวยแล้ว!” ซูอันร้องออกมาเพราะสถานการณ์เริ่มเปลี่ยนไปอีกแล้ว
ความโกลาหลเล็กน้อยเกิดจากการอาเจียนของจี้เสี่ยวซี ทำให้ผีดิบบางส่วนเงยหน้าขึ้นมามองพวกเขาที่อยู่บนต้นไม้ พวกมันส่วนใหญ่ไม่มีลูกตา แต่ซูอันมั่นใจว่าพวกมันกำลังจ้องมองพวกเขาอยู่!
ผีดิบที่จับหนูปีศาจขนทองไม่ได้เริ่มเดินมาที่ต้นไม้ของพวกเขา
ซูอันตัวสั่นด้วยความกลัว ต้นไม้นั้นหวิดจะโค่นจากการกัดแทะของพวกหนูอยู่แล้ว และคงจะล้มในเวลาไม่นาน แค่คิดถึงสภาพที่น่าสมเพชของพวกหนูที่ตกลงไปในดงผีดิบก่อนหน้านี้มันก็ยิ่งทำให้เขาสั่นสะท้าน
เขาหันไปหาจี้เสี่ยวซีอย่างรวดเร็วและถามว่า “ยาพิษมีผลกับผีดิบบ้างมั้ย?”
“พิษของข้าใช้ได้กับสิ่งมีชีวิตเท่านั้น แต่พวกมันตายไปแล้ว” จี้เสี่ยวซีตอบด้วยใบหน้าซีด “ข้าขอโทษ มันเป็นความผิดของข้าเอง”
ถ้าไม่ใช่เพราะความตะกละของนาง นางก็คงไม่อาเจียนออกมาเรียกความสนใจจากผีดิบพวกนี้
“ตอนนี้พูดไปก็ไม่มีประโยชน์” ซูอันกล่าว “ข้าจะล่อพวกมันออกไปเอง แล้วเจ้าก็ห้ามส่งเสียงอะไรออกมาล่ะ”
จี้เสี่ยวซีตื่นตระหนก “ไม่ได้! เราต้องไปด้วยกัน!”
ซูอันส่ายหัวและพูดว่า “ข้ามีทักษะที่ทำให้เคลื่อนไหวได้เร็วขึ้นและสามารถหลบหลีกพวกมันได้ ถ้าเราจะต้องตายไปด้วยกัน สู้ให้ข้าล่อผีดิบออกไป แล้วเจ้าไปพาคนอื่นมาช่วยข้าอีกทีจะดีกว่า!”
“พี่ใหญ่ อาซู…” ดวงตาของจี้เสี่ยวซีแดงก่ำ นางรู้ว่านางอยู่กับเขาไปก็รังแต่จะเป็นตัวปัญหาแต่บางครั้งเหตุผลและอารมณ์ก็ไม่ได้เป็นไปในทางเดียวกัน นางรู้สึกว่านางเป็นคนที่ทำให้ซูอันตกอยู่ในอันตราย
เมื่อเห็นความรู้สึกผิดบนใบหน้าของจี้เสี่ยวซี ซูอันรีบกล่าวว่า “เจ้าห้ามทำอะไรโง่ ๆ เด็ดขาด อย่าให้ความพยายามของข้าต้องสูญเปล่า!”
“เข้าใจแล้ว… แต่พี่อาซู ท่านต้องสัญญากับข้าก่อนว่าท่านจะไม่เป็นอะไร!” ดวงตาของนางเต็มไปด้วยน้ำตา
“เจ้าจะหมั้นกับข้าเป็นการตอบแทนถ้าข้ารอดตายคราวนี้ได้มั้ย?” ซูอัน ล้อเล่นในขณะที่ประเมินสถานการณ์ไปด้วย
จี้เสี่ยวซีหน้าแดงขึ้น “แต่ท่านมีภรรยาแล้ว…”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ภรรยาข้าไม่รังเกียจที่ข้าจะมีผู้หญิงคนอื่น ตกลงนะ ข้าไปล่ะ!” ซูอันยิ้มและกระโดดไปด้านล่าง
ผีดิบที่กำลังส่งเสียงร้องอื้ออึงส่วนใหญ่หันมามองซูอันทันที แต่ก็ยังมีบางส่วนที่มองไปยังจุดที่จี้เสี่ยวซีซ่อนอยู่…
ดังนั้นซูอันจึงปรบมือเสียงดังและตะโกนขึ้นเพื่อดึงดูดความสนใจของพวกมัน “เฮ้ย ไอ้พวกบ้ากาม! ถ้าแน่จริงก็จับข้าให้ได้สิ! ถ้าจับได้ข้าอนุญาตให้พวกเจ้าแทะกระดูกข้าเล่นเหมือนหมา!”
อาจเป็นเพราะผีดิบเข้าใจคำพูดของเขา พวกมันทั้งหมดจึงหันไปทางเขาทันทีและพุ่งเข้าใส่
เมื่อเห็นภัยคุกคามที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้กำลังเข้ามาใกล้ ซูอัน ใช้งาน วิชาร่างก้าวทานตะวัน ทันทีเพื่อรักษาระยะห่างจากฝูงผีดิบ และพยายามล่อพวกมันให้ห่างจากจี้เสี่ยวซี
โชคไม่ดีที่มีผีดิบมากเกินไป การจะหลบหลีกพวกมันทั้งหมดจึงไม่ใช่เรื่องง่ายแม้ว่าเขาจะมีทักษะการเคลื่อนไหวที่ยอดเยี่ยมก็ตาม มีครั้งหนึ่งที่เป็นจังหวะเท้าของเขาเพิ่งแตะถึงพื้นพอดีและมีผีดิบตัวหนึ่งเหวี่ยงกระบองไม้มาที่หัวของเขาจนเขาต้องเบี่ยงตัวหลบอย่างฉิวเฉียดและเสียหลักไปชั่วครู่ ก่อนที่จะตั้งหลักได้และรวบรวมกำลังอีกครั้งเพื่อหลบหลีกต่อไป