เซียนคีย์บอร์ด [陆地键仙] - บทที่ 345 สายนทีแห่งการหลงลืม
บทที่ 345 สายนทีแห่งการหลงลืม
บทที่ 345 สายนทีแห่งการหลงลืม
ซูอันรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยเมื่อจินตนาการว่ามันจะเป็นยังไงหากคนที่มีเกียรติและมีอำนาจเหมือนหมี่ลี่จะเรียกขานตัวเองว่าเจ้านาย แต่น่าเสียดายที่คนเย่อหยิ่งและถือตัวอย่างหมี่ลี่คงไม่ทำอะไรแบบนั้น
—
ท่านยั่วยุหมี่ลี่สำเร็จ
ได้รับคะแนนความโกรธแค้น + 888!
—
เมื่อมองไปที่คะแนนความโกรธที่เขาได้รับจากหมี่ลี่ ก็รู้สึกหดหู่ในทันใดเพราะชายหนุ่มจำได้ว่าตัวเองยังไม่ได้สุ่มรางวัลเลย ซึ่งก็คงไม่ได้รับอะไรเป็นชิ้นเป็นอันไปอีกสองรอบตามที่เคยอธิษฐานไว้
ในตอนนั้นชายหนุ่มเคยอธิษฐานไว้ว่าจะไม่ขอรับอะไรดี ๆ สำหรับการสุ่มรางวัลสามครั้งถัดมา
อันที่จริง ไม่ใช่ว่าเขาลืมว่าต้องสุ่มรางวัล แต่ซูอันแค่ไม่มีโอกาสเหมาะ ๆ นับตั้งแต่ออกจากผนึก ชายหนุ่มก็มัววุ่นอยู่กับการจัดการกับหมี่ลี่ และชำระวิญญาณพยาบาท 200,000 ดวงทำให้ไม่สามารถหาเวลาให้ตัวเองได้ ซึ่งเป็นผลให้เขาเสียคะแนนความโกรธแค้นทั้งหมดไปอย่างสูญเปล่า
“ไหนเจ้าลองพูดอีกทีซิ?” หมี่ลี่ถามขณะขบฟันกรอด
“ท่านจะเรียกข้าว่า ‘เจ้านาย’ ได้ไหม?” ซูอันเสริมอย่างรวดเร็ว “ท่านเป็นคนบอกให้ข้าพูดอีกครั้งเองนะ ข้าแค่ทำตามคำพูดของท่าน!”
“…” หมี่ลี่
ถ้าย้อนกลับไปสมัยที่นางยังคงเป็นจักรพรรดินี ใครที่กล้าพูดกับนางเช่นนี้ จะต้องถูกประหารชีวิตและเสียบประจานอย่างแน่นอน
เมื่อซูอันเห็นว่ากระบี่ไท่เอ๋อร์มาจ่ออยู่ที่คอของเขา เขาก็ถอยกลับด้วยความหวาดเสียวทันทีและอุทานว่า “ชีวิตของเราเชื่อมโยงกันแล้ว! ท่านจะฆ่าข้าไม่ได้!”
“ข้าอาจจะไม่สามารถฆ่าเจ้า แต่อย่างน้อยข้าก็สามารถตัดลิ้นหรือหูของเจ้าออกเพื่อระบายความโกรธของข้าได้นี่!” หมี่ลี่กล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
“ไม่ได้! หากท่านทำให้ข้ามีบาดแผลแม้เพียงนิดข้า…ข้าจะฆ่าตัวตายทันที!” ซูอันคร่ำครวญ “อย่างมากที่สุด พวกเราก็ตายด้วยกัน!”
“…” หมี่ลี่
ทันใดนั้นนางก็รู้สึกหมดแรงอย่างไม่น่าเชื่อ ชายผู้นี้ดื้อรั้นเหมือนตัวฬ่อ (หรือปัจจุบันถูกเรียกอีกอย่างว่า ‘ล่อ’ เป็นสัตว์ผสมระหว่างลาและม้า) แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็ไร้ยางอายมากพอที่จะเพิกเฉยต่อธรรมเนียมปฏิบัติทางสังคมและกฎเกณฑ์ต่าง ๆ แล้วข้าจะจัดการกับคนแบบนี้ได้ยังไง?
ซูอันใช้โอกาสนี้พูดเสริมว่า “และอีกอย่าง ท่านไม่สามารถฆ่าพวกนางได้เช่นกัน! มันจะมีประโยชน์อะไรถ้าข้าไม่สามารถปกป้องผู้หญิงของตัวเองได้!”
“ผู้หญิงของเจ้าเหรอ?” หมี่ลี่เยาะเย้ย “หญิงแซ่ฉู่คนนั้นก็เรื่องหนึ่ง แต่เจ้าเรียกสาวผมหางม้าคนนั้นว่าผู้หญิงของเจ้าด้วยเหรอ?”
“เดี๋ยวก็ใช่! แค่เมื่อไหร่เท่านั้นแหละ! นางได้หมั้นหมายกับข้าไว้แล้ว!” ต่อจากนั้นซูอันก็พึมพำเสียงเบาต่อ “และท่านก็อาจจะเป็นคนต่อไปด้วย…”
“เจ้าพูดอะไร?” หมี่ลี่จ้องมองที่ซูอันอย่างเย็นชาขณะที่กระบี่ไท่เอ๋อร์ตั้งท่าเงื้อเตรียมที่จะฟัน
“ข้ากำลังบอกว่าพี่หญิงใหญ่ไม่ควรโกรธบ่อยนัก ท่านรู้ไหมว่าอารมณ์โกรธไม่ดีต่อผิวท่าน” ซูอันขยับตัวหลีกกระบี่ไท่เอ๋อร์ให้พ้นใบหน้าของเขาพร้อมกับอธิบายอย่างหน้าด้าน ๆ
“โอ้ นี่ข้าจำเป็นต้องให้เจ้ามาบอกว่าควรทำอะไรหรือไม่ควรทำอะไรด้วยงั้นรึ?” หมี่ลี่ไม่พอใจอย่างยิ่ง
“ข้าแค่เป็นห่วงท่าน” ซูอันตอบด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยน “ตอนนี้สิ่งต่าง ๆ เปลี่ยนไปแล้ว เมื่อก่อนท่านเคยมีสาวใช้อยู่เคียงข้าง ท่านจึงไม่จำเป็นต้องกังวลในเรื่องการดูแลตัวเอง แต่ตอนนี้ท่านไม่มีใครดูแลแล้ว ท่านควรเริ่มใส่ใจกับตัวเองมากกว่านี้”
“ฮึ่ม! ข้าเกิดมาพร้อมกับความงดงามตามธรรมชาติ แล้วทำไมข้าต้องสนใจเรื่องนั้นด้วย?” หมี่ลี่กล่าว “แต่ก็เอาเถอะ สิ่งที่เจ้าพูดนั้นก็สมเหตุสมผล ช่วงนี้ข้าขาดสาวใช้อยู่พอดี ผู้หญิงสองคนของเจ้าดูดีใช้ได้ ข้าคิดว่าข้าจะดึงวิญญาณของพวกนางมาเปลี่ยนเป็นสาวใช้ของข้าดีกว่า”
ซูอันรู้สึกตกใจ ชายหนุ่มไม่คิดว่าหมี่ลี่ยังคงตั้งใจแน่วแน่ที่จะฆ่าพวกนางหลังจากที่ตัวเองทั้งขู่ทั้งหว่านล้อม เขาก็ตัดสินใจพูดตรง ๆ ว่า “ไม่ได้! ถ้าท่านทำร้ายพวกนาง ข้ากับท่านเราได้เห็นดีกันแน่!”
คราวนี้หมี่ลี่ไม่ได้โกรธ นางมองเขาอย่างเงียบ ๆ สักครู่ก่อนที่จะถอนหายใจ “เจ้ายังเด็กเกินไป เจ้ายังไม่เคยเห็นความโสมมของมนุษย์มาก่อนว่ามันน่าเกลียดน่ากลัวมากขนาดไหน และยิ่งไปกว่านั้นเจ้าไม่เคยมีประสบการณ์ถูกคนใกล้ชิดทรยศ ดังนั้นหากเจ้ายังไม่เลิกนิสัยแบบนี้ต่อไปเจ้าจะต้องเสียใจอย่างแน่นอน!”
ซูอันส่ายหัวและตอบว่า “ข้าไม่ใช่คนโง่เขลาไร้เดียงสาที่เชื่อในความดีของมนุษย์ ข้ารู้จักพวกนางมาระยะหนึ่งแล้วจึงเข้าใจว่าพวกนางเป็นคนแบบไหน หากพวกนางหักหลังข้าจริง ๆ ข้าคิดว่ามันจะต้องมีเหตุผลที่ข้าคาดไม่ถึงอย่างแน่นอน!”
นอกจากฉู่ชูเหยียน แม้แต่เฉียวเสวี่ยอิงที่ดูปากร้ายและร้ายกาจก่อนหน้านี้ แท้จริงกลับเป็นคนที่มีจิตใจที่อ่อนโยน เฉียวเสวี่ยอิงถึงกับยอมสละอายุขัยของนางครึ่งหนึ่งเพื่อช่วยเขา ดังนั้นย่อมแน่นอนว่าชายหนุ่มจะต้องเชื่อใจนางโดยไร้ข้อสงสัยอยู่แล้ว
หมี่ลี่บ่นขึ้น “บางครั้ง เจ้าก็เจ้าเล่ห์เหมือนจิ้งจอกเฒ่า แต่ในบางครั้ง เจ้าก็โง่เหมือนก้อนหิน! ฮึ่ม! ช่างเถอะ ๆ เอาเป็นว่าถือว่ามันเป็นบุคลิกของเจ้าก็แล้วกัน ถ้างั้นอย่างน้อย ๆ เราจะต้องปิดผนึกความทรงจำของพวกนางซะก่อน!”
“ปิดผนึกความทรงจำของพวกนาง?” ซูอันตกตะลึง
“ใช่ ความลับของเจ้าที่พวกนางรู้นั้นอันตรายเกินไป ถึงแม้พวกนางจะไม่ได้อยากทรยศเจ้า แต่ก็ไม่มีใครบอกได้ว่าพวกนางจะไม่เผลอหลุดไปบอกคนอื่น เจ้ายังไม่แข็งแกร่งพอที่จะปกป้องตัวเองจากบรรดาผู้บ่มเพาะระดับสูงหรือสัตว์ประหลาดต่างเผ่าพันธุ์ และข้าไม่ต้องการให้ใครรู้ถึงการมีอยู่ของข้าด้วย” หมี่ลี่กล่าว “ไม่มีการประนีประนอมใด ๆ ทั้งสิ้นในเรื่องนี้ ฉะนั้นเจ้าจะต้องเลือกมาว่าจะให้ข้าฆ่าพวกนางหรือผนึกความทรงจำพวกนางเอาไว้!”
“ว้าว ข้าไม่เคยคิดเลยว่าจะเจอฉากความจำเสื่อม” ซูอันคิดถึงละครที่เขาเคยดูในชีวิตก่อนหน้านี้และรู้สึกโหยหาเล็กน้อย
การที่พระเอกหรือนางเอกเกิดความจำเสื่อมขึ้นมานั้นถือเป็นพล็อตเรื่องยอดฮิต บางครั้งก็ไม่สมเหตุสมผลนักแต่กลับได้รับความนิยมอย่างล้นหลามแทบทุกเรื่อง
“ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังคิดอะไร” หมี่ลี่กล่าว “ไม่ต้องห่วง พวกนางจะจำได้ถึงสิ่งที่พวกนางควรต้องจำ ข้าจะผนึกแต่ส่วนที่เกี่ยวกับความลับของเราเท่านั้น”
ซูอันยิ้มอย่างเขินอายเมื่อ หมี่ลี่เดาใจเขาถูก แต่ชายหนุ่มก็พอใจกับผลลัพธ์นี้เพราะถือว่าหมี่ลี่ได้ประนีประนอมครั้งใหญ่กับเขาแล้ว
“ดีเลย ว่าแต่ท่านจะผนึกความทรงจำของพวกนางยังไง? มันจะส่งผลร้ายอะไรต่อร่างกายของพวกนางหรือเปล่า?” ซูอันถามอย่างกังวล
“ข้าจะใช้ทักษะที่เรียกว่า ‘สายนทีแห่งการหลงลืม’ มันจะไม่ทำร้ายจิตใจหรือร่างกายของพวกนาง เจ้าไม่ต้องห่วง” หมี่ลี่ยกมือขึ้นและวาดอักขระที่ซับซ้อนสองตัวอย่างรวดเร็ว
ซูอันต้องยอมรับว่ามือของหมี่ลี่นั้นสวยมากจริง ๆ นิ้วทั้งห้านั้นทั้งยาวและเรียว และเล็บสีแดงของนางก็ดูมีเสน่ห์น่าดึงดูดยิ่งนัก
ในไม่ช้าก็ดูเหมือนจะมีสายน้ำไหลจากหว่างมือของนาง พร้อมกับอักษรคำว่า ‘หลงลืม’ อยู่บนนั้น มันไหลผ่านร่างกายของฉู่ชูเหยียนและเฉียวเสวี่ยอิงก่อนที่จะค่อย ๆ จางหายไป
ซูอันจ้องมองพวกนางอย่างตั้งใจ กังวลว่าจะมีบางอย่างผิดพลาด และโชคดีที่ทั้งสองคนไม่แสดงความผิดปกติใด ๆ เลย
ครู่ต่อมา หมี่ลี่ก็วางมือลงและพูดว่า “เสร็จแล้ว หลังจากที่พวกนางตื่นพวกนางจะลืมทุกอย่างเกี่ยวกับข้ารวมถึงความลับของเจ้า”
ซูอันอดไม่ได้ที่จะถาม “พี่หญิงใหญ่ ท่านเป็นปรมาจารย์ด้านอักขระใช่ไหม?”
ท่าทางที่หมี่ลี่โบกสะบัดนิ้วสร้างอักขระในอากาศนั้นสวยงามอย่างยิ่งและยังวนเวียนอยู่ในหัวของซูอัน เขาเคยได้ยินมาว่า ปรมาจารย์ด้านอักขระ เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ผู้บ่มเพาะสามารถฝึกฝนได้ และมันก็เป็นอาชีพที่ลึกลับและทรงพลัง ปรมาจารย์ด้านอักขระสามารถบรรลุความสำเร็จที่เป็นไปไม่ได้สำหรับผู้บ่มเพาะทั่วไป
เขาเสียดายที่ไม่ได้ลองศึกษาด้านอักขระมาก่อนหน้านี้ ถึงแม้ว่าตระกูลฉู่จะมีปรมาจารย์อักขระอยู่แล้ว แต่เมื่อเปรียบเทียบกับหมี่ลี่ ปรมาจารย์อักขระของตระกูลฉู่นั้นเป็นเหมือนเด็กเล่นขายของไปเลย เพราะปรมาจารย์อักขระของตระกูลฉู่ทำได้เพียงจารึกอักขระบนอาวุธเพื่อเสริมประสิทธิภาพหรือจารึกอักขระใส่สิ่งของต่าง ๆ เพื่อทำให้สิ่งของเหล่านั้นกลายเป็นข้าวของเครื่องใช้ที่อำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวัน
“แน่นอน! ข้าคือปรมาจารย์ด้านอักขระที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของราชวงศ์ฉิน!” หมี่ลี่ตอบอย่างภาคภูมิใจ บรรยากาศรอบตัวของนางดูมีพลังมากจนทำให้ซูอันประทับใจ
น่าแปลกใจที่คนบางคนสามารถดูดีและโดดเด่นได้โดยไม่ต้องใช้ความพยายาม อา…ดูเหมือนว่าระดับของข้ายังห่างไกลจากนางมาก
“สัญญาชีวิตและความตายและประตูแห่งชีวิตที่ท่านสอนข้าก่อนหน้านี้เป็นทักษะของปรมาจารย์ด้านอักขระใช่ไหม?” ซูอันถามกลับ
“เป็นเช่นนั้น!” หมี่ลี่ยืดอกอย่างภาคภูมิ