เซียนคีย์บอร์ด [陆地键仙] - บทที่ 367 ข้าขอโทษแทนแม่ของข้าจริง ๆ
บทที่ 367 ข้าขอโทษแทนแม่ของข้าจริง ๆ
บทที่ 367 ข้าขอโทษแทนแม่ของข้าจริง ๆ
ฉู่ฮวนเจายังคงโกรธซูอันอยู่ และคำพูดของแม่ทำให้นางไม่พอใจทันที “ท่านแม่! ท่านพูดเกินไปแล้ว เกี่ยวอะไรกับพี่เขยข้าด้วย!”
ฉินหว่านหรูมองไปที่ฉู่ฮวนเจาและกล่าวว่า “ฮวนเจา ในฐานะลูกสาวของตระกูลที่มีเกียรติอย่างตระกูลฉู่ เจ้าต้องเรียนรู้ที่จะชั่งน้ำหนักข้อดีและข้อเสียในสิ่งที่เจ้าทำ ทุกชีวิตในโลกนี้ไม่ได้เท่าเทียมกัน ไม่ใช่ว่าเจ้าไม่ควรช่วยเหลือคนที่ลำบาก แต่ถ้าการทำเช่นนั้นทำให้เจ้าตกอยู่ในอันตรายไปด้วย เจ้าต้องให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของตัวเองมากกว่า”
ฉู่ชูเหยียนขมวดคิ้วและแย้งว่า “ท่านแม่ ถ้าไม่ใช่เพราะซูอันเป็นคนพบของล้ำค่าอย่างดอกบัวเร้นลักษณ์และป้อนมันให้กับข้า ตอนนี้ข้าอาจจะตายไปแล้ว ไม่ต้องพูดถึงว่าหลังจากนั้นเขายังช่วยข้า…”
“ถ้าไม่ใช่เพราะเขา เจ้าคงไม่ได้รับอันตรายตั้งแต่แรก! มันเป็นเรื่องปกติที่เขาต้องช่วยชีวิตเจ้า!” ฉินหว่านหรูขึ้นเสียง
ฉู่ชูเหยียนรู้สึกไม่พอใจที่ได้ยินคำพูดเหล่านี้ แม้ว่านางจะรู้ว่าแม่ของนางเป็นคนหัวแข็ง แต่เมื่อก่อนนางก็ไม่คิดว่ามันจะเป็นปัญหามากนัก ทว่าในเวลานี้ นางรู้สึกว่าแม่ของนางดูไร้เหตุผลเกินไป
โชคดีที่ฉู่จงเทียนอยู่ใกล้ ๆ คอยไกล่เกลี่ยสถานการณ์ “พอได้แล้ว ดอกบัวเร้นลักษณ์ได้ช่วยชูเหยียนเอาไว้ แถมยังยกระดับการบ่มเพาะให้ลูกสาวเราอีกด้วย ข้าว่าเราควรจะขอบคุณอาซูมากกว่า อาซู…อย่าเอาคำพูดของแม่ยายเจ้าไปใส่ใจ นางแค่ใจเสียเล็กน้อยหลังจากได้ยินว่าชูเหยียนเกือบจะเป็นอะไรไปแล้ว จากที่เล่ามาสิ่งที่พวกเจ้าเผชิญในมิติลับนั้นถือว่าเป็นเหตุการณ์อันตรายร้ายแรงยิ่งนัก”
ฉินหว่านหรูไม่พอใจกับคำพูดของสามี แต่นางก็เลือกที่จะไม่หักหน้าเขา
“อย่ากังวลไปเลยท่านพ่อตา ข้าเข้าใจ”
ซูอันรู้สึกหงุดหงิดที่ฉินหว่านหรูโทษทุกเรื่องว่าเป็นความผิดของเขา แต่ชายหนุ่มก็รู้ว่าไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากทำเป็นไม่สนใจนาง
ข้าต้องเตือนตัวเองว่า ฉินหว่านหรูเป็นแม่ของฉู่ชูเหยียนและฉู่ฮวนเจา ผู้หญิงสองคนที่มีค่าต่อข้า!
…
ในขณะเดียวกัน ในจวนของผู้ตรวจการ ซ่างหงกำลังฟังเจิ้งตาน รายงานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในมิติลับหยกจรัสอย่างละเอียด
เจิ้งตานตั้งใจเล่าเรื่องอย่างดีที่สุุดต่อหน้าพ่อสามีในอนาคต นางกลัวว่าหากเล่าผิดพลาดไปโดยไม่ได้ตั้งใจแล้ว มันอาจจะทำให้อีกฝ่ายขุ่นเคือง นางเปิดเผยทุกอย่างที่นางได้รู้เห็นทั้งหมดอย่างตรงไปตรงมา
เมื่อมองว่าที่ลูกสะใภ้ที่ดูเป็นกุลสตรีตรงหน้า ซ่างหงจึงพยักหน้าอย่างพอใจ รูปลักษณ์และกริยาของนางนั้นดูอ่อนหวานเฉิดฉัน แม้ว่าการแสดงออกของนางจะดูปรุงแต่งมากเกินไปในบางครั้ง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ควรจะคิดเล็กคิดน้อย ความงามของนางจะช่วยเสริมบุคลิกความเป็นผู้นำของลูกชายเขา
หลังจากฟังเรื่องราวทั้งหมดแล้ว ซ่างหงก็ถอนหายใจและกล่าวว่า “อันที่จริงก่อนหน้านี้ข้าเองก็คิดว่าแผนของซือคุนยังไม่รอบคอบรัดกุมมากพอ แต่ข้ามองข้ามมันไป เพราะถ้าหากมันสำเร็จขึ้นมา มันจะเป็นประโยชน์ต่อทุกคน และมือของข้าจะได้ไม่ต้องสกปรกไปด้วย อย่างไรก็ตาม เนื่องจากแผนการของเขาล้มเหลวไม่เป็นท่า ข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องลงมือทำด้วยตัวเอง เฮ้อ…ข้าเคยหวังไว้จริง ๆ ว่าข้าจะไม่ต้องมาถึงจุดนี้”
ซูอันเดินออกจากห้องโถงอย่างหม่นหมอง อดไม่ได้ที่จะรู้สึกโดดเดี่ยวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
ฉู่จงเทียนและฉินหว่านหรูรั้งฉู่ชูเหยียนไว้เพื่อขอให้เล่ารายละเอียดเพิ่มเติม ฉู่ฮวนเจาที่พูดแทนเขาเมื่อครู่ ก็ยังคงโกรธเคืองเรื่องที่ซูอันลืมของฝากของนาง แม้แต่ตอนนี้เสวี่ยเอ๋อร์ก็ไม่อยู่ด้วยแล้ว บางทีถ้านางยังอยู่เขาอาจจะกำลังทะเลาะกับนางก็ได้
สำหรับเฉิงโซวผิง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทันทีที่เขาอ้าปากเล่าอะไรให้ฟัง เรื่องนั้นก็จะเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกในวันรุ่งขึ้น…
เมื่อมองดูดวงจันทร์ที่สว่างไสวบนท้องฟ้า ซูอันก็รู้สึกโหยหาบางสิ่งเป็นอย่างมาก
เขานึกถึงบทกวีเรื่องหนึ่งที่เขียนว่า “เงยหน้าขึ้นมองดูดวงจันทร์ที่สดใส เพียงเพื่อให้ความคิดถึงบ้านได้คลายลง” ก่อนหน้านี้ตอนเขาอยู่ในโลกใบเก่า ชายหนุ่มไม่เคยเข้าใจความรู้สึกนี้เนื่องจากตัวเองสามารถติดต่อคนทางบ้านได้ด้วยการโทรหาได้ตลอดเวลา และแม้ว่าจะอยู่อีกฝั่งหนึ่งของโลก เขาก็ใช้เวลาเดินทางไม่เกินวันเดียวก็ถึงบ้าน
ในโลกสมัยใหม่ที่เต็มไปด้วยเทคโนโลยีการคมนาคมทุกประเภท เป็นเรื่องยากที่ซูอันจะเข้าใจความรู้สึกคิดถึงบ้าน แต่เมื่อเขามาที่ต่างโลกนี้ ถูกฉินหว่านหรูกล่าวโทษและติเตียนตลอดเวลา จนในที่สุดเขาก็เข้าใจความเป็นจริงที่ไม่อยากยอมรับคือ…ตระกูลฉู่ไม่ใช่บ้านของเขา
จู่ ๆ ชายหนุ่มก็พบว่าตัวเองคิดถึงบ้าน และนั่นทำให้เขาถอนหายใจอย่างหนักหน่วง
ดูเหมือนว่าข้าควรคิดที่จะไปจากที่นี่จริง ๆ
ชายหนุ่มเคยครุ่นคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน แต่ในตอนนั้น เขาเพิ่งมาอยู่ในโลกใบใหม่นี้ไม่นาน และยังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับโลกนี้เลย ไม่มีเงินติดตัว ขาดความรู้ความเข้าใจกับสิ่งที่ตัวเองต้องเผชิญ การจากไปอย่างกะทันหันย่อมไม่ใช่การตัดสินใจที่ชาญฉลาด
อย่างไรก็ตาม สิ่งต่าง ๆ เปลี่ยนไปแล้ว เขารู้จักโลกแห่งการบ่มเพาะนี้มากขึ้นแล้วก็กลายเป็นผู้บ่มเพาะอย่างเป็นทางการด้วย จริงอยู่ว่าระดับการบ่มเพาะของเขายังไม่สูงนัก แต่ก็ไม่น่าจะมีปัญหาเกินไปในการปกป้องตัวเอง ที่สำคัญชายหนุ่มยังมีตำแหน่งเป็นอาจารย์ชั่วคราวของสถาบันจันทร์กระจ่าง ตอนนี้จึงมีความสามารถในการออกไปใช้ชีวิตอย่างเป็นอิสระได้แน่นอน
ขณะที่ความคิดของซูอันล่องลอยไปไกล เสียงที่หวานไพเราะก็ดังขึ้น “เจ้าคิดอะไรอยู่?”
ซูอันหันกลับมาและเห็นว่าฉู่ชูเหยียนยืนอยู่ข้างหลังเขา ผมสีดำเงางามของนางยาวจนถึงเอว ตัดกับผิวสีขาวราวหิมะของนางอย่างสวยงาม ภายใต้แสงจันทร์อันอ่อนโยน นางดูเหมือนถูกปกคลุมไปด้วยแสงอันศักดิ์สิทธิ์ราวกับเทพธิดาที่ลงมาจากสวรรค์
ตอนนี้นางกำลังจ้องมองเขาด้วยดวงตาที่แวววาวเป็นประกายราวกับแสงดาว
ซูอันพบว่าตัวเองตกตะลึงอีกครั้ง นางเป็นสาวงามอันดับหนึ่งแห่งเมืองจันทร์กระจ่างอย่างแท้จริง แม้แต่การจ้องมองที่เรียบง่ายที่สุดของนางก็ยังทำให้ผู้ชายจำนวนนับไม่ถ้วนคลั่งไคล้ได้อย่างง่ายดาย
“ไม่มีอะไร” ซูอันตอบกลับด้วยสีหน้าที่ไม่ร่าเริงเหมือนอย่างเคย
แม้จะพอใจกับรูปร่างหน้าตาของนาง แต่ชายหนุ่มก็ไม่มีอารมณ์ที่จะหยอกล้อกับนางตามปกติในตอนนี้
ฉู่ชูเหยียนสังเกตว่าเขามีสีหน้าที่ซับซ้อน ซึ่งทำให้นางสังเกตเขาอย่างใกล้ชิดยิ่งขึ้น นางใช้เวลาไม่นานก็สัมผัสถึงบรรยากาศมืดมนรอบตัวเขา
ตลอดมา ซูอันดูเหมือนจะเป็นคนที่ร่าเริงและมองโลกในแง่บวกเสมอ เขาทั้งทำและพูดทุกอย่างตามที่เขาพอใจ มันยากสำหรับนางที่จะจินตนาการว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ในใจถึงได้แสดงสีหน้าแบบนี้ออกมา
“เรื่องเมื่อครู่ ข้าขอโทษจริง ๆ ท่านแม่ของข้าไม่มีเจตนาร้ายกับเจ้า แต่นางเป็นห่วงข้ามากเกินไป นางมักจะพูดเหมือนมะนาวไม่มีน้ำ ดังนั้นเจ้าอย่าเก็บคำพูดของนางมาใส่ใจ” ฉู่ชูเหยียนอธิบาย
ซูอันประหลาดใจเล็กน้อยที่ได้ยินฉู่ชูเหยียนพูดแทนแม่ของนาง ชายหนุ่มรู้ว่านางเป็นคนค่อนข้างเย็นชาและถือตัว นางแทบจะไม่เคยริเริ่มจะพูดกับเขาก่อนเลย ไม่ต้องพูดถึงเรื่องลึกซึ้งพวกนี้ด้วยซ้ำ
ในที่สุดซูอันก็เผยรอยยิ้มและพูดว่า “ข้าต้องใช้ชีวิตอยู่กับเจ้า ไม่ใช่นาง ดังนั้นจึงไม่มีทางที่ข้าจะใส่ใจคำพูดของนางมากเกินไป”
ใบหน้าของฉู่ชูเหยียนแดงขึ้น ดูเหมือนว่าข้าจะกังวลมากไปโดยเปล่าประโยชน์ เขาก็ยังเป็นคนตื้นเขินเช่นเคย…
ด้วยเหตุผลบางอย่าง หญิงสาวรู้สึกว่าซูอันกำลังด้อยค่าแม่ของนางด้วยคำพูดเหล่านี้ แต่เมื่อคิดว่าความคิดนี้ไร้สาระเกินไป นางจึงโยนเรื่องนี้ทิ้งไปจากสมองของนาง