เซียนคีย์บอร์ด [陆地键仙] - บทที่ 433 ออกหน้าแทน
บทที่ 433 ออกหน้าแทน
บทที่ 433 ออกหน้าแทน
ซูอันยังรู้สึกไม่เพียงพอกับการกอดขานาง แต่เขาก็ไม่ต้องการที่จะตายเช่นกัน
ชายหนุ่มรีบปล่อยนางทันที การแสดงออกของเขาดูบริสุทธิ์และใสซื่อที่สุดเท่าที่จะทำได้
ในที่สุด เจียงลั่วฝูก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ นางจึงกล่าวต่อว่า “ตระกูลซือ เป็นหนึ่งในตระกูลใหญ่อันดับต้น ๆ ของเมืองหลวง และสมาชิกของพวกเขาก็ดำรงตำแหน่งมากมายในวังหลวง เราไม่มีหลักฐานที่จะสนับสนุนคำกล่าวอ้างของเรา และแม้ว่าเราจะมีบางอย่างที่ปรักปรำพวกเขาได้ พวกเขาก็จะแก้ต่างโดยการโยนแพะรับบาปออกมาสักคนสองคน ซึ่งท้ายที่สุดรากฐานของตระกูลพวกเขาก็ไม่กระทบกระเทือนแม้แต่น้อย”
“แล้วข้าจะทำลายตระกูลแบบนี้ได้ยังไง?” ซูอันถาม เขารู้สึกรำคาญเล็กน้อย ดูเหมือนว่าตระกูลซือจะเป็นฝ่ายเดียวที่สามารถปั่นหัวเขาได้ ในขณะที่ตัวเขาไม่มีอำนาจใดที่จะตอบโต้
ชายหนุ่มจะทนกับเรื่องนี้ได้ยังไง?
“วิธีเดียวคือเจ้าต้องมีตระกูลใหญ่คอยหนุนหลังเจ้าเช่นกัน ตระกูลใหญ่ต่าง ๆ มักจะไม่ขัดแย้งกันจนตัวตายแม้ว่าความตึงเครียดจะรุนแรงมากแค่ไหนก็ตาม” เจียงลั่วฝูตอบด้วยการขมวดคิ้ว “แน่นอน เจ้าอาจจะไม่พึ่งพาสิ่งเหล่านี้ก็ได้ ถ้าเจ้าแข็งแกร่งพอในวันหนึ่ง แต่ไม่มีทางที่สิ่งต่าง ๆ จะง่ายดายขนาดนั้น แม้ว่าวันหนึ่งระดับการบ่มเพาะของเจ้าจะเหนือกว่าจักรพรรดิ เจ้าก็ยังมีเรื่องให้ต้องกังวลอีกมาก”
ซูอันเงียบ เขาจำได้ว่าได้เรียนรู้เกี่ยวกับความขัดแย้งของจักรพรรดิกับราชันลมปราณ จักรพรรดิได้รับการยอมรับจากสาธารณชนว่าเป็นผู้บ่มเพาะที่แข็งแกร่งที่สุดแล้ว แต่ตัวเองก็ยังไม่สามารถบรรลุสิ่งที่เขาต้องการได้ทั้งหมด ความคิดนี้ทำให้ซูอันหมดกำลังใจทันที
เมื่อสังเกตเห็นการแสดงออกของเขา เจียงลั่วฝูก็พยายามปลอบโยน “เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้สึกแย่เกินไป เจ้ามีตระกูลฉู่คอยสนับสนุนอยู่แล้ว เมื่อรวมกับสถานะของเจ้าในฐานะอาจารย์ของสถาบันจันทร์กระจ่าง ตระกูลซือก็ย่อมไม่กล้าที่จะเล่นงานเจ้าอย่างเปิดเผย ไม่ว่าพวกเขาจะแข็งแกร่งแค่ไหนก็ตาม”
ซูอันถอนหายใจ “มันน่าเสียดายจริง ๆ ที่พวกเขาไม่มีความตั้งใจที่จะจัดการกับข้าแบบตรง ๆ พวกเขาเอาแต่ลอบกัดในที่ลับ มันช่างน่ารำคาญจริง ๆ!”
เพราะไม่มีอะไรเชื่อมโยงระหว่างเฉินเซวียนกับตระกูลซือ ทั้งตระกูลฉู่หรือสถาบันจันทร์กระจ่างจึงไม่สามารถทำอะไรได้ แม้ว่าเฉินเซวียนจะฆ่าเขาได้สำเร็จจริง ๆ
“เจ้าแค่ต้องผ่านช่วงเวลานี้ไปให้ได้” เจียงลั่วฝูกล่าวต่อ “ซือคุนได้ออกจากเมืองจันทร์กระจ่างและกลับไปเมืองหลวงแล้ว เขาอยู่ไกลเกินกว่าที่จะทำทุกอย่างได้ตามความต้องการ”
“เขาไปจากเมืองจันทร์กระจ่างแล้วจริง ๆ เหรอ” ซูอันก็ได้ยินข่าวลือเรื่องนี้เช่นกัน แต่ชายหนุ่มก็คิดว่ามันเป็นแค่ข่าวลวง
“จริงสิ เขารีบไปมากเลยล่ะ” เจียงลั่วฝูถูขมับของนาง นางไม่เข้าใจเหตุผลของเรื่องนี้อย่างชัดเจนเช่นกัน “เจ้าพอจะคิดออกไหมว่าทำไมเขาถึงรีบร้อนจากไป?”
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน” ซูอันแสร้งทำเป็นงงงวย แต่ในใจของเขาเดาว่ามันน่าจะเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปอย่างกะทันหันของซือเล่อจื่อ
“เราเปลี่ยนมาพูดถึงเรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่งก่อนดีกว่า เจ้ายังจำสิ่งที่เจ้าสัญญากับข้าก่อนเข้าสู่มิติลับหยกจรัสได้หรือไม่?” เจียงลั่วฝูถาม
ซูอันรู้สึกสับสนเล็กน้อย “ท่านกำลังพูดถึงการเข้าครอบครองทรัพย์สินของสำนักดอกบ๊วยเหรอ?”
“ถูกต้อง!” เจียงลั่วฝูยิ้มอย่างพึงพอใจ “เหมยเชาฟงตายไปแล้ว และสำนักดอกบ๊วยก็สลายกลายเป็นฝุ่นควันในชั่วข้ามคืน ผู้คนนับไม่ถ้วนต่างกำลังจับตาดูทรัพย์สินของพวกเขา อย่างที่ข้าพูดไปก่อนหน้านี้ ทางสถาบันเราไม่สามารถออกหน้าควบคุมสำนักดอกบ๊วยได้ แต่ทุกคนก็รู้ว่าเจ้ามีตั๋วหนี้ของสำนักดอกบ๊วย ซึ่งเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลถ้าเจ้าจะออกหน้าแทน ดังนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องรายละเอียดยิบย่อยในการการจัดการสิ่งต่าง ๆ เมื่อถึงเวลาข้าจะส่งคนไปช่วยเจ้าเอง”
ซูอันถามกลับ “ข้าแค่ออกหน้าเหมือนเป็นตัวแทน ส่วนทรัพย์สินทั้งหมดคนของท่านจะเป็นผู้ดูแลที่แท้จริงใช่ไหม?”
“เจ้าจะคิดแบบนั้นก็ได้” หลังจากพูดจบ เจียงลั่วฝูก็เอนหลังพิงเก้าอี้ของนางพลางหมุนดินสอไปมาระหว่างนิ้วอย่างผ่อนคลาย
ซูอันไม่ได้แสดงความคิดเห็นใด ๆ เขาได้ทำข้อตกลงกับสถาบันจันทร์กระจ่างแล้ว เพื่อแลกกับตั๋วหนี้เจ็ดล้านตำลึงซึ่งเขาไม่มีทางไถ่ถอนได้ สถาบันจันทร์กระจ่างจะให้ตำแหน่งอาจารย์แก่เขา นอกจากนี้เจียงลั่วฝู ก็ยังช่วยเขากำจัดเหมยเชาฟงเป็นการส่วนตัวอีกด้วย
และด้วยตั๋วหนี้ เขาจึงสามารถสนทนากับเจียงลั่วฝูแบบนี้ได้
ชายหนุ่มพยายามเปลี่ยนเรื่อง แม้ว่าจะพอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ก็ยังมีบางสิ่งที่คั่งค้างอยู่ในใจ “บอกตามตรง ข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองจะมีชีวิตอยู่หลังจากนี้ถึงหนึ่งสัปดาห์หรือไม่? ข้าจะมัวสนใจทรัพย์สินของสำนักดอกบ๊วยได้ยังไง?”
“การรับมือกับเฉินเซวียนนี้ช่างยากเย็นจริง ๆ แม้ว่าเขาจะไม่แข็งแกร่งเท่าข้า แต่ก็ลื่นไหลหลบเก่งมากเกินไป อย่างไรก็ตาม ความตั้งใจที่จะฆ่าเจ้าของมันจะสร้างโอกาสที่ดีให้เราในการจับตัวเขา”
เจียงลั่วฝูยืนขึ้น มองออกไปทางทิวทัศน์ของเมืองจันทร์กระจ่างนอกหน้าต่าง “ให้เวลาข้าคิดมากกว่านี้อีกหน่อย แล้วข้าจะติดต่อไปหาเจ้าเมื่อข้าคิดแผนอะไรดี ๆ ออก”
…
คำพูดสุดท้ายของเจียงลั่วฝูยังคงก้องอยู่ในหัวของซูอัน ขณะที่เดินออกจากห้องทำงานของอาจารย์ใหญ่ ทำไมรู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังจะกลายเป็นเหยื่อล่อแบบนี้ล่ะ?
แต่ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด มันก็ไม่มีอะไรที่ซูอันสามารถทำได้เกี่ยวกับเรื่องนี้ ขณะนี้เขาจึงเป็นได้แค่เพียงเบี้ยในกระดานของผู้อื่น
ซูอันกลับมาที่ห้องเรียนด้วยอารมณ์ที่มืดหม่น
แต่ขณะนี้ไม่มีคนกล้าดูถูกเขาอีกต่อไปแล้ว แม้แต่อาจารย์ก็เริ่มปฏิบัติต่อชายหนุ่มดีขึ้นมากหลังจากเหตุการณ์ในมิติลับหยกจรัส โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่เขาแสดงความแข็งแกร่งด้วยการผ่ากระบี่ซือคุนออกเป็นสองส่วนในกระบี่เดียว
ชั้นเรียนที่เขากลับมาฟังเป็นการบรรยายเกี่ยวกับประวัติศาสตร์สงคราม
ที่จริงซูอันต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับวิชานี้ แต่เขากลับไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของโลกแห่งการบ่มเพาะ เขาไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับอาณาจักรโบราณที่ประวัติศาสตร์กล่าวถึง ดังนั้นวิชานี้จึงเป็นวิชาที่ไร้สาระสำหรับตัวของชายหนุ่มเอง
ซูอันยอมแพ้อย่างช่วยไม่ได้ และเริ่มนับคะแนนความโกรธแค้นที่เขาสะสมไว้แทน
ช่วงเวลาดูคะแนนความโกรธแค้นเป็นช่วงที่เขามีความสุขที่สุดเสมอ เขารู้สึกเหมือนตัวเองเป็นกระรอกที่เก็บสะสมลูกโอ๊กวันแล้ววันเล่า และในที่สุดก็สามารถเพลิดเพลินกับผลโอ๊กจำนวนมากที่สะสมไว้
เมื่อเขาเห็นจำนวนแต้มความโกรธแค้นทั้งหมด เขาแทบจะกระโดดโลดเต้นด้วยความดีใจ หมื่น แสน หมื่น แสน…
ในตอนแรก ซูอันคิดว่าตัวเองตาฝาด แต่หลังจากตรวจสอบหลายครั้ง เขาก็แน่ใจแล้วว่าตัวเองสะสมคะแนนความโกรธแค้นได้ 321,765 แต้มแล้ว!
คะแนนความโกรธแค้นจำนวนมากที่ได้มารอบนี้มาจากสองเหตุการณ์ใหญ่ ๆ ซึ่งก็คือเหตุการณ์ที่หอสุขนิรันดร์ในคืนก่อน และตอนที่เขาหลอกล่อให้บรรดานักศึกษาชายมาดูซูอันน้อย ในระหว่างที่อยู่ในมิติลับหยกจรัส
จู่ ๆ ก็มีความคิดผุดขึ้นมาในหัว ถ้าข้าเดินเที่ยวรอบเมืองจันทร์กระจ่าง โดยการเปลือยกาย คะแนนความโกรธแค้นที่จะได้รับมันจะมากขนาดไหนกันหนอ?
อย่างไรก็ตามเขาก็รีบปัดเป่าความคิดนี้ออกไปอย่างรวดเร็ว การทำแบบนั้นมันแลกมาด้วยการสละชื่อเสียงมากจนเกินไป…
อย่าเลย ตัวข้ายังต้องรักษาศักดิ์ศรีไว้บ้าง ชีวิตของข้าคงจบลงจริง ๆ ถ้าข้าทุ่มชื่อเสียงทิ้งแบบนั้น
และยิ่งไปกว่านั้นสิ่งที่ชายหนุ่มกังวลมากที่สุดคือพวกคนชนชั้นบนสุดของสังคม ไม่ว่าคนเหล่านั้นจะมีระดับการบ่มเพาะระดับใด พวกเขาต่างก็ยังมีอารมณ์เฉกเช่นเดียวกับมนุษย์ทั่วไป ผู้ชายทุกคนต่างละเอียดอ่อนกับเรื่องแบบนี้
ถ้าข้าเผลอไปยั่วยุพวกตัวประหลาดเข้า คนพวกนั้นอาจจะหาทางตัดสมบัติรักยิ่งชีพของข้าเพราะความอิจฉาก็ได้…
เมื่อคิดได้เช่นนี้ หว่างขาของซูอันก็เย็นเฉียบ เขารีบหุบขาเข้าหากันทันที