เซียนคีย์บอร์ด [陆地键仙] - บทที่ 792 ทางเข้า
บทที่ 792 ทางเข้า
“หยุด หยุด หยุด!” ซูอันขนลุก “หยุดพูดเรื่องนี้ราวกับว่าเจ้ากำลังปรุงอาหาร!”
“แต่มันเป็นการทำอาหารจริง ๆ…” หยาจางมีสีหน้างุนงง “ท้ายที่สุด พวกเขาเป็นอาหารถวายเทพเจ้า ตามธรรมเนียมของเรา เมื่อเทพเพลิดเพลินกับการถวาย พวกเขาจะให้พรแก่พวกเรา นี่คือเหตุผลว่าทำไมเมื่อพิธีสิ้นสุดลง เครื่องเซ่นไหว้เหล่านี้จึงกลายเป็นอาหารอันโอชะที่มีผู้สูงศักดิ์เพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่จะเข้าร่วมรับประทานได้”
ซูอันแทบไม่ต้องการให้สมองประมวลผลสิ่งที่เขาได้ยิน
ชายหนุ่มรู้สึกปั่นป่วนในท้อง ฟังแล้วเศร้าใจเหลือเกิน
เพ่ยเหมียนหมานไม่ได้ดีไปกว่ากัน นางผละออกไปด้านข้าง
พวกเขาไม่กล้าอยู่ในสถานที่นี้อีกต่อไป และรีบเดินต่อไปอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นไม่นาน ทั้งหมดก็มาถึงหน้าแท่นบูชาซึ่งมีภาชนะทองสัมฤทธิ์หลายแบบจัดวางไว้
หมี่ลี่เคยบอกชื่อภาชนะเหล่านี้แก่เขามาก่อนแล้ว แต่ชื่อทั้งหมดนั้นไม่คุ้นเคยจนตัวเองจำไม่ได้แม้แต่คำเดียว
ภาชนะที่มีลักษณะเหมือนจานบางอันมีบางสิ่งที่น่าจะเป็นเนื้อสับอยู่ด้านใน ซูอันค่อนข้างประหลาดใจ หลังจากผ่านไปหมื่นปี แม้แต่สิ่งของที่เก็บไว้ในช่องแช่แข็งก็ยังเน่าเปื่อยย่อยสลายกลายเป็นเถ้าธุลี แต่ทำไมอาหารพวกนี้กลับยังคงสภาพเดิมได้?
หรือว่ามีพลังลึกลับที่รักษาสภาพพวกมันไว้?
เมื่อเห็นพวกเขาจ้องมองสิ่งที่ดูเหมือนเนื้อสับ หยาจางจึงก้าวเข้ามาเพื่ออธิบาย “นี่คือเครื่องบูชาเนื้อสับซึ่งมันทำมาจากเนื้อมนุษย์ที่ถูกบดละเอียด ผู้ที่มีสถานะสูงซึ่งมักจะเป็นผู้นำของตระกูลมักจะถูกเลือกใช้ในการบูชาประเภทนี้ เนื้อสับนี้ถือเป็นสิ่งล้ำค่าอย่างยิ่ง เจ้าสองคนอยากจะลองชิมมันหรือเปล่า?”
พูดจบหยาจางตักเนื้อบดเล็กน้อยจากจานหนึ่งแล้วยื่นให้ทั้งสองคน
“ไม่! ไม่! ไม่!” ซูอันและเพ่ยเหมียนหมานต่างถอยห่างออกไปอย่างรวดเร็ว โบกมือเป็นพัลวัน
คนในราชวงศ์ซางพวกนี้มันบ้าอะไรกัน! ทำไมฆ่าแกงแล้วเอามากินกันอย่างโหดเหี้ยมเช่นนี้!
ซูอันก็นึกขึ้นได้ว่า ‘เทพประยุทธ์พิชิตฟ้า’ อธิบายว่าพระเจ้าโจวอู่ไม่ลังเลใจที่จะให้หั่นคนให้เป็นเนื้อสับ ตัวอย่างเช่น ปั๋วอี้เข่าที่ถูกหั่นเป็นเนื้อสับและถูกกินในภายหลัง
เมื่อตอนนั้นเขายึดมั่นในความเชื่อที่ว่ามันอาจเป็นเพียงเรื่องที่สร้างขึ้นเพื่อทำให้ราชวงศ์โจวดูเหมือนเป็นปีศาจที่โหดเหี้ยม แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่านี่เป็นวิธีการสังเวยทั่วไปในราชวงศ์ซาง!
“น่าเสียดาย…” หยาจางส่ายหัวให้กับทั้งสองคน ราวกับว่าทั้งสองไม่รู้จักความฟุ่มเฟือยในชีวิต เขาจิ้มนิ้วไปที่เนื้อบดและลิ้มรส “นานมากแล้วที่ข้าไม่ได้เพลิดเพลินกับอาหารอันโอชะเช่นนี้ ขอบคุณที่ปลุกข้าขึ้นมาอีกครั้ง”
ซูอันและเพ่ยเหมียนหมานจ้องมองเขาโดยไม่พูดอะไร
ทั้งสองคนใกล้จะหมดความอดทนแล้ว พวกเขารู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่งที่จะเดินข้างมนุษย์กินคน
ซูอันดึงเพ่ยเหมียนหมานเข้ามาใกล้เขามากขึ้นในขณะที่พวกเขาเดินต่อไปอย่างรวดเร็ว สิ่งสุดท้ายที่เขาต้องการทำคืออยู่ในที่ที่มีเนื้อมนุษย์สับ
ขณะที่พวกเขาเดินต่อไป พวกเขาพบหม้อทองแดงขนาดใหญ่กลางทาง ต่างจากหม้อเปล่าด้านนอก อันนี้เต็มไปด้วยสิ่งที่ดูเหมือนเยลลี่เนื้อหรือจารบีที่แข็งตัว
ซูอันแสดงสีหน้าอยากจะอาเจียน “ให้ข้าเดา ทั้งหมดในหม้อนี้คือเนื้อมนุษย์ถูกต้องไหม?”
หยาจางพยักหน้า “หม้อใบนี้สามารถปรุงได้มากกว่าสี่สิบคนในคราวเดียว มีเพียงหม้อขององค์จักรพรรดิเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้มีขนาดใหญ่เช่นนี้ได้”
น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความจงรักภักดีแกมอิจฉาริษยา เขาวางมือไว้ที่ขอบหม้อ จากนั้นคลื่นควันสีดำก็กระจายออกจากหม้อ เยลลี่เนื้อด้านในเริ่มละลาย และพวกเขาเห็นชิ้นส่วนของมนุษย์เดือดปุด ๆ ลอยขึ้นและลงอยู่ข้างใน
เพ่ยเหมียนหมานไม่กล้าดูอีกต่อไปและซ่อนตัวอยู่เบื้องหลังซูอัน
หัวใจของซูอันก็เต้นแรงเช่นกัน
เมื่อเห็นท่าทีตื่นเต้นของหยาจาง ชายหนุ่มรีบพูดขึ้นว่า “ขอโทษที่ต้องพูดตรง ๆ แต่ถ้าเจ้าเอาอาหารที่ชั่วร้ายนี้ขึ้นมากินอีก ข้าจะทำให้เจ้าสลายหายไปในทันที ข้าจะไม่สนอีกแล้วกับไอ้การทดสอบบ้าอะไรนั่นที่รออยู่!”
หยาจางดูสับสน “เครื่องบูชาสวรรค์เป็นสิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์และบริสุทธิ์ที่สุดในโลก เครื่องบูชาเหล่านี้ได้รับพรจากเทพเจ้า มันจะชั่วร้ายได้อย่างไร?”
ซูอันรู้ว่าหยาจางกำลังแสดงความเชื่ออย่างตรงไปตรงมา เพราะคนในอินซางก็เป็นเช่นนี้ เหตุนี้เขาจึงไม่โกรธเคือง “การบูชายัญมนุษย์ได้ถูกยกเลิกไปนานแล้วในรุ่นหลัง อย่าทำแบบนี้ต่อหน้าพวกเราอีกเจ้าเข้าใจไหม?”
“ได้” หยาจางสามารถสัมผัสได้ถึงพลังชี่ที่หมุนวนรอบกระบี่ของซูอัน ดังนั้นเขาจึงทำอะไรไม่ได้และเอามือออกจากหม้อ เยลลี่เนื้อที่เริ่มเดือดค่อย ๆ สงบลง
ความคิดหนึ่งผุดขึ้นในใจของซูอันและเขาจำคำขอร้องของเจียงเจียงได้ “ใช้หอกของเจ้ากวนดูหน่อยว่ามีหัวคนอยู่ข้างในหรือเปล่า” เขาถามหยาจาง
เขาไม่อยากทำเอง หม้อนี้ใหญ่เกินไปและบอกตามตรง มันค่อนข้างน่าสยองเมื่อต้องมองเห็นรายละเอียดของในหม้อ
“หัวคน?” หยาจางไม่แน่ใจว่าซูอันต้องการอะไร แต่เขายังคงกวนหม้อด้วยหอกของเขา
ซูอันจ้องไปในหม้ออย่างไม่สบายใจ เขาเห็นหัวหลายหัว แต่ไม่มีหัวใดที่ดูเหมือนเป็นของเด็กสาว
เขาละทิ้งการกวนหม้อและเดินต่อไปในห้องโถงใหญ่
หลังจากนั้นหยาจางก็ประกาศว่า “เรามาถึงสถานที่สำหรับการทดสอบแล้ว!”
ซูอันและเพ่ยเหมียนหมานมองไปที่สิ่งที่อยู่ข้างหน้าพวกเขา มีลวดลายต่าง ๆ ที่แกะสลักไว้บนผนัง ตั้งแต่ภาพจิตรกรรมฝาผนังจนถึงรูปแบบค่ายกลต่าง ๆ
ที่ตรงกลางของห้องมีแท่นกลมเล็ก ๆ และมีรูปหล่อทองสัมฤทธิ์แปลก ๆ ตั้งอยู่บนนั้น รูปหล่อทองสัมฤทธิ์นี้มีรูปร่างเหมือนนกแต่มีสามขา
“นั่นใช่อีกาทองคำสามขาศักดิ์สิทธิ์หรือเปล่า?” นี่เป็นปฏิกิริยาแรกของซูอัน แต่เขารีบส่ายหัวและปฏิเสธความคิด เขาสังเกตว่าขาสุดท้ายไม่ใช่ขา แต่เป็นขนหางของนก
รูปหล่อทองสัมฤทธิ์ชิ้นนี้ทั้งชิ้นถูกปกคลุมไปด้วยลวดลาย จงอยปากและอกของมันถูกสลักลวดลายคล้ายจักจั่นและที่ส่วนหัวมีลวดลายขนนกปกคลุมจนทั่ว มีงูยาวพันรอบปีกของมัน หัวของมันอยู่ในท่าเหลียวหลังมองลงที่คอและปีกกางสยายจนสูงเหนือหัว
การออกแบบของนกนี้ค่อนข้างซับซ้อนอย่างแท้จริง
หยาจางมองดูรูปหล่อทองสัมฤทธิ์นี้ด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความชื่นชม “นี่คือรูปปั้นนกฮูกตัวโปรดของจักรพรรดินี และเป็นจุดเข้าสู่การทดสอบ”
ชาวอินซางเชื่อว่านกตัวนี้ที่ชอบบินท่องไปในยามราตรี อีกทั้งยังเต็มไปด้วยความลึกลับเหมือนทูตที่เทพส่งมา
นี่คือเหตุผลที่พวกเขาสร้างนกฮูกทองสัมฤทธิ์ที่มีความละเอียดและประณีต
ซูอันถามคำถามสำคัญทันที “เราจะเริ่มการทดสอบได้อย่างไร?”
หยาจางชี้ไปที่รูปหล่อทองสัมฤทธิ์ “เจ้าสามารถเข้าไปได้โดยแต่ละคนจับปีกข้างหนึ่งของรูปหล่อนกฮูก ข้าขออวยพรให้พวกเจ้าสองคนโชคดี”
ซูอันไม่ได้เดินเข้าไปใกล้รูปหล่อทองสัมฤทธิ์ทันที เขาหันไปหาเพ่ยเหมียนหมานและพูดว่า “เหมียนหมานใหญ่ เราไม่รู้ว่าอะไรรอเราอยู่ในการทดสอบนี้ เราน่าจะใช้เวลาพักผ่อนกันก่อน”
นี่คือสิ่งที่นางคิดเช่นกัน ทั้งสองคนกินยาฟื้นฟูแล้วนั่งลงเพื่อพักผ่อน พวกเขาต่อสู้มาอย่างต่อเนื่องและหมดแรง เป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องการฟื้นเรี่ยวแรงก่อนที่จะทำการทดสอบที่อันตรายนี้
หยาจางส่ายหัว มุมปากของเขาโค้งขึ้นราวกับว่ากำลังยิ้มเยาะเย้ย
ไม่มีแม้แต่คู่เดียวที่ประสบความสำเร็จหลังจากหลายปีที่ผ่านมา และสองคนนี้มีระดับการบ่มเพาะที่อ่อนแอที่สุด การเตรียมตัวหรือพักผ่อนเพียงเล็กน้อยจะสร้างความแตกต่างอะไรได้?