เซียนคีย์บอร์ด [陆地键仙] - บทที่ 486 คำเตือนจากเพื่อนที่หวังดี
บทที่ 486 คำเตือนจากเพื่อนที่หวังดี
บทที่ 486 คำเตือนจากเพื่อนที่หวังดี
เจิ้งตานไม่ใช่คนธรรมดา และสมองส่วนเหตุผลของนางก็ชนะในที่สุด นางเข้าใจชัดเจนว่า หากตระกูลซ่างพบว่านางไม่บริสุทธิ์แล้ว ทั้งสองตระกูลก็จะผิดใจกันอย่างแน่นอน ผลที่ตามมาจะมากเกินไป ไม่ว่านางจะกล้าแค่ไหน นางก็ไม่กล้าที่จะล้ำเส้นไปไกลถึงขนาดนั้น
ซูอันกะพริบตาปริบ ๆ ผู้หญิงคนนี้พยายามจะทำอะไรกันแน่?
ข้าไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นอีกแล้ว แต่แล้วจู่ ๆ ก็มีเสียงเคาะมาจากประตูหน้า
เจิ้งตานดูเหมือนจะได้สติในทันใด นางผลักเขาออกและจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยอย่างรวดเร็ว นางรีบวิ่งออกไปจนขาของนางสะดุด และเกือบจะล้มลงกับพื้น
หัวใจของหญิงสาวเต้นแรง และร่างกายของตัวเองก็รู้สึกอ่อนแอ เนื่องจากการถูกกดทับเป็นเวลานาน ถ้านางไม่เอามือไปยันกับกำแพงไว้ได้ทัน ป่านนี้คงจะล้มลงไปอีกรอบแล้ว
นี่คือเหตุผลที่นางสะดุดล้มในทันทีขณะที่พยายามวิ่งหนี
เจิ้งตานหันกลับมาและค้อนซูอันอย่างขุ่นเคือง จากนั้นก็เปิดประตูและวิ่งออกไป โดยเอามือปิดใบหน้าตัวเองไว้
“อาซู อาซู…”
ซางหลิวอวี้กำลังเคาะประตู แต่เมื่อประตูเปิดออก นางก็ตกตะลึงเนื่องจากนางไม่คิดว่าจะมีผู้หญิงพุ่งพรวดสวนออกมาแทน
“หืม? เจ้าคือใคร?”
ซางหลิวอวี้รู้สึกสับสน ผู้หญิงคนนั้นดูเหมือนจะไม่ได้ยินนาง และไม่มีท่าทีว่าจะหันหลังมาตอบนางแม้แต่น้อย และแค่เพียงชั่วครู่เดียวอีกฝ่ายก็หายตัวไปในระยะไกล
จากนั้นซูอันก็ปรากฏตัวขึ้น “อาจารย์ซาง! เข้ามาก่อนสิ!”
ซางหลิวอวี้มองไปทางที่เจิ้งตานหายตัวไป พลางทำหน้าแปลก ๆ “นั่นใคร?”
ซูอันหัวเราะและพูดว่า “แค่นักศึกษาที่มาขอความช่วยเหลือจากข้าเกี่ยวกับปัญหาเลขคณิต เฮ้อ คนที่ใจกว้างเช่นข้าจะทำให้นักศึกษาที่จริงจังและกระตือรือร้นเช่นนั้นผิดหวังได้ยังไง?”
ซางหลิวอวี้เบ้ปาก “แต่ถ้าข้าจำไม่ผิด ผู้หญิงคนนั้นคือเจิ้งตาน!”
ซูอันมองนางอย่างเงียบ ๆ ชั่วขณะหนึ่ง
“พี่สาว ถ้ารู้แล้วว่านางเป็นใคร ทำไมถึงท่านต้องมาถามอีกล่ะ?”
เสียงหัวเราะของซางหลิวอวี้บ่งบอกถึงความเขินอาย “ตอนแรกข้าจำนางไม่ได้เพราะนางเอามือปิดหน้าไว้ แต่ข้าค่อนข้างไวต่อกลิ่นของผู้คน ข้าจึงต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะรู้ว่ากลิ่นนี้เป็นของเจิ้งตาน”
ถ้าเจิ้งตานรู้ว่าซางหลิวอวี้จำนางได้จากกลิ่นของนาง นางคงไม่ยุ่งยากจากไปในท่าทางที่น่าอับอายแบบนั้น คงไม่มีประโยชน์อะไรที่จะปกปิดใบหน้าของนาง
ใบหน้าของซางหลิวอวี้เริ่มจริงจัง นางลังเลเล็กน้อยก่อนจะพูดว่า “อาซู นี่อาจไม่ใช่สิ่งที่ข้าควรพูดถึง แต่…ในฐานะเพื่อน ข้ารู้สึกเหมือนเป็นหน้าที่ของข้าที่จะเตือนเจ้า ข้าจำได้ว่าเจิ้งตานหมั้นหมายแล้ว ดังนั้นเจ้าสองคนควรคำนึงถึงขอบเขตความสนิทสนมที่ควรรักษาไว้”
ซูอันรู้สึกเขินอายอย่างยิ่ง “พี่สาวซาง เราสองคนก็เป็นแค่เพื่อนกัน”
อันที่จริงต่อให้ชายหนุ่มจะพูดออกไปแบบนี้ แต่ก็ไม่เชื่อกับคำพูดของตัวเองแม้แต่น้อย
ซางหลิวอวี้ยิ้มหวาน “ถ้าเจ้าสองคนเป็นแค่เพื่อนธรรมดาจริง ๆ ก็ไม่เป็นไร บางทีข้าก็ชอบหลุดปากซะด้วยสิ”
ซูอันพบว่าสถานการณ์นี้น่าอึดอัดเล็กน้อย เขาไม่มีคำตอบที่ดีพอ จึงเป็นฝ่ายถามแทน “ว่าแต่พี่สาวซางต้องการอะไรจากข้าวันนี้?”
“โอ้ ข้าเกือบลืมเรื่องสำคัญ” ซางหลิวอวี้ตบหน้าผากของนาง ท่าทางที่น่ารักนี้สามารถทำให้ผู้ชายคนไหน ๆ คลั่งไคล้ได้อย่างง่ายดาย “อาจารย์ใหญ่เจียงส่งข้ามาช่วยเจ้ายึดทรัพย์สินของสำนักดอกบ๊วย ถ้าเจ้าว่าง ตอนนี้เราก็ไปกันได้แล้ว”
“อาจารย์ใหญ่สุดสวยส่งท่านมาเหรอ?” ซูอันประหลาดใจเล็กน้อย
ซางหลิวอวี้พ่นลมหายใจ “ทำไมเจ้าถึงถามแบบนั้น? ข้าไม่น่าเชื่อถือในสายตาของเจ้าเหรอ?”
“นั่นไม่ใช่สิ่งที่ข้าหมายถึง” ซูอันอธิบายด้วยสีหน้าตื่นตระหนก “ในความคิดของข้า พี่สาวซาง เป็นสาวงามที่สดใสและบริสุทธิ์อยู่เสมอ ข้าแค่คาดไม่ถึงว่าอาจารย์ใหญ่จะส่งท่านมาจัดการงานพวกนี้”
อารมณ์ที่สดใสของซางหลิวอวี้ขุ่นมัวเล็กน้อย “ข้าก็ไม่อยากมาเหมือนกัน…แต่ข้าก็ปฏิเสธไม่ได้หลังจากที่ลั่วฝูขอร้องข้า”
“ลั่วฝู?” ซูอันสมองช้าเล็กน้อย
ซางหลิวอวี้ อธิบายว่า “จริง ๆ แล้วข้าสนิทกับอาจารย์ใหญ่เจียงมาก จะเรียกว่าเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดต่อกันก็ว่าได้ นางมีท่าทางเย็นชาและไม่มีเพื่อนแท้ที่นางสามารถพึ่งพาได้ ข้าเป็นคนเดียวที่นางสามารถขอความช่วยเหลือเกี่ยวกับเรื่องที่สำคัญต่าง ๆ ได้”
เพื่อนสนิท…
ซูอันตกตะลึงชั่วขณะ เขาอดไม่ได้ที่จะนึกถึงเพ่ยเหมียนหมานและฉู่ชูเหยียน เขาใช้เวลาสักพักกว่าจะหลุดจากอาการเหม่อลอย แต่…แต่…
ซางหลิวอวี้รู้สึกงุนงงกับความเงียบของเขา “เจ้ากำลังกังวลว่าข้าอาจจะเป็นอันตรายใช่ไหม?” นางพูดด้วยรอยยิ้ม
ซูอันหัวเราะแห้ง ๆ แต่ไม่ได้พูดอะไร ในบรรดาอาจารย์ของสถาบันจันทร์กระจ่างทั้งหมด ซางหลิวอวี้เป็นที่รู้จักเนื่องจากความงามของนาง ไม่ใช่เพราะความแข็งแกร่งของนาง
ซางหลิวอวี้รู้ถึงความวิตกกังวลที่เขาไม่ได้พูดออกมา “เจ้าไม่ต้องกังวล เรื่องเล็ก ๆ เช่นนี้ข้าสามารถรับมือได้อย่างง่ายดาย!”
ซูอันหัวเราะ “แน่นอน! มีพี่สาวซางอยู่ข้างข้า ใครจะมาขวางทางเราได้!”
เมื่อเหมยเชาฟงตายไปแล้ว แค่ตัวเขาเองก็มากเกินพอที่จะจัดการกับพวกสมุนเหล่านั้น ชายหนุ่มไม่ต้องการความช่วยเหลือจากซางหลิวอวี้ ด้วยซ้ำ
ซางหลิวอวี้สามารถบอกได้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่จากการแสดงออกของเขา นางเพียงแค่ยิ้มโดยไม่พูดอะไร
“งั้นพวกเราออกไปกันเถอะ” การถูกขัดจังหวะก่อนหน้านี้ทำให้ซูอัน หงุดหงิดเล็กน้อย อย่างไรก็ตามความขุ่นเคืองของเขาได้หายไปทันทีเมื่อเห็นว่าเป็นซางหลิวอวี้
ซางหลิวอวี้ส่ายหัว “เดี๋ยวก่อน เราต้องพาอีกคนไปด้วย!”
ซูอันตกตะลึง “เราต้องรอใครอีกเหรอ?” เขาถาม “ใครกันที่เราต้องพาไปอีกคน?”
“เซี่ยซิว” ซางหลิวอวี้ตอบ
“เซี่ยซิว?” ซูอันใช้เวลาสักครู่ในการประมวลผลข้อมูลนี้ “อาจารย์ใหญ่ให้เซี่ยซิวมากับเราด้วย! อาจารย์ใหญ่คนนี้ฉลาดจริง ๆ! เมื่อมีเขาอยู่ใกล้ ๆ มันจะง่ายกว่ามากที่จะครอบครองสำนักดอกบ๊วย”
แม้ว่าเซี่ยซิวมักจะทำตัวไร้สาระ แต่เขาก็ยังคงเป็นลูกชายของเจ้าเมือง การปรากฏตัวของเขาจะช่วยให้ขั้นตอนทางการส่วนใหญ่ราบรื่น
ซางหลิวอวี้ส่ายหัว “ลั่วฝูไม่ได้จัดให้เขามา นางต้องการให้เจ้าเป็นคนเชิญเขา”
“ข้าต้องเชิญเขาเอง?” ซูอันมึนงง
“ใช่” ซางหลิวอวี้ยิ้ม “สถาบันจันทร์กระจ่างไม่สามารถประกาศให้โลกรู้ได้ว่ายอมรับเงินเจ็ดล้านห้าแสนตำลึงของเจ้า นับประสาอะไรให้คนอย่างเซี่ยซิวรู้ เราต้องการให้เจ้าก้าวออกมารับหน้าแทน ส่วนข้าจะแกล้งทำเป็นว่าช่วยเจ้า”
ซูอันพูดไม่ออกชั่วขณะหนึ่ง
ท่านจริงจังเหรอ อาจารย์ใหญ่สุดสวยคนนั้นชอบใส่ถุงน่องสีดำมากจนหัวใจของนางเปลี่ยนเป็นสีดำ! นางไม่พลาดแม้มีโอกาสเพียงเล็กน้อยที่จะใช้ข้า!
“เจ้ารู้สึกลำบากใจไหม?” ซางหลิวอวี้ถาม
“ไม่เลย” ซูอันส่ายหัว พูดตามตรง เจียงลั่วฝูปฏิบัติต่อเขาค่อนข้างดี ตั๋วหนี้มูลค่าเจ็ดล้านคงไร้ค่าหากถูกทิ้งไว้ในมือของชายหนุ่ม ดังนั้นเขาจึงใช้โอกาสนี้แลกมันเพื่อขอความช่วยเหลือจากเจียงลั่วฝู
เมื่อชั่งน้ำหนักข้อดีข้อเสียเสร็จแล้ว ซูอันก็พยักหน้า “ไปหาเซี่ยซิวกัน”
ซางหลิวอวี้ไม่คัดค้านอะไรและตามเขาไป