เซียนคีย์บอร์ด [陆地键仙] - บทที่ 3 ลอบสังหาร (ต้น)
บทที่ 3 ลอบสังหาร (ต้น)
เมื่อเห็นสีหน้างุนงงของซูอัน ฉู่ชูเหยียนจึงเอ่ยขึ้นช้า ๆ ว่า “ข้าไม่สนว่าเจ้าจะไปได้ยินชื่อนี้มากจากไหน
แต่ต่อไปนี้ อย่าถามอะไรเกี่ยวกับสิ่งนี้อีก ไม่อย่างนั้นเจ้าจะต้องถูกฆ่าแน่ ๆ ”
ซูอันนิ่ง พูดอะไรไม่ออก ให้ตายเถอะพระเจ้า ดูเหมือนว่าดินแดนลึกลับพวกนี้จะกลายเป็นปัญหาเสีย
แล้ว แต่ทันใดนั้นเขาก็ชะงักไป งั้นมันก็หมายความว่าไอ้แป้นพิมพ์บ้านี่ก็หลอกเขาน่ะสิ! แค่เอ่ยถึงเขายังเกือบ
ถูกฆ่า แล้วอย่างนี้เขาจะไปเอา ‘คัมภีร์ลับ’ มาจากที่นั่นเพื่อปลดล็อคความสามารถพวกนั้นได้ยังไง?
ชายหนุ่มสูดหายใจเข้าไปจนเต็มปอดพยายามสงบสติอารมณ์
เห้อ~ ช่างเถอะ ต่อให้เขาไม่ได้มีพลังพิเศษมาตั้งแต่ต้นแล้วยังไง? แค่ได้ทะลุมิติมาเจอกับภรรยา
ที่สุดแซ่บขนาดนี้ก็ถือเป็นความโชคดีของเขาแล้ว เพราะฉะนั้นที่เหลือเขาจะหาทางเอง
ส่วนเรื่องความแตกต่างที่ชัดเจนของสถานะระหว่างเขากับฉู่ชูเหยียน เขาไม่ได้กังวลเลยสักนิด ก่อน
หน้านี้เขาเคยอ่านนิยายออนไลน์หลายเรื่องที่มีสถานการณ์คล้ายกับก่อนนี้ และเขาก็จะใช้เทคนิคที่ซึมซับมา
จากตัวละครพระเอกอย่างเช่น เซี่ยงเส้าหลง อุ้ยเสี่ยวป้อ หรือซ่งชิงซู ในการจัดการกับสถานการณ์ที่คล้าย ๆ กันเอา ต่อให้อีกฝ่ายจะเย็นชาเป็นภูเขาน้ำแข็ง แต่เขาก็มั่นใจว่าตัวเขานั้นจะทำให้คนตรงหน้าละลายได้
แค่นึกถึงภาพของเมื่อคืนที่เขานอนร่วมเตียงกับหญิงสาวที่สวยราวกับนางฟ้าก็เพียงพอที่จะทำให้เขา
ใจเต้นแรงแล้ว
เห้ย~ ใจเย็นหน่อยไอ้หนุ่ม เช็ดน้ำลายของนายก่อน รักษาภาพลักษณ์ของนายหน่อย!
ซูอันไม่ได้ถามอะไรอีกเนื่องจากเขาไม่อยากเพิ่มความสงสัยให้กับอีกฝ่าย แถม ฉู่ชูเหยียน เองก็ไม่ได้
คิดที่จะคุยอะไรกับเขาไปมากกว่านี้เช่นกัน ดังนั้นเขาจึงหันหน้าออกไปมองนอกหน้าต่างเพื่อดูสภาพแวดล้อม
โดยรอบ
ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็มองเห็นกำแพงเมืองปรากฏขึ้นตรงหน้า เมื่อพิจารณาจากขนาดของมันแล้ว ถ้า
หากเมืองนี้อยู่ในประเทศจีน ก็ถือได้ว่าที่นี่เป็นเมืองใหญ่เมืองหนึ่ง
ขณะที่ผ่านประตูเมือง ซูอันก็สังเกตเห็นว่าด้านบนของประตูมีตัวอักษรขนาดใหญ่สามตัวถูกเขียนเอา
ไว้ว่า ‘เมืองจันทร์กระจ่าง’ จากนั้นเขารำพึงกับตัวเอง
‘สงสัยเราคงต้องหาซื้อแผนที่ซะหน่อยเพื่อดูว่าเมืองนี้ตั้งอยู่ส่วนไหนของอาณาจักร ไอ้บ้าเจ้าของร่าง
คนก่อนทำไมมันโง่ขนาดนี้ มันไม่มีความรู้พื้นฐานอยู่ในสมองเลยแม้แต่นิดเดียว!’
เขายังคงมองไปตามท้องถนนของเมือง ถึงแม้ว่ามันจะเทียบไม่ได้กับย่านใจกลางเมืองสมัยใหม่ แต่
ท้องถนนก็เต็มไปด้วยผู้คนและพ่อค้าแม่ค้าจำนวนมาก และสิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจมากที่สุดก็คือ ในระหว่าง
ที่รถม้าคันนี้กำลังเคลื่อนที่ไปเรื่อย ๆ มันไม่มีแรงสั่นสะเทือนใด ๆ ที่เกิดขึ้นกับเขาเลย มันเคลื่อนที่ไปข้าหน้าได้
อย่างนุ่มนวลราวกับเขากำลังนั่งอยู่บนรถยุโรปสุดหรูยังไงยังงั้น
ทันใดนั้นเอง เขาก็เพิ่งสังเกตเห็นว่ามีเส้นสีฟ้าอ่อนไหลผ่านผนังด้านในรถม้า ซึ่งมันคล้ายกับวงจรไฟฟ้า
หรือสายไฟอะไรสักอย่าง หรือว่านี่คือ ‘ข่ายอาคม’ เหมือนในกับนิยายที่เคยอ่าน ๆ มา? นี่พวกเขาใช้ข่ายอาคม
กับรถม้าเหรอ? น่าประทับใจจริง ๆ!
เวลาผ่านไป ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงที่คฤหาสน์หลังใหญ่ที่มีรูปสลักหินขนาดใหญ่สองตัวอยู่ด้านหน้า
เขาไม่แน่ใจว่ารูปสลักพวกนี้เป็นสัตว์ชนิดใด พวกมันดูเหมือนกับการผสมกันของเสือและสิงโต แถมยังมีรัศมี
พลังที่แปลกประหลาดแผ่ออกมาให้เห็นอีกต่างหาก
รถม้าหยุดลงในที่สุด และฉู่ชูเหยียนลงจากรถม้า เดินตรงไปที่ประตูในขณะที่ทุก ๆ ย่างก้าวของนางจะมีกลีบดอกบัวบานมารองรับเอาไว้
ซูอันลอบมองไปรอบ ๆ เขาเห็นป้ายที่เขียนคำว่า ‘คฤหาสน์ตระกูลฉู่’ ติดไว้ที่เหนือประตู จากนั้นจึง
พึมพำกับตัวเอง
เห้อ! ชีวิตของผู้ชายคนนี้มันห่วยขนาดที่ต้องอาศัยอยู่ในบ้านของภรรยาเลยเหรอเนี่ย? เขาแต่งเข้า
ตระกูลของฝ่ายหญิงแทนที่จะพาเมียตัวเองกลับบ้าน? ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมคนอื่น ๆ ถึงดูถูกเขาแบบนี้!
แต่เมื่อชายหนุ่มกำลีงจะก้าวเข้าไปข้างใน เขาก็ถูกเสวี่ยเอ๋อร์ขวางเอาไว้อีกครั้ง “อย่าคิดที่จะใช้ประตู
หลักเชียว! ไปใช้ประตูด้านข้างนู่น!”
ซูอันงุนงง “ทำไมข้าถึงใช้ประตูหลักไม่ได้?”
เสวี่ยเอ๋อร์ แสดงสีหน้าเหยียดหยาม “ประตูหลังมีไว้ให้คนของตระกูลฉู่ผ่านเท่านั้น ลูกเขยอย่างเจ้ามี
คุณสมบัติอะไรที่จะใช้มัน? เจ้ามีแต่จะทำให้ประตูบานนี้แปดเปื้อน!”
ซูอัน หรี่ตามองหญิงสาวตรงหน้าและพูดว่า “ปากดีไม่เบานี่ ข้าเชื่อว่าแฟนหนุ่มของเจ้าคงจะไม่ค่อย
ทำการบ้านให้ล่ะสิ”
ถึงแม้ว่าเสวี่ยเอ๋อร์จะไม่รู้ว่ามันหมายความว่าอะไร แต่นางก็มั่นใจว่ามันคือคำดูถูกอย่างแน่นอน นาง
จึงคว้าคอเสื้ออีกฝ่ายอย่างโมโหและง้างมือเตรียมจะทุบตีอีกฝ่าย ในระหว่างที่กำปั้นของนางจะปะทะเข้ากับ
หน้าของอีกฝ่าย ซูอันก็ล้มลงกับพื้นและเริ่มกรีดร้องออกมา ‘ด้วยความเจ็บปวด’
ข้า…ยังไม่ทันได้ต่อยเขาเลยไม่ใช่เหรอ?
เสวี่ยเอ๋อร์มีสีหน้างุนงง เห็นได้ชัดว่า ‘การเสเเสร้งเพื่อพลิกสถานการณ์’ ไม่ใช่สิ่งที่มีอยู่ในโลกนี้
ฉู่ชูเหยียนที่ได้ยินเสียงจึงหันไปมองคนทั้งคู่ “ครั้งนี้เจ้าทำเกินไปหน่อยแล้ว! ไม่ว่ายังไงชายผู้นี้ก็เป็นลูก
เขยของตระกูลฉู่ ต่อไปนี้เจ้าห้ามปฏิบัติกับเขาแบบนี้อีก!”
สีหน้าของเสวี่ยเอ๋อร์เผยแววไม่เห็นด้วย แต่นางก็ไม่กล้าเถียงอะไรทั้งนั้นนางทำได้แต่ตอบรับอย่าง
อ้อยอิ่งว่า “ทราบแล้วเจ้าค่ะ คุณหนู”
จากนั้นฉู่ชูเหยียนจึงหันไปมองซูอัน “แล้วนั่นเจ้าจะลุกขึ้นได้หรือยัง?”
ซูอัน ที่ได้ยินแบบนั้นจึงรีบลุกขึ้นและกล่าวด้วยรอยยิ้มทะเล้น “เจ้าเองก็เป็นห่วงข้าเหมือนกันนี่นา”
ฉู่ชูเหยียนขมวดคิ้ว นางเผลอก้าวถอยหลังเพื่อให้ห่างจากอีกฝ่ายโดยไม่รู้ตัว จากนั้นจึงหมุนตัวและเดินเข้าไปด้านใน ขณะที่เสียงของนางดังลอยมาตามอากาศ “ท่านพ่อกับท่านแม่กำลังรออยู่ข้างใน อย่ามัวเสียเวลา
อยู่ตรงนี้”
“เมื่อคืนนี้เจ้าทำอะไรลงไปรู้ตัวหรือไม่! แล้วตอนนี้เจ้ากลับแสร้งทำเป็นไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างนั้นหรือ? หน้าด้านสิ้นดี! ข้าล่ะอยากเห็นจริง ๆ ว่านายท่านกับนายหญิงจะทำอย่างไรกับเจ้า!” เสวี่ยเอ๋อร์มองชายหนุ่ม
อย่างรังเกียจและรีบวิ่งตามคุณหนูของนางเข้าไปด้านใน
ซูอันนึกถึงบทสนทนาก่อนหน้านี้ทั้งหมด ดูเหมือนว่าเมื่อคืนนี้…ซูอันคนก่อนจะแอบขึ้นไปนอนเตียง
น้องสะใภ้สินะ?
พระเจ้า! แค่เริ่มเกมก็ยากนรกแตกแล้ว!
ดวงตาของเขาไปรอบ ๆ ขณะคิดการบางอย่าง แล้วทันใดนั้นเขาก็รีบเดินไปใกล้ ๆ กับหญิงสาวทั้งสองและเมื่อได้ระยะเขายกมือกุมหัวพร้อมกับตะโกนออกมาทันที “โอ๊ยยยย หัวข้า!!!!!”
ในขณะเดียวกันเขาก็ ‘ล้มตัว’ ไปทางหญิงสาวทั้งสอง…
แต่ทั้งคู่กลับก้าวหลบไปด้านข้าง ปล่อยให้เขาล้มลงกับพื้น
ตุบ!
ครั้งนี้ ซูอันเจ็บจนแทบจะร้องไห้ออกมาจริง ๆ แต่ก็ไม่กล้าที่จะโอดครวญออกมา การใช้อุบายเดิมไม่
ได้ผล เห็นได้ชัดเลยว่าผู้คนที่นี่ไม่ได้ใสซื่อและไร้เล่ห์เหลี่ยมเหมือนที่เขาคิดเลยสักนิด ครั้งนี้พวกนางจับโกหก
เขาได้ในทันที!
“ทำไมเจ้าไม่รับเขา?” ฉู่ชูเหยียนมองเสวี่ยเอ๋อร์ด้วยสายตาตำหนิ
อีกฝ่ายเบ้ปากเล็กน้อยพร้อมกับตอบกลับว่า “คุณหนูก็มองออกไม่ใช่เหรอว่าเขาแกล้งทำ!”
ฉู่ชูเหยียนมองซูอันที่ยังคงนอนอยู่กับพื้นและกล่าวว่า “ข้าได้ยินมาว่าวันนี้เขาเพิ่งถูกฟ้าผ่ามา บางที
เขาอาจจะบาดเจ็บจริง ๆ ก็ได้ เจ้าพาเขากลับไปพักเถอะ พาเขาไปอาบน้ำด้วย เดี๋ยวข้าจะไปพบกับท่านพ่อกับท่านแม่ของข้าเอง” หลังจากเอ่ยจบ หญิงสาวก็เดินจากไปอย่างสง่างาม
เสวี่ยเอ๋อร์ไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากบอกให้คนรับใช้ชายสองคนนำเปลหามมาพาตัวซูอันไปอาบน้ำ
บนเปลหาม ซูอันรู้สึกสับสนเล็กน้อย ในความทรงจำของเขา เขาไปอยู่บนเตียงของน้องสะใภ้ในคืนแต่งงานจริง ๆ แต่ทำไม ฉู่ชูเหยียน กลับไม่ตำหนิเขาเลย อันที่จริง นางกลับไม่ได้ดูโมโหอะไรเลยสักนิด หรือว่าน้องสาวของนางจะไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ? ชายหนุ่มพยายามครุ่นคิดถึงความเป็นไปได้มากมายแต่จนท้ายที่สุดก็ไม่พ้น
เรื่องสัปดน…
พวกเขาเดินผ่านประตู เคลื่อนตัวไปตามทางเดิน ผ่านสวนหิน จากนั้นก็มาถึงศาลาหิน มันเป็นเส้นทางที่คดเคี้ยวอย่างไม่น่าเหลือเชื่อ และเมื่อมาถึงศาลา เสวี่ยเอ๋อร์ก็บอกกับคนรับใช้ “วางเขาลงที่นี่ก่อน แล้วพวก
เจ้าจงไปเอาน้ำมาสักถัง เขาจะได้อาบน้ำ”
ซูอันเปิดเปลือกตาขึ้นหลังจากที่ได้ยินเสียงเดินห่างออกไป เขาถูกวางไว้ในศาลาที่อยู่ใกล้ ๆ กับบ่อน้ำ
เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่แถวนี้แล้ว เขาก็ลุกยืนขึ้น เหลือบสายตามองลงไปในน้ำ ก็เห็นว่าผมของเขายุ่งเหยิงไป
หมด และใบหน้าของเขาก็ดำเป็นเป้นถ่านไหม้เกรียม ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมภรรยาของเขาถึงทำสีหน้ารังเกียจเวลามองมาที่เขา!
ทันใดนั้นเองเขาก็รู้สึกได้ถึงแรงผลักจากด้านหลัง ทำให้เขาพลาดตกลงไปในสระอย่างช่วยไม่ได้
“ช่วยด้วย! ใครก็ได้ช่วยที!”
อันที่จริง ซูอัน นับได้ว่าเป็นคนที่ว่ายน้ำเก่งมากเพราะเมื่อตอนเด็ก ๆ เขาชอบไปว่ายน้ำในแม่น้ำอยู่
บ่อย ๆ ดังนั้นมันจึงไม่มีทางที่เขาจะจมน้ำในสระขนาดเล็กแบบนี้เด็ดขาด ด้วยความที่ค่อนข้างมั่นใจว่าเมื่อครู่นี้มีคนเตะเขาลงมา และในเมื่อเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ก็จำต้องแสร้งทำเป็นว่ายน้ำไม่ได้แทน
เขามองเห็นร่างพร่าเลือนของใครบางคนที่ก้าวออกมายืนข้าง ๆ สระน้ำด้วยรอยยิ้มเย็นชาพลางมองมาที่ตน ซูอันตกตะลึง ทำไมเสวี่ยเอ๋อร์ถึงต้องการจะฆ่าเขา? นี่เป็นแผนที่ภรรยาของเขากับชู้ของนางวางแผนขึ้นมา
หรือเปล่า?
หรือว่าตระกูลฉู่รู้สึกอับอายกับการที่ได้เขามาเป็นลูกเขยจนตัดสินใจที่จะใช้ ‘อุบัติเหตุ’ ในการกำจัดลูก
เขยของพวกเขา?
ความเป็นไปได้มากมายผุดขึ้นมาในหัวของเขา วินาทีต่อมาชายหนุ่มจึงแกล้งทำเป็นว่าเขาได้จมน้ำ
ตายไปแล้วและปล่อยให้ร่างของตัวเองลอยขึ้นมาเหนือน้ำ
“ครู่เดียวก็ตายแล้วงั้นเหรอ? กระจอกชะมัด!” เสวี่ยเอ๋อร์ที่อยู่ใกล้ ๆ พูดขึ้นด้วยสีหน้าเย้ยหยัน
จากนั้นนางสะบัดแถบผ้าออกจากแขนเสื้อของตัวเองให้ไปพันรอบ ๆ ‘ศพ’ ที่กำลังลอยอยู่
ซูอันประหลาดใจเล็กน้อย สาวใช้คนนี้เป็นวรยุทธ์ด้วยเหรอเนี่ย? ดูเหมือนว่าเขาคงจะต้องระมัดระวัง
อีกฝ่ายให้มากกว่าเดิมเสียแล้ว
เมื่อลากร่างของ ซูอัน มาจนใกล้มากพอ เสวี่ยเอ๋อร์ ย่อตัวลงไปที่ขอบสระเพื่อจะตรวจดูชีพจรของ
อีกฝ่ายเพื่อความแน่ใจ
แต่แล้วทันใดนั้น ร่างของซูอันที่นางคิดว่า ‘ตาย’ ไปแล้วก็ลืมตาโพล่งและพ่นน้ำใส่หน้าของนาง จน
หญิงสาวเผลอหลับตา เขาอาศัยจังหวะนี้รีบดึงนางเข้ามาอยู่ในอ้อมแขนและลากอีกฝ่ายลงไปในน้ำกับตน