เซียนคีย์บอร์ด [陆地键仙] - บทที่ 854 รอหนึ่งคืน
บทที่ 854 รอหนึ่งคืน
บทที่ 854 รอหนึ่งคืน
“นี่คืออะไร?” ซูอันถามด้วยความสงสัย
แก้มของฉู่ชูเหยียนเป็นสีดอกกุหลาบ เสียงของนางนุ่มนวลอย่างไม่น่าเชื่อ “มันช่วยป้องกันไม่ให้เสียงใด ๆ เล็ดลอดออกไป…”
ซูอันไม่เคยคิดเลยว่าภรรยาที่แสนเย็นชาของเขาจะสามารถแสดงการกระทำเชิงรุกได้ขนาดนี้
ชายหนุ่มไม่สามารถอดกลั้นตัวเองอีกต่อไป!
“อย่า…อย่าถอดเสื้อผ้าของข้า หากมีคนเข้ามา ข้าจะใส่ไม่ทัน…” ฉู่ชูเหยียนพูดพลางกัดริมฝีปาก นางไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งตัวเองจะพูดคำแบบนี้ออกมา
แต่เมื่อนางคิดว่าที่ผ่านมาซูอันทำเพื่อนางมากแค่ไหน นางก็ค่อย ๆ สงบลง
พวกเขาเพิ่งแต่งงานใหม่ แต่พวกเขากลับถูกบังคับให้แยกจากกันเนื่องจากสถานการณ์ที่วิกฤตของตระกูล และได้กลับมาอยู่ร่วมกันอีกครั้งหลังจากที่ห่างกันไปนาน เมื่อเกิดประกายไฟลุกขึ้น ไม่มีทางที่พวกเขาจะยับยั้งตัวเองได้
ฉู่ชูเหยียนกัดฟันแน่น แม้ว่าจะเตรียมการสร้างม่านพลังกั้นเสียงเอาไว้แล้ว แต่นางก็ยังไม่กล้าที่จะส่งเสียงครวญครางออกมา
อย่างไรก็ตาม ยิ่งพวกเขาสอดประสานกันนานขึ้น นางก็ยิ่งใกล้ที่จะทนไม่ไหวแล้วเช่นกัน…
…
ในขณะเดียวกัน ทหารราชองครักษ์ด้านนอกเหลือบมองที่รถม้าเป็นครั้งคราว
“ทำไมดูเหมือนรถม้ามันสั่น ๆ? เจ้าคิดว่า…”
“หุบปาก! คุณหนูใหญ่ตระกูลฉู่เป็นเทพธิดาในหมู่เทพธิดา ไม่มีทางเป็นอย่างที่เจ้าคิด!”
“เจ้าพูดถูก…แต่…ซูอันเป็นสามีของนาง…บางทีพวกเขาอาจจะ…”
“เจ้าไม่จำเป็นต้องกังวล คนแซ่ซูนั่นจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่กี่วัน เมื่อคุณหนูใหญ่ตระกูลฉู่ไร้เจ้าของ พวกเราทุกคนต้องแข่งขันกันอย่างยุติธรรม”
“สำหรับข้า ข้าไม่ได้หวังอะไรมาก แค่ได้พูดจากับนางสักสองสามคำก็พอใจแล้ว”
“เจ้ามันพวกเลียแข้งเลียขา ข้าอายจริง ๆ ที่อยู่ร่วมกลุ่มเดียวกับเจ้า”
…
หลังจากกิจกรรมที่ยาวนานราวกับชั่วนิรันดร์ เทพธิดาในฝันของเหล่าทหารได้นอนอยู่ในอ้อมกอดของซูอันอย่างหมดเรี่ยวแรง นางยิ้มอย่างอิ่มเอมไปด้วยความสุข ผิวขาวราวหิมะแดงก่ำราวกับดอกกุหลาบ
“อาซู ข้าต้องไปแล้ว เราจะได้พบกันอีกครั้งที่เมืองหลวง” นิ้วของฉู่ชูเหยียนค่อย ๆ ลูบไล้ใบหน้าคนรักของนาง ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความไม่เต็มใจ
ซูอันรู้ว่านางจะไปขอความช่วยเหลือจากตาของนาง แม้เขาจะรู้ว่ามีโอกาสประสบความสำเร็จไม่มาก แต่ก็ไม่ต้องการให้อารมณ์ของนางขุ่นมัว
เขาก้มศีรษะลงและจูบริมฝีปากของนาง “ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามโชคชะตา อย่าวิตกกังวลมากจนเกินไป เจ้าต้องเชื่อใจข้า ข้ามีทางออกของตัวเอง”
ฉู่ชูเหยียนส่งเสียง ‘อืม’ รับคำ จากนั้นก็ซุกไซ้เขาเหมือนลูกแมว นางอยากจะอยู่แบบนี้ตลอดไป
และตลอดไป…
น่าเสียดายที่พวกเขายังต้องแยกจากกันในที่สุด หลังจากพักฟื้นกำลังไม่นาน นางก็จากไป
…
หลังจากที่นางจากไป ซูอันรู้สึกเบื่อหน่ายตลอดการเดินทางที่เหลือ โชคดีที่พวกเขาไปถึงเมืองหลวงภายในสามวัน
ซูอันตัวสั่นเมื่อเห็นประตูเมืองอันงดงาม เขาสัมผัสได้ถึงความกดดันแปลก ๆ รอบตัวหลังจากเข้ามาในเมือง
จูเซี่ยฉือซินรู้สึกสับสนว่า “เมืองหลวงมีการป้องกันแน่นหนา หากเจ้าเล่นลูกไม้ จะหาว่าข้าไม่เตือนไม่ได้นะ”
ซูอันยิ้ม “ข้าเหลือเวลาอีกไม่กี่วันที่จะอยู่ในเมืองหลวงแล้ว ข้อจำกัดเหล่านี้ไม่สำคัญกับข้าหรอก”
จูเซี่ยฉือซินตกตะลึง “เจ้าปลงตกแล้วล่ะสิ ตอนนี้มืดแล้ว เราจะค้างคืนในเมืองกัน พรุ่งนี้เช้าเราค่อยเข้าไปในวัง”
ซูอันขมวดคิ้ว นี่มันเรื่องตลกอะไรกัน? ข้าเป็นบุคคลผู้ครอบครองวิชาแห่งชีวิตนิรันดร์ที่จักรพรรดิต้องการ!
มืดแล้ว? แล้วอย่างไรล่ะ? แม้ว่าจักรพรรดิจะไถนากับนางสนม เขาก็ควรจะเรียกตัวข้าไปเข้าเฝ้าทันทีเมื่อรู้ว่าข้ามาถึงแล้วไม่ใช่หรืออย่างไร?
ทำไมถึงให้ข้ารออยู่ในเมืองหนึ่งคืน? ไม่มีเหตุผลเลยที่จะเพิ่มความเสี่ยงแบบนี้!
มีบางอย่างไม่ถูกต้อง!
ซูอันถูกนำตัวไปยังที่พักอันเงียบสงบอยู่ไม่ไกลจากพระราชวังหลวง สามารถมองเห็นกำแพงสีแดงสดและกระเบื้องหลังคาเคลือบสีเหลืองสดใสของพระราชวังจากที่ที่เขาอยู่ได้
เหตุผลที่จูเซี่ยฉือซินเลือกสถานที่นี้คงเป็นเพราะสามารถเข้าถึงพระราชวังได้อย่างรวดเร็วในเช้าวันรุ่งขึ้น
การรักษาความปลอดภัยค่อนข้างแน่นหนา แม้ว่าอ๋องเหลียงและหลิวเหย่าจะกลับไปทำหน้าที่ของตนเองแล้วก็ตาม
จูเซี่ยฉือซินก็จากไปเช่นกัน คงจะไปรายงานตัวต่อองค์จักรพรรดิ
ซูอันรู้สึกสับสนเล็กน้อยกับทหารที่เหลือด้านนอก จูเซี่ยฉือซินมั่นใจขนาดนี้เลยเหรอ?
ผู้บ่มเพาะที่แข็งแกร่งที่สุดสามอันดับแรกจากไปทั้งหมดเลย พวกเขาไม่กลัวว่าจะมีใครฉวยโอกาสนี้เคลื่อนไหวเลยเหรอ?
เขายังสงสัยว่าจูเซี่ยฉือซินถูกฝ่ายไหนซื้อตัวไปหรือไม่? อย่างไรก็ตามทั้งสมาชิกของตระกูลซ่างและฉู่ชูเหยียน ดูเหมือนมั่นใจอย่างเต็มที่ว่าจูเซี่ยฉือซินเป็นคนสนิทที่น่าเชื่อถือที่สุดขององค์จักรพรรดิ
หากแม้คนสนิทเช่นนี้สามารถซื้อตัวได้ มันจะพิสูจน์ได้ว่าจักรพรรดิไร้ความสามารถเท่านั้น ไม่มีทางที่คนเช่นนั้นจะก้าวขึ้นมาเป็นผู้บ่มเพาะที่มีอำนาจมากที่สุดในโลกได้!
ซูอันไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าทำไมถึงปล่อยให้เขารอทั้งคืนก่อนจะเรียกเขาไปเข้าเฝ้าในวัง ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนคนป่วยรอการฉีดยา การถูกเข็มจิ้มไม่ใช่เรื่องแย่ที่สุด สิ่งที่ทรมานที่สุดคือการรอ
เขายังสงสัยว่าทำไมฉู่ชูเหยียนถึงไม่ปรากฏตัว นางสัญญาว่าจะพบกันอีกครั้งที่เมืองหลวง พวกเขาไม่ควรจะอยู่ด้วยกันอีกครั้งเหรอ?
…
ฉู่ชูเหยียนอยู่ในคฤหาสน์ตระกูลฉินด้วยสีหน้าตื่นตระหนก “ท่านตาที่เคารพ ชีวิตนี้ตั้งแต่เกิดมาข้าไม่เคยขออะไรจากท่านเลย แต่ถ้าท่านปฏิเสธข้าในครั้งนี้ อาซูจะต้องตายอย่างแน่นอน!”
ตรงข้ามของนางเป็นชายชราที่ดูเคร่งขรึม แม้ว่าผมของเขาจะเป็นริ้วสีเงิน แต่เขากลับดูไม่อ่อนแอเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามกลับให้กลิ่นอายของอำนาจอันสูงส่ง
แม้ว่าเขาจะอายุมากแล้ว แต่รูปลักษณ์ในยามนี้กลับง่ายที่จะจินตนาการว่าเขาเคยหล่อเหลาสง่างามแค่ไหนในวัยหนุ่ม
นี่ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากตาของฉู่ชูเหยียนซึ่งเป็นผู้ที่มีอำนาจมากที่สุดในทัพด่านหน้า ผู้บัญชาการทัพด่านหน้า…ฉินเจิ้ง
ขณะนี้เขาจดจ่ออยู่กับกระดาษที่อยู่บนโต๊ะตรงหน้า พู่กันของเขาปาดป่ายไปมาในขณะที่ตัวอักษรค่อย ๆ ถูกวาดขึ้น เขาดูเหมือนหูหนวกอย่างสมบูรณ์ต่อคำวิงวอนของฉู่ชูเหยียน
ฉู่ชูเหยียนกัดริมฝีปากด้วยใจที่ร้อนรน แม้ท่านตาของนางเป็นผู้นำทางทหาร แต่เขากลับชอบเมื่อคนอื่นยกย่องเขาในด้านวิชาการมากกว่า
การคัดตัวอักษรของเขาดูธรรมดามาก แต่เขากลับทำท่าราวกับเป็นบัณฑิต
แน่นอนว่าฉู่ชูเหยียนไม่เคยพูดความคิดดังกล่าวออกมาดัง ๆ ท่านตาของนางค่อนข้างใจกว้างเมื่อพูดถึงเรื่องอื่น แต่เขาจะอารมณ์เสียทันทีถ้ามีใครพูดถึงเรื่องงี่เง่านี้
มาตรฐานการคัดตัวอักษรของเขานั้นต่ำกว่าผู้อื่นมาก แต่การเคลื่อนไหวของพู่กันล้วนเต็มไปด้วยความสง่างาม
นี่เป็นสิ่งแรกที่ทำให้ผู้คนสังเกตเห็นและยกย่องเขา เมื่อเวลาผ่านไปคำชมของพวกเขากลับทำให้ชายผู้นี้คิดว่าตัวเองเป็นปรมาจารย์ด้านการคัดตัวอักษรที่กลับชาติมาเกิด
ในที่สุดฉินเจิ้งก็สร้างงานชิ้นนี้เสร็จ และนำตราประทับส่วนตัวของเขาออกมาเพื่อทำเครื่องหมาย มีการแสดงออกอย่างพึงพอใจบนใบหน้าของเขา “ชูเหยียน มาที่นี่และบอกข้าว่าเจ้าคิดอย่างไรกับงานชิ้นนี้?”
เปลือกตาของฉู่ชูเหยียนกระตุกเมื่อนางเห็นคำว่า ‘นิ่งสงบสยบเคลื่อนไหว’
เห็นได้ชัดว่านี่เป็นการเตือนให้นางระวังความจองหอง ความหุนหันพลันแล่น และทำจิตใจให้สงบลงก่อน
แต่ซูอันเดินทางถึงเมืองหลวงแล้ว! นางจะสงบสติอารมณ์ได้อย่างไร?