เซียนคีย์บอร์ด [陆地键仙] - บทที่ 458 บุกกลุ่มวาฬ
บทที่ 458 บุกกลุ่มวาฬ
บทที่ 458 บุกกลุ่มวาฬ
ซูอันอึ้งไปในทันที นี่มันบ้าอะไรวะเนี่ย?
ฉู่จงเทียนตอบสนองอย่างรวดเร็ว และรีบเข้ามาแทรกระหว่างทั้งสองคน “พี่หวาง ท่านเข้าใจผิดไปกันใหญ่แล้ว!”
“เข้าใจผิดอะไร? หายนะครั้งนี้จะเกิดขึ้นกับลูกชายของข้าได้ยังไง หากไอ้เด็กนี่ไม่เชิญเขาไปที่หอคณิกาในวันนี้!” หวางฝูคำรามด้วยความเดือดดาล
—
ท่านยั่วยุหวางฝูสำเร็จ
ได้รับคะแนนความโกรธแค้น + 446!
—
ซูอันอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “น้องหวางยังไม่ตายสักหน่อย พูดแบบนี้ท่านไม่กลัวว่าจะเป็นลางร้ายงั้นเหรอ?”
หวางฝูเกือบจะกระอักเลือดเพราะความโกรธ “ไอ้เด็กบ้า เมื่อกี้แกพูดว่าอะไรนะ!”
—
ท่านยั่วยุหวางฝูสำเร็จ
ได้รับคะแนนความโกรธแค้น + 514!
—
ฉินหว่านหรูรู้สึกมีความสุขอย่างอธิบายไม่ถูกเมื่อเห็นสถานการณ์นี้ นางมักจะเป็นคนที่โกรธเคืองเด็กเหลือขอคนนี้ แต่ตอนนี้มีคนที่ร่วมทุกข์กับนางแล้ว
ฉู่จงเทียนพยายามอย่างเต็มที่เพื่อปลอบหวางฝู “พี่หวาง เรามาคุยกันข้างในก่อนดีกว่า ขืนวุ่นวายกันอยู่ตรงนี้จะถูกคนอื่นหัวเราะเยาะเอาได้” เขากล่าวด้วยรอยยิ้มขมขื่น
“ฮึ่ม! ขนาดเจ้ายังไม่กลัวคนอื่นหัวเราะเยาะที่รับไอ้เด็กไม่รู้หัวนอนปลายเท้านี่มาเป็นลูกเขย ข้าจะต้องกลัวอะไร!” หวางฝูผลักฉู่จงเทียนออกไป
ฉู่จงเทียนและฉินหว่านหรูแลกเปลี่ยนสายตากัน
ซูอันพูดไม่ออก…นี่มันไม่เกินไปหน่อยเหรอ?
เขากำลังจะโต้กลับ แต่ฉู่ชูเหยียนก็คว้าแขนของเขาไว้ทันที
จากนั้นนางก้าวเข้ามาคั่นและทักทายหวางฝู “ชูเหยียนขอแสดงความเคารพต่อท่านลุง”
“อ้อ…ชูเหยียนนั่นเอง” แม้ว่าหวางฝูจะปฏิบัติตัวต่อฉู่จงเทียนอย่างหยาบคาย แต่น้ำเสียงของเขากลับอ่อนลงโดยไม่รู้ตัวเมื่อเห็นฉู่ชูเหยียน
“เรื่องนี้ไม่สามารถโทษอาซูได้ ความคิดในเรื่องการเชิญลูกชายของท่านลุงไปที่หอสุขนิรันดร์เป็นความคิดของข้าเอง” ฉู่ชูเหยียนกล่าว
“ความคิดของเจ้า?” หวางฝูตกตะลึง เขาไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าทำไมเด็กผู้หญิงที่เย็นชาและสง่างามอย่างฉู่ชูเหยียนถึงลดตัวลงมาเกี่ยวข้องในเรื่องนี้ นางพูดแบบนี้เพื่อปกป้องสามีของนางเหรอ?
“ใช่แล้วท่านลุง ตระกูลฉู่ของเราต้องการแสดงความปรารถนาดีต่อท่าน แต่ไม่คาดคิดว่าแผนการที่จะยุติสถานการณ์วิกฤตระหว่างเรากลับ…” ด้วยน้ำเสียงอันสงบนิ่ง ฉู่ชูเหยียนอธิบายให้เขาฟังถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
การแสดงออกของหวางฝูเริ่มมืดมน “แม้ว่าแผนของเจ้าจะดีและค่อนข้างปลอดภัย แต่ทำไมเรื่องถึงเกิดขึ้นกับหยวนหลงทันทีที่ไอ้เด็กนี่แยกทางกับหยวนหลง? หรือว่าจริง ๆ พวกเจ้าเป็นคนจัดฉากเรื่องนี้เอง?”
“ทำไมท่านลุงถึงคิดแบบนี้?” ฉู่ชูเหยียนตอบกลับ “แม้ว่าเงินสองแสนตำลึงจะดูไม่เล็กน้อย แต่มันก็ไม่ได้ถือว่ามากมายสำหรับพวกเราทั้งสองตระกูล เราจะแกล้งยื่นความช่วยเหลือให้ท่านไปทำไม? ข้าแน่ใจว่าท่านลุงน่าจะเข้าใจดีว่าพวกเราพยายามจะทำอะไร พวกเราแค่ต้องการบรรเทาความตึงเครียดระหว่างเราทั้งสองตระกูลก็แค่นั้นเอง”
หวางฝูตกตะลึง “หรือมันอาจจะเป็นไปได้ว่า ซ่าง…”
ฉู่ชูเหยียนส่ายหัว “ข้าไม่กล้าพูดเช่นนั้น แต่ลูกชายของท่านจะยังปลอดภัยดี เนื่องจากเฉินเซวียนจะยังไม่ได้ลงมือฆ่าเขาทันที แต่กลับลักพาตัวไปแทน สิ่งนี้บอกได้ว่าเขามีแผนอื่นในใจ เขาจะไม่ทำร้ายชีวิตลูกชายของท่านทั้งที่ยังมีประโยชน์อย่างแน่นอน”
“เฉินเซวียน ไอ้คนอำมหิตเลือดเย็น!” แม้ว่าคำพูดของฉู่ชูเหยียนจะมีเหตุผลอย่างยิ่ง แต่หวางฝูก็ยังเต็มไปด้วยความกังวลเมื่อเขาได้ยินชื่อเฉินเซวียน ร่างกายของเขาก็เย็นเหยียบเนื่องจากความกลัว
ทันใดนั้นเขาก็มองไปที่ซูอัน “ทั้งหมดเป็นความผิดของเจ้า! ข้าได้ยินมาว่าเฉินเซวียนต้องการจะฆ่าเจ้า การที่หยวนหลงของข้าถูกโจมตีคงเป็นเพราะไอ้โจรนั่นคอยติดตามความเคลื่อนไหวของเจ้า!
ซูอันพูดไม่ออก ทำไมเขาต้องถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ผิดเสมอด้วย??
ช่างมันเถอะ ข้าจะยอมไม่เถียงกับเจ้าสักครั้งหนึ่ง เพื่อเห็นแก่ลูกชายของเจ้า!
ฉู่จงเทียนตอบแทนเขา “พี่หวางไม่ต้องกังวล ตระกูลฉู่ของเราจะทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้เพื่อช่วยหยวนหลง”
“ก็ได้! เพื่อเห็นแก่หน้าท่านอ๋องฉู่ วันนี้ข้าจะไม่ทำอะไรมากกว่านี้อย่างไรก็ตาม ข้าคงต้องขออนุญาตพูดตรง ๆ หากมีอะไรเกิดขึ้นกับหยวนหลง ข้าและตระกูลฉู่ของท่านคงต้องคุยกันเรื่องนี้อีกยาว!” หวางฝูหันกลับมาพูดด้วยความโกรธและจากไปพร้อมกับผู้ติดตาม
ฉินหว่านหรูสั่นด้วยความโกรธขณะที่นางดูคนของตระกูลหวางพากันเดินจากไป “โอหังที่สุด! คนตระกูลหวางกล้าดียังไงถึงคิดว่าจะสามารถเดินดุ่ม ๆ เข้ามาที่คฤหาสน์ตระกูลฉู่ แล้วทำตัวใหญ่โตราวกับว่าพวกเขาเป็นอ๋องเมืองจันทร์กระจ่างซะเองแบบนี้!”
ฉู่จงเทียนยิ้มอย่างขมขื่น “อย่าไปผูกใจเจ็บกับพวกเขาเลย เจ้าก็น่าจะรู้ว่าสถานการณ์โดยรวมตอนนี้เลวร้ายเพียงใด ตระกูลหวางเป็นหนึ่งในพันธมิตรไม่กี่คนของเรา และเรายังคงต้องการความช่วยเหลือจากพวกเขา ยิ่งกว่านั้นพวกเขามีสิทธิ์ที่จะโกรธเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นกับนายน้อยคนสำคัญของพวกเขามันเลวร้ายอย่างแท้จริง”
ฉินหว่านหรูพ่นลมหายใจ “ท่านเอาแต่คิดเผื่อผู้อื่นอยู่เสมอ แต่ข้าไม่เห็นว่าพวกเขาจะซาบซึ้งในน้ำใจของท่านบ้างเลย!”
เสียงของฉู่จงเทียนดังขึ้น “ข้าไม่ได้ทำดีกับผู้อื่นโดยหวังว่าพวกเขาจะปฏิบัติกับข้าแบบเดียวกัน ข้าเพียงแต่รักษามโนธรรมของตัวเอง”
ฉินหว่านหรูตระหนักว่านางพูดเกินไป นางจับมือเขาและกล่าวขอโทษ “ท่านเป็นคนดี ข้ารู้”
ซูอันกลอกตาจากด้านข้าง พวกท่านทั้งสองไปหาห้องคุยกันไหม หากจะแสดงความหวานกันแบบนี้?
เมื่อชายหนุ่มหันไปหาฉู่ชูเหยียน เขาก็เห็นว่านางขมวดคิ้วและพยายามหาทางออกจากสถานการณ์นี้เช่นกัน “หากเราช่วยหวางหยวนหลงไม่สำเร็จ การเป็นพันธมิตรระหว่างตระกูลฉู่และตระกูลหวางคงจบสิ้นลง” นางถอนหายใจ “ถ้าข้ารู้ว่าเรื่องจะเป็นแบบนี้ ข้าคงจะส่งเงินไปให้ตระกูลหวางโดยตรง…ไม่น่าเลยจริง ๆ”
ซูอันเข้าไปปลอบนาง “เรื่องนี้ใครจะตำหนิเจ้าได้? ไม่มีใครทำนายอนาคตล่วงหน้าได้อยู่แล้ว”
“ตอนนี้อาการของข้ายังไม่ดี ข้าคงไม่สามารถออกไปสืบที่อยู่ของหวางหยวนหลงได้” ฉู่ชูเหยียนเม้มริมฝีปากแน่น ทุกวันนี้ หลังจากรับการรักษาจากซูอันแล้ว การทำกิจวัตรประจำวันจึงไม่ใช่ปัญหาสำหรับนางอีกต่อไป อย่างไรก็ตาม หากนางฝืนใช้พลังชี่ อาการบาดเจ็บของนางอาจแย่ลงได้
นางแข็งแกร่งมาตั้งแต่ยังเด็ก ดังนั้นความอ่อนแอในปัจจุบันของตัวเองจึงทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่ง
“ไม่ต้องห่วง” ซูอันกล่าว “ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้า ข้าจะช่วยหวางหยวนหลงเอง”
“เจ้าจะหาเขาเจอได้ยังไง?” ฉู่ชูเหยียนถามอย่างไม่มั่นใจ
ซูอันกล่าวว่า “เราจะเริ่มต้นด้วยการสืบหาตามบ้านเรือนซึ่งถูกครอบครองโดยสำนักดอกบ๊วยที่อยู่ในเมือง ข้ามั่นใจว่าเฉินเซวียนน่าจะซ่อนตัวอยู่ในสถานที่พวกนั้นนั่นแหละ”
“ก็ได้ แต่เจ้าเองก็ต้องระวังตัว…ทางที่ดีเจ้าพาทหารคุ้มกันไปด้วยสักสองสามคน” ฉู่ชูเหยียนกล่าว
ซูอันหัวเราะเสียงดัง “ข้าจะไม่ระวังตัวเองให้ดี ๆ ได้ยังไง? ข้ามีภรรยาแสนสวยรอข้าอยู่ที่บ้านทั้งคน!”
ฉู่ชูเหยียนหน้าแดง “เจ้านี่ชอบพูดจาไร้สาระอยู่เรื่อยเลย”
ซูอันออกจากคฤหาสน์ตระกูลฉู่ แล้วมุ่งหน้าตรงไปยังสถาบันจันทร์กระจ่างเพื่อตามหาเจียงลั่วฝูทันที เนื่องจากอีกฝ่ายกำลังเตรียมการเพื่อช่วยเขาเข้ายึดทรัพย์สินของสำนักดอกบ๊วย ด้วยข้อมูลของนาง ชายหนุ่มก็น่าจะค้นหาเฉินเซวียนได้ง่ายยิ่งขึ้น
…
ในขณะที่ซูอันออกตามหาที่กบดานของเฉินเซวียน ทางด้านของเฉินเซวียน ในตอนนี้กำลังอยู่บนเกาะที่ตั้งอยู่ใจกลางทะเลสาบซึ่งอยู่แถว ๆ เขตชานเมือง
ขณะนี้เขาถูกรายล้อมไปด้วยกลุ่มชายฉกรรจ์ที่ถือดาบจำนวนมาก
เฉินเซวียนยืนอยู่ตรงกลางวงล้อมอย่างไม่สะทกสะท้าน “ข้ามาเยือนหัวหน้ากลุ่มของพวกเจ้าอย่างสันติ! แต่นี่เป็นวิธีที่กลุ่มวาฬปฏิบัติต่อแขกของตัวเองงั้นหรือไง?”
“ไร้สาระ! เจ้าคิดว่าเจ้านายของเราเป็นคนที่ใครก็สามารถเข้าพบได้เพียงเพราะคำพูดไม่กี่คำหรือไง?”
“เจ้ารู้ได้ยังไงว่ากลุ่มวาฬของเราอยู่ที่นี่?”
“มีหน่วยลาดตระเวนจำนวนมากของเราคอยตรวจตรารอบ ๆ อย่างหนาแน่น เจ้าเล็ดลอดเข้ามาถึงที่นี่ได้ยังไง?”
…
เฉินเซวียนหัวเราะดังลั่นเมื่อได้ยินคำถามเหล่านี้ “พวกทางการอาจหากลุ่มวาฬของพวกเจ้าไม่เจอ แต่ข้า…เฉินเซวียนผู้นี้ไม่ได้โง่เหมือนไอ้พวกเจ้าหน้าที่ทางการพวกนั้นโว้ย!”
“เฉินเซวียน?”
“ถูกต้องแล้ว ข้าคือมหาโจรผู้ยิ่งใหญ่แห่งค่ายเมฆาทมิฬ!”
ชื่อเสียงของเฉินเซวียนนั้นน่ากลัวจนถึงขนาดที่พวกชาวบ้านยังเอาไว้ใช้ขู่เด็ก ๆ ให้หวาดกลัวในตอนกลางคืนอย่างแพร่หลาย…