เซียนคีย์บอร์ด [陆地键仙] - บทที่ 439 สถานะที่น่าหดหู่
บทที่ 439 สถานะที่น่าหดหู่
บทที่ 439 สถานะที่น่าหดหู่
ฉินหว่านหรูใช้เวลานานเพื่อรวบรวมสติของตัวเอง ก่อนที่นางจะมองดูลูกสาวของตัวเองอย่างพินิจ “แม้แต่หมอเปาก็ทำอะไรไม่ได้ เขาจะรู้วิธีการรักษาที่ถูกต้องได้ยังไง? ข้าไม่เคยได้ยินว่าเขามีทักษะทางการแพทย์เลยนะ!”
“เขาอาจเรียนรู้มาจากปรมาจารย์ลึกลับของเขา” ฉู่ชูเหยียนมองซูอันอย่างเขินอายแล้วพูดต่อ “เขาใช้การฝังเข็มเพื่อดึงพลังน้ำแข็งออกจากร่างกายของข้าทีละน้อย ข้าสามารถสัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับร่างกายของข้า”
“ฝังเข็ม?” ฉินหว่านหรูตื่นตระหนก นางกล่าวอย่างเร่งรีบ “หมอเปาและหมอเทวะจี้ต่างก็กล่าวว่าร่างกายของทุกคนนั้นมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว การพยายามกำจัดพลังน้ำแข็งด้วยวิธีนี้โดยที่ไม่เข้าใจสภาพร่างกายของเจ้าให้ดีอาจส่งผลให้เกิดอันตรายที่แก้ไขไม่ได้! หยุดการรักษาพวกนี้ซะ! เจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้ทำอะไรที่เสี่ยงเช่นนี้!”
“เขาแตกต่างจากคนอื่น…เขารู้จักร่างกายของข้าดี” ฉู่ชูเหยียนก้มหน้าลงด้วยความเขินอาย และหูของนางก็เป็นสีแดง
ฉินหว่านหรูกะพริบตาขณะที่พยายามเข้าใจคำพูดของลูกสาวคนโต
เจ้าหมายถึงอะไร ‘เขารู้จักร่างกายของเจ้า’?
ฉู่ชูเหยียนไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเปิดเผยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในมิติลับหยกจรัสบางส่วน แล้วรีบเสริมว่า “ข้าคิดว่าเป็นเพราะทักษะที่เขาเรียนรู้มาจากอาจารย์ของเขานั้นพิเศษ ข้ารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าอาการของข้าดีขึ้น ตัวท่านแม่เองก็น่าจะบอกได้ว่าทุกวันนี้ร่างกายของข้าก็อุ่นขึ้นใช่ไหม?”
“เจ้ามีทักษะเช่นนั้นจริงเหรอ?” ฉินหว่านหรูยังคงสงสัย แต่ความคิดที่แตกต่างก็ผุดขึ้นมาในหัว นางรีบดึงลูกสาวของนางไปด้านข้างและถามอย่างแผ่วเบาว่า “ตอนที่เขาเอาพลังน้ำแข็งออกจากร่างของเจ้าผ่านการฝังเข็ม เจ้า…ต้องถอดเสื้อผ้าหรือเปล่า?”
ใบหน้าของฉู่ชูเหยียนเปลี่ยนเป็นสีแดงทันที นางก้มศีรษะลงและพึมพำออกมาเป็นการยืนยัน
“เจ้าถอดเสื้อผ้าเหรอ?” ฉินหว่านหรูถาม นางมองอย่างว่างเปล่าในอากาศเป็นเวลานาน
นางรู้ดีกว่าใคร ๆ ว่าทำไมตระกูลฉู่ถึงดึงซูอันเข้ามา การแต่งงานของซูอันกับชูเหยียนเป็นเพียงอุบายเพื่อหลอกลวงบุคคลภายนอก
ลูกสาวของนางมีความภาคภูมิใจในตัวเองอย่างยิ่งตั้งแต่ยังเด็ก ถึงแม้ว่าจะถูกรายล้อมไปด้วยอัจฉริยะมากมาย แต่ลูกสาวของนางก็ไม่เคยแลมองผู้ชายคนไหนเลย…
ฉินหว่านหรูพบว่ามันยากที่จะเข้าใจว่าทำไมลูกสาวของนางถึงยอมถอดเสื้อผ้าต่อหน้าซูอัน
ยิ่งไปกว่านั้นนางนึกได้ถึงปัญหาที่ร้ายแรงยิ่งขึ้นไปอีก “งั้นเจ้าสองคนก็…ลงเอยกันแล้วงั้นเหรอ?” นางถามอย่างเร่งรีบ
“ท่านแม่ ท่านพูดอะไรของท่าน!” ฉู่ชูเหยียนโพล่งออกมาทันที แม้ว่านางจะลงเอยกับซูอันแล้วจริง ๆ แต่นางจะยอมรับเรื่องน่าอายนี้ต่อหน้าแม่และน้องสาวของนางได้อย่างไร? “เขาเพียงต้องการเห็นหลังของข้าเพื่อทำการรักษา ส่วนที่เหลือของ…ร่างกายของข้ายังมีผ้าคลุมไว้”
ฉินหว่านหรูถอนหายใจด้วยความโล่งอก ถึงกระนั้น มันก็ยากสำหรับนางที่จะเข้าใจว่าทำไมลูกสาวของนางถึงยอมทำเรื่องแบบนี้
มีเรื่องอื่นผุดขึ้นในใจนาง จากนั้นฉินหว่านหรูก็ลดเสียงลงแล้วพูดว่า “ถ้างั้นในตอนแรกที่เขาไม่รู้ว่าเป็นแม่นอนอยู่บนเตียงของเจ้า…เมื่อคืนเขา…ทำอะไรที่ไม่สุภาพกับแม่หรือเปล่า?”
นางคิดว่านางไม่เพียงแต่ถูกลูกสาวคนเล็กวางยาเท่านั้น แต่ยังถูกลูกสาวคนโตจี้สกัดจุดบนเตียงอีกด้วย
ฉู่ชูเหยียนจำได้ว่า ซูอันกอดแม่ของนางโดยคิดว่าเป็นนาง ดังนั้นแก้มของตัวเองก็ร้อนผ่าวขึ้นในทันที นางรีบแย้งกลับอย่างเร่งร้อน“ไม่ ไม่มีหรอก ข้าไม่ได้ให้เขาเข้าใกล้ท่านแม่เลย!”
นางรู้ว่าแม่ของนางโกรธอยู่แล้ว และคงจะโกรธมากขึ้นถ้ารู้ว่าแท้จริงมันเกิดอะไรขึ้นบ้างเมื่อคืนนี้
แต่อันที่จริง เมื่อคืนที่ผ่านมามันก็ไม่มีอะไรที่เลยเถิดเกิดขึ้นจริง ๆ ดังนั้นสิ่งที่นางพูดถือว่าไม่เป็นเรื่องโกหกจริงไหม?
ฉู่ชูเหยียนเป็นคนไม่โกหก แต่หลังจากที่นางได้พบกับซูอัน นางสังเกตเห็นว่าตัวเองเริ่มที่จะโพล่งคำโกหกทุกประเภทออกมาจากปากได้
แน่นอนว่าเมื่อได้ยินคำยืนยันจากลูกสาวของตัวเอง ฉินหว่านหรูก็รู้สึกเหมือนหินขนาดใหญ่ที่ทับอยู่บนหน้าอกของนางหายไป
“ข้าไม่อยากยุ่งเรื่องวุ่นวายของพวกเจ้าอีกต่อไปแล้ว และยิ่งไปกว่านั้นนี่เป็นปัญหาของพวกเจ้าสองคน ฉะนั้นก็ตกลงกันเองก็แล้วกัน!” พูดจบนางก็ก้าวพรวดออกจากห้องไปด้วยความฉุนเฉียว
ลูกสาวของนางได้วางยานางและสกัดจุดนางทำให้นางสลบ และตอนนี้ยังกล้าที่จะโต้แย้งนางเพื่อปกป้องชายอีกคนหนึ่งอีก! นี่มันมากเกินกว่าที่ใจของนางจะรับไหว
ทั้งหมดนี้เกิดจากไอ้เด็กเหลือขอซูอัน!
—
ท่านยั่วยุฉินหว่านหรูสำเร็จ
ได้รับคะแนนความโกรธแค้น + 44…44…44…
—
ซูอันพูดไม่ออก เขาไม่คิดมาก่อนว่าผู้หญิงคนนี้จะไม่พอใจเขามากขนาดนี้
ฉู่ฮวนเจาก็รู้สึกผิดเล็กน้อย “ท่านแม่ ให้ข้าไปด้วย…” นางพยายามปลอบแม่ของตัวเอง ขณะที่นางเดินตามไป
จากนั้นฉู่ชูเหยียนก็หันไปหาซูอัน “เจ้าไม่ต้องการที่จะอยู่ในตระกูลฉู่อีกต่อไปแล้วงั้นเหรอ?”
ซูอันรู้สึกว่าความมุ่งมั่นของเขาเริ่มสั่นคลอนเมื่อเห็นดวงตาที่มีเสน่ห์ของฉู่ชูเหยียน “ก็แม่ของเจ้าคอยรังควานข้า…”
ฉู่ชูเหยียนส่ายหัว “แม่ของข้าดูแข็งแต่เพียงภายนอกเท่านั้น นางคงแค่ตั้งใจดุเจ้านิดหน่อยแล้วปล่อยไป”
“ข้าไม่อาจเป็นกระสอบทรายของนางได้ตลอดไปหรอก” ซูอันเอ่ยขึ้นพร้อมกับขมวดคิ้ว
ฉู่ชูเหยียนกล่าวว่า “ท่านแม่ไม่ได้โหดร้ายอย่างที่เจ้าคิด ถึงแม้ว่าคำพูดของนางอาจจะรุนแรงไปหน่อยในวันนี้ แต่เจ้าต้องรู้ว่าหากเป็นตระกูลอื่น ป่านนี้เจ้าคงโดนเฆี่ยนจนสลบไปแล้วตามกฎบัญญัติของราชวงศ์โจว แต่นางก็ไม่ได้สั่งเฆี่ยนเจ้าในท้ายที่สุด และถึงแม้ว่านางจะโกรธมาก แต่นางก็ตัดสินใจที่จะละเว้นโทษของข้าและฮวนเจาด้วยเช่นกัน ทีนี้เจ้ารู้หรือยังว่าแม่ของข้าไม่ได้โหดร้ายอย่างที่เจ้าคิด?”
ซูอันตัวสั่นเมื่อได้ยินฉู่ชูเหยียนเอ่ยถึงการเฆี่ยนตี ลูกเขยในโลกนี้ไม่มีสิทธิมนุษยชนเอาซะเลย!
แน่นอนว่า ถ้าฉินหว่านหรูสั่งเฆี่ยนตีเขา ตอนนี้เขาคงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องยอมทนกับมัน
สถานะของเขาในฐานะลูกเขยที่แต่งเข้าบ้านภรรยาเป็นเหมือนระเบิดเวลาชัด ๆ ใครจะรู้ว่าตัวเองจะโดนอะไรเมื่อไหร่?
เสียงของฉู่ชูเหยียนอ่อนโยนขึ้นเมื่อนางสังเกตเห็นสีหน้าที่ครุ่นคิดเป็นกังวลใจอย่างหนักของซูอัน
“เจ้าโปรดเข้าใจหน่อยสิ อารมณ์ของแม่ข้าช่วงนี้ค่อนข้างแย่ อย่างแรก นางกังวลเกี่ยวกับอาการป่วยกะทันหันของข้า จากนั้นผู้ตรวจการซ่างก็เริ่มกดดันตระกูลของเราให้บริจาคเงินผ่านคำสั่งศาล นางเครียดมาก และยิ่งเมื่อเจ้าปฏิเสธที่จะเป็นฝ่ายถอย มันก็เลยยิ่งทำให้สิ่งต่าง ๆ แย่มากขึ้นกว่าเดิม…”
ประโยคถูกขัดจังหวะโดยอาการไอที่เกิดขึ้นอีกครั้ง การพยายามหาเหตุผลมาอธิบายให้ซูอันเข้าใจ ทำให้นางเริ่มแย่…
ซูอันรีบก้าวเข้าไปพยุงนางให้ไปนั่งลงที่เก้าอี้ทันที “เจ้าไม่ควรหักโหมเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเจ้ายังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ เจ้าต้องพักผ่อนให้มากขึ้น ตอนนี้ร่างกายของเจ้ายังอ่อนแออยู่”
หลังจากได้นั่งลงและดื่มน้ำ สีหน้าของฉู่ชูเหยียนก็ค่อย ๆ ดีขึ้น
“การบริจาคที่ว่ามีความเป็นมายังไง?” ซูอันถามด้วยความสงสัย
ฉู่ชูเหยียนอธิบายให้เขาฟัง “เมื่อใดก็ตามที่อาณาจักรต้องการเงินเพื่อบรรเทาสาธารณภัยหรือมีโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ พวกเขาจะเรียกร้องเงินบริจาคจากบรรดาพ่อค้าที่ร่ำรวยเสมอ เนี่ยแหละสิ่งที่เรียกว่าการบริจาค”
“มีเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ?” ซูอันกะพริบตาด้วยความงุนงง “แต่ถ้ามันเป็นการบริจาคมันก็ต้องเกิดจากความสมัครใจ ถ้างั้นเราปฏิเสธไปไม่ได้เหรอ?”
“จะง่ายขนาดนั้นได้ยังไง” ฉู่ชูเหยียนส่ายหัว “ภายนอกดูเหมือนเป็นการขอความสมัครใจ แต่ในความเป็นจริงมันไม่ใช่ ผู้ที่ได้รับการร้องขอให้บริจาคล้วนเป็นตระกูลที่ร่ำรวยและมั่งคั่ง และเหตุผลที่ตระกูลเหล่านี้สามารถเติบโตได้ในตอนแรกส่วนใหญ่เป็นเพราะนโยบายของราชสำนัก
“ถ้าเราปฏิเสธที่จะบริจาค ตระกูลเล็ก ๆ ที่อยู่ต่ำกว่าคงจะดีใจกันจนเนื้อเต้นเพราะมันหมายถึงว่า อีกไม่นานพวกเขาจะได้เข้ามาแทนที่เรา หากเราไม่บริจาค ราชสำนักจะออกนโยบายที่เอื้อประโยชน์ต่อตระกูลที่ยินดีจะยอมเป็นเบี้ยล่างมากกว่า เพื่อประโยชน์สูงสุดของอาณาจักร
“ตระกูลฉู่ของเราเกี่ยวข้องกับการค้าเกลือและอาวุธ พวกเราเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในเมืองจันทร์กระจ่าง ไม่สิ เราอาจจะมั่งคั่งที่สุดในมณฑลด้วยซ้ำ ดังนั้นไม่มีทางที่เราจะหลบเลี่ยงการบริจาคได้”