เซียนคีย์บอร์ด [陆地键仙] - บทที่ 64 วิธีที่ง่ายที่สุดในการหาเงิน(ปลาย)
บทที่ 64 วิธีที่ง่ายที่สุดในการหาเงิน(ปลาย)
ซูอัน ไม่สนใจเสียงพูดของดอกบ๊วยสิบสามแม้แต่น้อย เขารีบอ่านเงื่อนไขสัญญาอย่างรวดเร็ว และในไม่ช้า ดวงตาของเขาก็เป็นประกายขึ้น
อีกครั้ง “ฮ่าฮ่า! ตามกำหนดในสัญญามันยังเหลือเวลาอีกตั้ง 3 วันนี่นา
ข้าถึงจะต้องคืนเงินให้เจ้า ดังนั้นเจ้าจะมารีบทวงข้าตอนนี้มันก็ไม่ได้จริงไหม? ข้าจะคืนเงินให้เจ้าภายในเวลา3วัน ดังนั้นเจ้าไม่ต้องรีบร้อนหรอก!”
ดอกบ๊วยสิบสามถึงกับขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเช่นนี้ เขาไม่ต้องการให้ ซูอัน หลุดมือไปง่าย ๆ แต่ผู้หญิงในศาลา… ท้ายที่สุดดอกบ๊วยสิบสาม
ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องเล่นตามน้ำไป “ก็ได้! หากครบกำหนดสามวันแล้วเจ้าไม่คืนเงินข้า ต่อให้เซียนลงมาจากสวรรค์ก็ช่วยเจ้าไม่ได้จำไว้!”
เมื่อพูดจบ ดอกบ๊วยสิบสามคว้าตั๋วหนี้คืนจากมือของ ซูอัน ก่อนที่จะเดินจากไปด้วยสีหน้าขุ่นเคือง
ในขณะเดียวกัน ซูอัน เหลือบมองไปที่ผู้หญิงในศาลาแล้วถามขึ้น “ดูเหมือนว่าเขาจะกลัวเจ้ามาก?”
หญิงสาวในศาลายิ้มให้เขา “เขาไม่ได้กลัวข้า เขาแค่ไม่ต้องการสร้างปัญหาให้กับสำนักของเขา แต่ข้าสงสัยอย่างหนึ่ง ข้าอยากรู้ว่าภายในเวลา
สามวันเจ้าจะหาเงินมาได้ยังไงตั้ง 1,000 ตำลึงเงิน?”
ซูอัน กลับไปที่ศาลาและพูดด้วยรอยยิ้มซุกซนว่า “ถ้าเจ้ายินดีให้ข้ายืม ข้าจะไล่ตามไปคืนเงินให้เขาทันที”
หญิงสาวตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดว่า “เจ้านี่ชังเป็นคนหน้าหนา
เสียจริง ๆ ”
ชายหนุ่มถอนหายใจ “ก็มันช่วยไม่ได้นี่นาจริงไหม? ผู้ชายซื่อ ๆ
แทบทั้งหมดล้วนใช้ชีวิตอยู่อย่างเสียเปรียบไม่ว่าจะอยู่ในโลกไหน แต่ถ้าทำตัวหน้าหนาเข้าไว้ชีวิตก็จะง่ายขึ้นเยอะ”
หญิงสาวส่ายหัวด้วยสีหน้าเหนื่อยใจก่อนจะกระดกสุราเขาไปอึกใหญ่ “ข้าไม่รู้จักเจ้าสักหน่อยทำไมข้าต้องให้เจ้ายืมเงินด้วย? และอีกอย่างตัวข้าเองก็ไม่มีเงินมากขนาดนั้นหรอก”
เขาคิดเอาไว้อยู่แล้วนางจะตอบในลักษณะนี้ ซูอันจึงหัวเราะขึ้นสียงดังและพูดว่า “เอาน่าไหน ๆ เราก็เคยจิบสุราร่วมขวดเดียวกันแล้วอย่างน้อย ๆ เจ้าช่วยบอกข้าหน่อยได้ไหมว่าการค้าใดในเมืองที่ทำกำไรได้มากที่สุด?
ข้าอยากลองเสี่ยงโชคดู”
หญิงสาว หรี่ตาจ้องมาที่ ซูอันอีกครั้งซึ่งรอบนี้นางมองประเมินเขานานกว่าเดิม “เจ้านี่เป็นคนที่น่าสนใจทีเดียว เอาล่ะงั้นข้าจะบอกให้ก็ได้ สองการค้าที่ทำกำไรได้มากที่สุดในเมืองจันทร์กระจ่างก็คือเกลือและโลหะ คนส่วนใหญ่ในโลกนี้เป็นคนธรรมดากันทั้งนั้น พวกเขาต้องกินและทำไร่ไถนา ดังนั้นชีวิตของพวกเขาจึงขาดทั้งเกลือและโลหะไปไม่ได้”
“นอกจากนั้น ยังมีการค้าหินพลังชี่ ของตระกูลอวี๋ แต่ข้าไม่อยากนับรวมเข้ามาเพราะถึงแม้มันจะเป็นการค้าที่ทำกำไรได้สูง แต่หินพลังชี่
นั้นหายาก การเข้าถึงการค้านี้เจ้าจะต้องมีเส้นสายมากมายซึ่งถ้าเป็นคนธรรมดาไม่มีวันจะเข้าถึงมันแน่นอน”
“เอาล่ะที่ข้าพูดไปทั้งหมดมันคือแง่มุมทางการค้าของเมือง แต่ถ้าหากเจ้าเป็นผู้บ่มเพาะที่มีความแข็งแกร่งมากพอ เจ้าก็จะมีลู่ทางหาเงินอีกมากมาย”
ซูอัน กลอกตาเมื่อได้ยินคำพูดปิดท้ายของหญิงสาว “ถ้าข้าแข็งแกร่งพอ ข้าคงไม่กลัวคำขู่ของไอ้พวกสำนักดอกบ๊วยนั่นหรอก!”
“ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยไม่ได้” หญิงสาวหัวเราะเบาๆ
ซูอัน ยิ้มและเอ่ยขึ้นว่า “จริง ๆ แล้วมันมีวิธีที่ง่ายและสะดวกกว่ามาก
ในการหาเงินจำนวนมากในคราวเดียว เจ้าอยากรู้รึเปล่าว่ามันคืออะไร?”
“โอ้? มันคืออะไร?” ความสนใจของหญิงสาวถูกกระตุ้นทันที
“ข้าเคยได้ยินทฤษฎีหนึ่งจากชายหนุ่มรูปงามผู้หนึ่ง เขากล่าวเอาไว้ว่ามีผู้หญิงมากมายในโลกนี้ แต่พลังงานของเรามีจำกัด หากเราใช้พลังงานที่เรามีจำกัดจีบผู้หญิงทุกคนที่เราเจอ มันก็ไม่ต่างอะไรกับการสูญเสียพลังงานไปโดยเปล่าประโยชน์ ดังนั้นวิธีที่ถูกต้องที่สุดคือการทุ่มเทแรงกายแรงใจมุ่งเป้าจีบ
แต่ผู้หญิงที่ร่ำรวยเท่านั้นแทน! ซึ่งตอนนี้ข้าก็กำลังคิดว่าแนวคิดของชายผู้นั้นเข้าท่าดีทีเดียว ข้าควรจะทำตามที่เขาบอกเจ้าเห็นด้วยไหม?” ซูอันตอบกลับด้วยสีหน้าจริงจัง
“ช่างเป็นการอธิบายความหมายของคำว่าแมงดาได้ไม่เหมือนใคร
ดีจริง ๆ เจ้านี่มันไม่เหมือนใครในโลกนี้เลยเจ้ารู้ตัวรึเปล่า?” หญิงสาว เอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเอือมระอา
“แม่นาง เจ้าไม่ลองพิจารณาตัวข้าบ้างเหรอ? ข้าเป็นผู้ชายที่อ่อนโยน
มีน้ำใจ และห้าวหาญ ข้ามั่นใจว่าเจ้าจะไม่เสียใจแน่นอนหากเจ้าตกลง!”
ซูอัน ชมตัวเองอย่างออกนอกหน้า
“เจ้าเป็นลูกเขยของตระกูลฉู่ แล้วไม่ใช่เหรอ? นี่เจ้ายังกล้ามาจีบข้าอีกเหรอเนี่ย?” หญิงสาวถ่มน้ำลายด้วยสีหน้าดูแคลน “เจ้านี่มันสารเลวมาก ๆ เลยเจ้ารู้ตัวไหม?”
ซูอัน ตกตะลึง “เจ้ารู้จักข้า?”
“ตอนแรกข้าไม่รู้ แต่มันก็เดาไม่ยากหลังจากที่ข้าได้ยินบทสนทนาของเจ้ากับดอกบ๊วยสิบสาม” หญิงสาว เอ่ยขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ข่าวได้แพร่กระจายไปทั่วเมืองแล้ว เจ้าหญิงแห่งเมืองจันทร์กระจ่าง บุตรสาวคนแรกของตระกูลฉู่ เพิ่งแต่งงานและคู่สมรสของนางก็ไม่ใช่ชายที่ดีเด่อะไร แต่กลับเป็นขยะ
ที่ไร้ประโยชน์
“พูดตามตรง ข้าค่อนข้างสงสัยว่าทำไมคนที่โดดเด่นอย่าง ฉู่ชูเหยียน ถึงเลือกคนแบบเจ้ามาเป็นสามีของนาง อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ข้าได้พบเจ้าด้วยตัวเองแล้ว ข้าคิดว่าตอนนี้ข้าเข้าใจแล้ว”
ซูอัน ยืดอกของเขาและถามไปว่า “เพราะข้าดูดีเหรอ?”
“ไม่! มันเป็นเพราะเจ้าเป็นคนไร้ยางอายต่างหาก!” หญิงสาวเหยียดกายบิดขี้เกียจ ซึ่งมันเผยให้เห็นส่วนโค้งอันงดงามของร่างกายนางให้ชัดเจนยิ่งขึ้น “ข้าออกมาข้างนอกสักพักแล้ว ตอนนี้มันถึงเวลาที่ข้าควรจะกลับแล้วล่ะ
หากโชคชะตานำพา พวกเราคงได้พบกันอีก”
หลังจากพูดจบ หญิงสาวก็ไม่รอให้ ซูอันได้พูดอะไรต่อ นางเดินจากไปทางป่าไผ่ด้านหลังศาลาอย่างรวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม ซูอัน สัมผัสได้จาง ๆ ถึงกลิ่นอายที่ดูเศร้าหมองของนาง มันปลดปล่อยออกมาตลอดเวลาแม้ในยามที่นางยิ้มหรือหัวเราะหรือแม้กระทั่งตอนที่เดินจากไป
“อยากรู้จริง ๆ ว่าอะไรทำให้นางเป็นคนที่หม่นหมองได้ขนาดนี้?” ซูอัน คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะเดินจากไปเพื่อตามหาคฤหาสน์ตระกูลอวี๋ต่อ
ในขณะเดียวกัน ดอกบ๊วยสิบสาม ก็วิ่งไปจนถึงสาขาใหญ่
ของสำนักดอกบ๊วยซึ่งตั้งอยู่ทางใต้ของเมือง เขาตรงไปที่ห้องของเจ้าสำนักทันที
ปัง!
“ท่านพ่อ ข้ามีข่าวร้าย…” ทันทีที่เขาบุกเข้ามา ก็มีเสียงกรีดร้อง
อย่างตื่นตระหนกของคนในห้อง หญิงเปลือยกายคนหนึ่งรีบพุ่งไปด้านข้างพร้อมกับตะเกียกตะกายหาสิ่งที่จะใช้ปกปิดร่างกายของนาง
“ถ้าเจ้าไม่สามารถให้คำอธิบายที่เหมาะสมแก่ข้าสำหรับเรื่องที่เจ้าก็บุกเข้ามาโดยพลการเช่นนี้ได้ เจ้าเตรียมตัวโดนโบย 20 ครั้งได้เลย!” ชายตาเดียวนั่งอยู่หลังโต๊ะอ่านหนังสือตัวใหญ่ จากนั้นเขาจับผมของหญิงสาวที่ตื่นตระหนกและกดนางลงไปใต้โต๊ะ
อ่อก อ่อก…
สิ่งที่เหลืออยู่ก็คือเสียงอู้อี้แยกไม่ออกจากผู้หญิงคนนั้น
ดอกบ๊วยสิบสาม ได้แต่กลืนน้ำลายลงคอ เขาจำได้ว่าหญิงคนเมื่อครู่คือภรรยาของ ถานเว่ย อย่างไรก็ตาม เขารีบสะบัดความคิดไร้สาระออกจากหัวอย่างรวดเร็วและพูดว่า “ข้าเพิ่งพบ ซูอัน”
แน่นอนว่าชายตาเดียวผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่นเขาคือเจ้าสำนักดอกบ๊วย
เหมยเชาฟง
“ใครคือซูอัน?” เหมยเชาฟงเอนตัวพิงเก้าอี้พร้อมกับแสดงสีหน้าอิ่มเอมไปด้วยความหฤหรรษ์
“เขาคือคนที่ท่านสั่งให้ เจ้าสิบสอง กำจัดเมื่อหลายวันที่แล้วยังไงล่ะท่านพ่อ!” ดอกบ๊วยสิบสาม ตอบอย่างเร่งรีบ
“อ้อ ลูกเขยตระกูลฉู่สินะ?” เหมยเชาฟง กลับมานั่งหลังตรงพร้อมกับแสดงแววตาหงุดหงิด
แค่ก แค่ก… หญิงที่อยู่ใต้โต๊ะไอแห้ง ๆ เหมือนมีอะไรขัดลำคอนางสักอย่าง
เหมยเชาฟงชำเลืองมองด้านล่างก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองไปยัง
ดอกบ๊วยสิบสาม “คราวที่แล้วสิบสองทำพลาดไป ข้าก็เลยให้โอกาสเขาแก้ตัวอีกครั้ง มีอะไรผิดปกติ? เขาทำภารกิจล้มเหลวอีกแล้วงั้นเหรอ?”
ดอกบ๊วยสิบสาม ตอบว่า “ข้าได้ยินจากพี่น้องของเราในสำนักว่าพวกเขาเห็น สิบสอง ออกจากเมืองพร้อมกับ ซูอัน ซึ่งข้าคิดว่าเรื่องมันน่าจะจบลงด้วยดีแต่ทว่า ซูอัน กลับปรากฏตัวขึ้นในเมืองอีกครั้งโดยที่ เจ้าสิบสอง กลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย”
“เกิดอะไรขึ้น?” เหมยเชาฟง ขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเช่นนี้
ดอกบ๊วยสิบสาม ตอบทันที “ข้าถาม ซูอันเกี่ยวกับเรื่องนี้ซึ่งมันบอกกับข้าว่าเมื่อตอนที่พวกเขาทั้งสองเดินออกไปจากเมือง ก็บังเอิญพบกับถานเว่ยพอดีและหลังจากนั้น เจ้าสิบสอง ก็ไล่ตาม ถานเว่ยไป หลังจากนั้นพวกเขาก็ไม่ได้เจอกันอีก”
เมื่อได้ยินคำว่า ‘ถานเว่ย’ ผู้หญิงที่อยู่ใต้โต๊ะก็รู้สึกกระวนกระวายและพยายามลุกขึ้นยืน แต่ก็โดนเหมยเชาฟงกดนางลงไปอย่างแรงไม่ยอมให้นางขยับแม้แต่น้อย
ดอกบ๊วยสิบสาม รู้สึกคอแห้ง “ท่านพ่อ เป็นไปได้ไหมที่เจ้าสิบสองจะ…”
“เป็นไปไม่ได้!” เหมยเชาฟงโบกมือ “ไม่ว่าจะในแง่ของ
ระดับการบ่มเพาะหรือความเฉลียวฉลาด ถานเว่ย ยังห่างไกลจากสิบสอง
อยู่ไกลลิบไม่มีทางที่ถานเว่ยจะสามารถทำอะไร สิบสอง ได้”
“รายงานท่านเจ้าสำนัก!” จู่ ๆ หนึ่งในคนของสำนักก็ปรากฏตัวขึ้น
ที่หน้าประตู “เราพบศพของ ถานเว่ย นอกเมืองแล้ว!”