เซียนคีย์บอร์ด [陆地键仙] - บทที่ 476 แม้แต่สวรรค์ก็ยังต้องการให้ตระกูลฉู่ถูกกำจัด
บทที่ 476 แม้แต่สวรรค์ก็ยังต้องการให้ตระกูลฉู่ถูกกำจัด
บทที่ 476 แม้แต่สวรรค์ก็ยังต้องการให้ตระกูลฉู่ถูกกำจัด
เพ่ยเหมียนหมานตื่นตระหนก สายตาของนางเหล่ไปทางหน้าต่าง แน่นอนว่ามีร่างหนึ่งอยู่นอกหน้าต่าง อีกฝ่ายน่าจะไม่ได้สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงทิศทางของแสงจันทร์ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้นางสามารถมองเห็นเงาร่างชราผ่านหน้าต่างได้เล็กน้อย
“เจ้ารู้เรื่องของเขาแล้ว” ตอนนี้เพ่ยเหมียนหมานเข้าใจได้อย่างรวดเร็ว นางคล้องแขนรอบคอของเขาทันทีราวกับว่านี่เป็นปฏิกิริยาที่เป็นธรรมชาติที่สุดระหว่างคู่รัก
โอย ข้าแทบจะทนไม่ไหวแล้ว! เจ้ารู้บ้างหรือเปล่าว่าร่างกายของเจ้าน่าอัศจรรย์เพียงใด? แค่จับข้าแบบนี้ข้าแทบจะหายใจไม่ทั่วท้องแล้ว!
แน่นอนว่าเขาไม่ได้โง่พอที่จะพูดออกมาดัง ๆ “เจ้าคิดมากไปหรือเปล่า? นับตั้งแต่ที่เจ้าแอบมาหาข้าบ่อย ๆ เจ้าก็กลายเป็นคนขี้ระแวงสงสัยทุกคนอย่างไม่เลือกเลย เจ้าเป็นแบบนี้ข้าปวดหัวนะรู้ไหม!”
เพ่ยเหมียนหมานจงใจขึ้นเสียงของนางเมื่อเข้าใจว่า ในขณะนี้ ซูอัน กำลังพยายามเล่นละครตบตาคนที่กำลังแอบฟังอยู่ข้างนอก “ข้าคงคิดมากไปเอง” นางตอบ “การรักษาความปลอดภัยของตระกูลฉู่เข้มงวดขึ้นเรื่อย ๆ จนข้าเริ่มกลัวว่าจะมีใครพบเข้าโดยไม่รู้ตัว”
“หึหึ เป็นเรื่องธรรมดาที่การลักกินขโมยกินมันน่าตื่นเต้น!” ซูอันยิ้มหยอกล้อ
เพ่ยเหมียนหมานพูดไม่ออก เจ้าเล่นสมบทบาทเกินไปแล้วไหม?
แต่เรื่องราวของเพื่อนสนิทภรรยาที่คอยมาเยี่ยมเยียนสามีของอีกฝ่ายทุกคืน…ฟังดูน่าสนใจทีเดียว…
ทั้งสองยังคงคุยกันอย่างคลุมเครือเหมือนคู่รักกัน จนเมื่อผ่านไปสักพัก ผู้เฒ่ามี่ก็ไม่สนใจและจากไป
ผู้เฒ่ามี่ยังคงสับสนอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าซูอันไม่สามารถประกอบกิจใต้ผ้าห่มได้ แต่ทำไมพวกผู้หญิงถึงยังชอบไอ้เด็กนี่กันนัก?
ในแง่ของการบ่มเพาะ ข้าแข็งแกร่งเกินกว่าไอ้เด็กนี่หลายเท่า แต่ดูเหมือนว่าในเรื่องผู้หญิง ข้าจะด้อยกว่ามันมาก
เขาสงสัยว่าตัวเองควรปรึกษาซูอันเกี่ยวกับเรื่องนี้สักวันหนึ่งหรือไม่ แต่ก็รู้สึกขึ้นมาทันทีว่ามันดูไร้ยางอายจนเกินไป
เขาละทิ้งความคิดนี้ในที่สุด ผู้หญิงเหล่านี้ล้วนเป็นของเขาอยู่แล้ว ดังนั้นเขาคงจะสนุกไปกับพวกนางเมื่อถึงเวลาโดยไม่จำเป็นต้องเรียนรู้วิธีชนะใจผู้หญิงพวกนี้ด้วยซ้ำ!
ด้วยความคิดนี้ทำให้อารมณ์ของเขาดีขึ้นทันที
ส่วนในห้อง ซูอันและเพ่ยเหมียนหมานก็คุยกันต่อไปอีกครู่หนึ่ง และเมื่อเพ่ยเหมียนหมานสังเกตเห็นว่าเงาร่างที่ริมหน้าต่างหายไปแล้ว นางจึงเอ่ยขึ้นในทันที “แค่นี้ก็น่าจะพอแล้วใช่ไหม?”
“รออีกหน่อยเถอะ ระดับการบ่มเพาะของเขาสูงเกินไป เรามองออกไม่ได้ง่าย ๆ หรอกว่าเขาจากไปจริงแล้วหรือยัง” ซูอันตอบ
เพ่ยเหมียนหมานมีสีหน้าครุ่นคิด “นี่เป็นสิ่งที่เจ้าคิดจริง ๆ หรือเจ้าแค่ต้องการฉวยโอกาสจากข้า?”
ซูอันหัวเราะคิกคัก “น่าจะทั้งสองอย่าง”
เพ่ยเหมียนหมานจ้องมองเขา นางไม่คาดคิดมาก่อนว่าเขาจะยอมรับตรง ๆ และนางก็ไม่รู้ว่าจะโต้ตอบยังไงดี
ซูอันรู้ดีว่าพวกเขาไม่สามารถเป็นแบบนี้ต่อไปได้ตลอดทั้งคืน ดังนั้นเมื่อเวลาผ่านไปอีกพักหนึ่งชายหนุ่มจึงแกล้งเอ่ยขึ้นว่าต้องออกไปเข้าห้องน้ำ ซึ่งเมื่อเขาออกจากห้องของตัวเอง ก็แอบมองตรวจสอบรอบ ๆ เพื่อให้แน่ใจว่าผู้เฒ่ามี่จากไปจริง ๆ
“ในที่สุดเขาก็ไป” หลังจากกลับมา ซูอันก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก การตกเป็นเป้าของผู้บ่มเพาะระดับเก้านั้นมากเกินไปจริง ๆ
“ระดับการบ่มเพาะของเขาสูงแค่ไหน?” ความกลัวยังคงอยู่ในใจของ เพ่ยเหมียนหมาน ถ้าไม่ใช่เพราะคำเตือนของซูอัน นางคงไม่รู้สึกถึงตัวตนของชาวสวนชราเลย
นี่เป็นครั้งแรกที่นางรู้สึกเช่นนี้ในชีวิต
“สูงมาก ๆ” การแสดงออกของซูอันเริ่มจริงจังเมื่อเขานึกถึงคำเตือนของ หมี่ลี่ที่ให้ระวังผู้เฒ่ามี่ และอันที่จริงเมื่อครู่นี้ที่เขารู้ว่าผู้เฒ่ามี่กำลังแอบฟังอยู่ ไม่ใช่เพราะว่าเขาเห็นเงาอีกฝ่ายตั้งแต่แรก แต่มันเป็นเพราะระบบความโกรธของเขาต่างหาก
เมื่อครู่นี้ จู่ ๆ เขาก็ได้รับคะแนนความโกรธแค้นจากผู้เฒ่ามี่ และนั่นทำให้ซูอันตระหนักว่าพวกเขากำลังถูกแอบฟังอยู่ ซึ่งมันทำให้เขาสามารถรับมือกับสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว
ผู้เฒ่ามี่มั่นใจในการบ่มเพาะของตัวเองมากเกินไป และไม่คิดว่าตัวเองจะถูกค้นพบ นี่คือเหตุผลที่เขาไม่สงสัยว่าการสนทนาของคู่ชายหญิงในห้องจะเป็นการแสดง
“ทำไมคนแบบนี้ถึงตามวนเวียนอยู่กับเจ้าล่ะ?” เพ่ยเหมียนหมานอยากรู้อยากเห็น
“ข้าก็ไม่รู้เหตุผลเหมือนกัน ความจริงแล้วทักษะทั้งหมดของข้ามาจากเขา แต่เขามักจะคอยกดดันข้าอยู่เสมอ” ซูอันพบว่าสถานการณ์ของเขาแปลกมาก เขาและเพ่ยเหมียนหมานแม้ว่าจะมีข้อตกลงร่วมกัน แต่ยังห่างไกลจากคำว่าสนิทสนมเหมือนเขาและฉู่ชูเหยียน แต่เขากลับเลือกที่จะบอกเรื่องทั้งหมดนี้กับเพ่ยเหมียนหมาน แทนที่จะเป็นฉู่ชูเหยียน
“ทำไมเจ้าไม่บอกอ๋องฉู่ให้ตรวจสอบดูล่ะ?” เพ่ยเหมียนหมานถามด้วยความสงสัย
ซูอันส่ายหัว “มันไม่มีประโยชน์หรอก”
“ระดับการบ่มเพาะของเขาสูงกว่าของอ๋องฉู่ด้วยเหรอ?” เพ่ยเหมียนหมานรู้สึกหวาดกลัว อย่างไรก็ตาม ในไม่ช้านางก็ตระหนักว่าคลื่นพลังกดดันของชายชรานั้นยิ่งใหญ่กว่าฉู่จงเทียนมาก
ซูอันหัวเราะ ปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้
การแสดงออกของเพ่ยเหมียนหมานเริ่มมืดมน การมีผู้บ่มเพาะระดับสูงซ่อนตัวอยู่ในคฤหาสน์ตระกูลฉู่เช่นนี้ มันทำให้สถานการณ์ในเมืองจันทร์กระจ่างกลายเป็นเรื่องที่ซับซ้อนมากขึ้น
“ช่วยแกล้งทำเป็นว่าเจ้าไม่รู้อะไรเลยได้ไหม? อย่าบอกเรื่องนี้กับคนอื่น ข้าไม่ต้องการที่จะเสียเพื่อนเช่นเจ้า” ซูอันกล่าวอย่างจริงจัง
เพ่ยเหมียนหมานรู้สึกประทับใจกับความจริงใจที่ชัดเจนในน้ำเสียงของเขา “ตกลง” นางตอบอย่างจริงจังเช่นเดียวกันพร้อมพยักหน้าให้เขา “ข้าคิดว่าหลังจากนี้ ข้าคงไม่มาหาเจ้าบ่อยเหมือนอย่างเคยอีก” คนทำสวนชราเป็นภัยคุกคามอย่างยิ่ง
ซูอันพยักหน้า “เป็นความคิดที่ดี ไม่มีใครบอกได้ว่าเรื่องร้ายมันอาจเกิดขึ้นตอนไหน” หลังจากพูดจบ สีหน้าของเขาดูไม่เต็มใจเล้กน้อย “น่าเสียดายที่ข้าไม่สามารถพบเจ้าได้ทุกคืนอีกต่อไป”
หัวใจของเพ่ยเหมียนหมานเต้นแรงเมื่อนางสัมผัสได้ถึงความสัตย์จริงในคำพูดของเขา นางพูดพร้อมกับพ่นลมหายใจว่า “ภรรยาของเจ้าจะต้องถลกหนังเจ้าทั้งเป็นแน่ถ้านางได้ยินเจ้าพูดแบบนี้”
ซูอันอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “ข้าสงสัยว่านางจะยังปฏิบัติต่อเจ้าเป็นเพื่อนสนิทเหมือนเดิมหรือเปล่า ถ้านางรู้ว่าเจ้าแอบเข้ามาหาข้าทุกคืน!”
ใบหน้าของเพ่ยเหมียนหมานแดงก่ำ คำที่เขาใช้ ‘แอบมาหา’ มันช่างเหมาะเจาะจริง ๆ
นางกลอกตาใส่เขา ก่อนจากไปก็พูดว่า “ข้าจะพยายามไปสืบข้อมูลคนทำสวนคนนี้มาให้เจ้า ระหว่างนี้เจ้าเองก็ระมัดระวังตัวด้วยล่ะ!”
ซูอันขมวดคิ้ว เขากำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เพ่ยเหมียนหมานชิงพูดขึ้นขัด “ไม่ต้องกังวล ข้าจะไม่บอกเรื่องนี้กับใครอีกและจะไม่ทำให้ใครเดือดร้อนด้วย”
จากนั้นนางก็ขยิบตาให้เขาก่อนที่จะหายตัวไปในยามค่ำคืน
ซูอันยังอยู่ในความงุนงง ภาพที่นางขยิบตาทำให้ใจเขาเต้นแรง!
เฮ้อ ข้าทำตัวเหมือนไอ้หื่นจริง ๆ…
ไร้สาระ! นางเข้ามาหาข้าก่อน
จิตใจสองฝ่ายของเขายังคงโต้เถียงกันในขณะที่ซูอันค่อย ๆ ล่องลอยไปยังดินแดนแห่งความฝัน
…
แม้ว่าซูอันจะนอนหลับสบาย แต่คนบางคนในเมืองกลับไม่เป็นเช่นนั้น
ในคฤหาสน์ตระกูลหวาง ฉู่จงเทียนจ้องไปที่หวางฝูด้วยสีหน้าตื่นตระหนก “พี่หวาง หมายความว่ายังไง ใบอนุญาตค้าเกลือหายไป?”
หวางฝูยิ้มอย่างขมขื่น “ใบอนุญาตค้าเกลือควรจะมาถึงเมืองในวันนี้ แต่ขบวนสินค้าที่บรรทุกพวกมันถูกปล้นก่อนที่พวกมันจะมาถึง ทั้งหมดเป็นความผิดของลูกชายที่โง่เง่าของข้าที่เปิดเผยข้อมูลนี้ออกไป เส้นทางของเราถูกเก็บเป็นความลับอย่างเคร่งครัดเสมอมา ไม่อย่างนั้นพวกมันจะถูกขโมยไปง่าย ๆ ได้ยังไง?”
“เฮ้อ…เราไม่สามารถตำหนิลูกชายของท่านในเรื่องนี้ได้” ฉู่จงเทียนรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับหวางหยวนหลง ดังนั้นเขาจึงไม่ได้โทษหนุ่มน้อยผู้นั้น แต่มันเป็นโชคชะตาที่กำลังทรมานพวกเขา! สวรรค์ต้องการให้ตระกูลฉู่ ของข้าถูกกำจัดใช่หรือไม่???
ฉู่จงเทียนไม่เต็มใจที่จะยอมแพ้ “น้องหวาง มีวิธีที่จะขอใบอนุญาตค้าเกลือเพิ่มเติมได้บ้างไหม?” เขาถาม
หวางฝูส่ายหัวและฝืนยิ้ม “เมื่อก่อนก็พอมีวิธีอยู่หรอก แต่พี่ฉู่ก็น่าจะรู้ว่าเมื่อเร็ว ๆ นี้ ตระกูลหวางได้รับความสูญเสียอย่างร้ายแรงจากการที่ชนต่างเผ่าปล้นสะดมขบวนสินค้าของเราซึ่งใบอนุญาตค้าเกลือที่ถูกปล้นไปมันคือชุดสุดท้ายที่เหลืออยู่ของปีนี้ และเมื่อรวมกับที่ซ่างหงกำลังกดดันตระกูลหวางของเรา ตอนนี้ข้าจึงหาซื้อเพิ่มไม่ได้อีกแน่นอน”
ฉู่จงเทียนทรุดตัวลงบนเก้าอี้ของเขา รู้สึกราวกับว่าเขาแก่กว่าเดิมสิบกว่าปีหรือมากกว่านั้น “แล้วเราจะทำยังไงเพื่อให้ขายเกลือได้ในปีนี้ตามเป้า?”
ลึกลงไป เขารู้อยู่แล้วว่าไม่สามารถทำอะไรได้
หวางฝูกัดฟันและกล่าวว่า “พี่ฉู่ ข้าอาจมีวิธี!”