เซียนคีย์บอร์ด [陆地键仙] - บทที่ 860 หลบหนี
บทที่ 860 หลบหนี
บทที่ 860 หลบหนี
ซูอันรีบวิ่งไปประคองฉู่โหยวเจา “เจ้าทำเขาทำไม?”
นักฆ่าหญิงดึงมือของนางกลับพร้อมกับพ่นลมหายใจ “ทำไม? เจ้าทนเห็นเขาเจ็บนิดหน่อยไม่ได้หรืออย่างไร?”
“ข้าเนี่ยนะห่วงไอ้เด็กนี่?” ซูอันโยนร่างฉู่โหยวเจาลงบนเก้าอี้ยาว
นักฆ่าสาวนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ
“เจ้าควรแผ่วเบากับเขาสักหน่อย ไม่งั้นเจ้าโดนฮูหยินของเจ้าเล่นงานแน่ที่ทำให้น้องชายของนางบอบช้ำ”
“ไอ้เจ้าเด็กนี่ต้องเจอความลำบากสักหน่อย ว่าแต่เจ้าเรียกพี่ใหญ่ของเด็กนี่ว่าฮูหยินของข้า? เจ้ากำลังหึงข้าใช่ไหม?”
เขาปลดผ้าคลุมหน้าของนางออก เผยให้เห็นใบหน้าที่งดงามและเปี่ยมเสน่ห์ นี่ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเสวี่ยเอ๋อร์หรือชื่อจริงคือ เฉียวเสวี่ยอิงที่ได้แยกจากกันมานานแล้ว
“เจ้ารู้ว่าเป็นข้าตั้งแต่เมื่อไร?” เฉียวเสวี่ยอิงมองเขาด้วยรอยยิ้มกว้าง ใบหน้าของนางเปล่งประกายด้วยความยินดี
“เมื่อข้าเห็นดวงตาของเจ้า” จริง ๆ แล้วในตอนแรกเขาไม่แน่ใจนักจนเมื่อได้ยินเสียงนางจึงมั่นใจยิ่งขึ้น
แน่นอน เขาไม่ได้โง่พอที่จะพูดออกมาเมื่อครู่นี้ต่อหน้าคนอื่น
เฉียวเสวี่ยอิงรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง “ข้าคิดว่าเจ้าลืมข้าไปแล้ว”
ซูอันดึงนางเข้ามาในอ้อมแขน “ข้าจะกล้าลืมสาวงามขนาดนี้ได้อย่างไร?”
ใบหน้าของเฉียวเสวี่ยอิงแดงก่ำด้วยความเขินอาย “เจ้านี่พูดเก่งขึ้นเรื่อย ๆ”
ซูอันหัวเราะ “ข้าเป็นแบบนี้ตั้งแต่ตอนที่เจ้าเจอข้าครั้งแรกไม่ใช่เหรอ?”
“ตอนนั้นข้าเกลียดเจ้ามากจนอยากจะตัดลิ้นของเจ้าทิ้งซะ” ความรู้สึกอบอุ่นผุดขึ้นภายในตัวนางขณะที่นางนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
เมื่อเห็นริมฝีปากสีแดงระเรื่อของหญิงสาว ความทรงจำในมิติลับหยกจรัสก็ท่วมท้นจิตใจของซูอันและเขาก็จูบนาง
“อืม…” ร่างกายของนางแข็งทื่อตามสัญชาตญาณ จากนั้นนางกอดตอบคนรักอย่างอ่อนโยน
หลังจากช่วงเวลาอันยาวนานเฉียวเสวี่ยอิงก็ผลักเขาออกไป “สถานการณ์ตอนนี้เร่งด่วนมาก เรามาคุยเรื่องสำคัญกันก่อน”
เสียงการต่อสู้เล็ดลอดเข้ามาจากภายนอก ซูอันรู้ว่าทหารรักษาการณ์อาจรีบเข้ามาเมื่อใดก็ได้ ดังนั้นเขาจึงไม่กล้ารอช้าอีก “เจ้าไปอยู่ในองค์กรนักฆ่าได้อย่างไร?”
“หลังจากที่เราแยกจากกัน ข้าก็กลับมาที่เมืองหลวงเพื่อช่วยพวกพ้องของข้า สมาชิกในตระกูลหลายคนรับใช้ตระกูลซือ ข้าต้องได้รับการสนับสนุนจากขั้วอำนาจอื่น ดังนั้นข้าจึงเข้าร่วมกลุ่มเงาสังหาร” เฉียวเสวี่ยอิงอธิบาย
“กลุ่มเงาสังหาร?” ซูอันเอียงคอ
“กลุ่มเงาสังหารเป็นกลุ่มนักฆ่าที่ลึกลับและทรงพลังที่สุด” เฉียวเสวี่ยอิงตอบ “ตราบใดที่ค่าตอบแทนสูงพอ พวกเขาก็พร้อมที่จะรับคำสั่ง ข้ารีบมาเมื่อรู้ว่าเป้าหมายของกลุ่มเงาสังหารคือเจ้า แต่ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะแข็งแกร่งขึ้นขนาดนี้ถึงกับจัดการกับนักฆ่าระดับหกสี่คนด้วยตัวคนเดียว”
ซูอันยิ้ม “มีหนึ่งคนที่เจ้าฆ่าไปต่างหาก”
เฉียวเสวี่ยอิงกลอกตา “เจ้ามีจุดอ่อนในเรื่องผู้หญิงเสมอ ใครจะคิดว่าตอนนี้ผู้ชายก็เป็นจุดอ่อนของเจ้าไปด้วยแล้ว”
ซูอันหัวเราะกระอักกระอ่วน “ข้าจะทำอย่างไรได้? ฉู่ชูเหยียนเป็นพี่สาวของไอ้เด็กนี่”
เมื่อพิจารณาจากน้ำเสียงของนาง ดูเหมือนว่านางจะไม่รู้ว่าฉู่โหยวเจาเป็นผู้หญิง นี่อาจเป็นความลับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของตระกูลฉู่ หากถูกเปิดเผยอาจก่อให้เกิดหายนะได้ และเขาไม่อยากเป็นต้นเหตุของเรื่องนี้
“ว่าแต่ ใครคือหัวหน้าของกลุ่มเงาสังหารนี้? เจ้ารู้ไหมว่าใครต้องการชีวิตข้า? หรืออาจเป็นกลุ่มเงาสังหารเองที่ต้องการฆ่าข้า?”
ซูอันเอ่ยถาม เขามีความพยายามหลายครั้งในการเอาชีวิตเขาตั้งแต่เริ่มแรกที่เขาออกเดินทางมายังเมืองหลวง เขาต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับศัตรูที่อยู่เบื้องหลัง
เฉียวเสวี่ยอิงส่ายหัว “ผู้นำกลุ่มเงาสังหารเป็นคนที่ลึกลับที่สุดในโลก ข้าคิดว่าไม่มีใครรู้ตัวตนของเขานอกจากตัวเขาเอง ส่วนเรื่องภารกิจลอบสังหารเจ้า ข้าคิดว่ามันน่าจะเกิดจากการจ้างวานโดยผู้อื่น ทว่ากลุ่มเงาสังหารรับรองความลับของลูกค้าเสมอ ดังนั้นไม่มีทางที่จะมีใครรู้ว่าผู้ว่าจ้างคนนั้นเป็นใคร”
ซูอันเอื้อมมือไปปัดผมสองสามเส้นออกจากใบหน้าของนาง “ข้าแน่ใจว่า ภารกิจในองค์กรนักฆ่าเช่นนี้มันเป็นอันตรายต่อเจ้า”
รอยยิ้มของเฉียวเสวี่ยอิงสว่างขึ้นเมื่อนางรู้สึกถึงความเป็นห่วงของเขา “ใจเย็น ๆ ข้ามีทักษะมากมาย สิ่งต่าง ๆ ไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น นอกจากนี้ข้าต้องการความแข็งแกร่งของกลุ่มเงาสังหารเพื่อปกป้องเผ่าของข้า”
“อาซู ข้าได้ตระเตรียมการให้คนของข้าออกจากเมืองในวันพรุ่งนี้ตอนเช้าตรู่ เจ้าไปกับข้าเถอะ ข้ามั่นใจประมาณแปดในสิบส่วนว่าเราจะสามารถออกจากเมืองหลวงได้สำเร็จ”
เฉียวเสวี่ยอิงคว้าแขนของเขา
ซูอันตกตะลึง “เจ้ามาเพื่อช่วยข้าเหรอ?”
เฉียวเสวี่ยอิงพ่นลมหายใจ “เจ้าเป็นผู้ชายของข้า ถ้าไม่ช่วยเจ้า ข้าจะไปช่วยใครที่ไหนอีก?”
ซูอันรู้สึกซาบซึ้งใจและดึงนางเข้ามาในอ้อมกอดทันที
“โธ่อาซู! เราค่อยกอดกันทีหลังได้ไหม? จูเซี่ยฉือซินกำลังเดินทางมาแล้ว และเมื่อเขามาถึง ทุกอย่างจะสายเกินไป!” ความอบอุ่นที่คุ้นเคยยามที่อยู่ด้วยกันในมิติลับหยกจรัสหวนกลับมา เฉียวเสวี่ยอิงรู้สึกว่าขาของนางเริ่มอ่อนแรง
ซูอันกำลังจะบอกนางว่าเขาวางแผนที่จะเผชิญหน้ากับจักรพรรดิและจัดการปัญหาด้วยตัวเขาเอง
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้นจนถึงตอนนี้มันแปลกเกินไป ประการแรกจักรพรรดิไม่ได้เรียกเขาเข้าไปในวัง แต่ให้เขารอข้างนอกหนึ่งคืน จากนั้นกลุ่มนักฆ่าก็บุกเข้ามาหาเขาอย่างง่ายดาย หากระดับการบ่มเพาะของเขายังคงอยู่ที่ระดับห้า เขาคงจะตายไปแล้วในตอนนี้
เขาไม่รู้ว่าใครเป็นคนจัดฉากเรื่องทั้งหมดนี้ หากจูเซี่ยฉือซินเป็นหนึ่งในผู้กระทำความผิด และต่อมาพบว่ามือสังหารไม่สามารถฆ่าเขาได้ ผู้บัญชาการทูตยุทธ์เสื้อแพรอาจจะส่งนักฆ่าที่เก่งกว่านี้หรือไม่แน่อาจลงมือด้วยตัวเอง มันอาจจะปลอดภัยกว่าสำหรับที่เขาจะหนีไปกบดานก่อน
เขาพยักหน้า “งั้นไปกันเถอะ”
เฉียวเสวี่ยอิงยิ้มแย้ม นางจับมือเขาแล้ววิ่งไปที่หน้าต่าง
“เดี๋ยว…” ซูอันรีบอุ้มฉู่โหยวเจาขึ้นมา
“เจ้าจะพาเขาไปด้วยทำไม?” เฉียวเสวี่ยอิงไม่พอใจนักที่มีบุคคลที่สามร่วมทางไปด้วย “ทหารจะมาถึงในไม่ช้า จะไม่มีใครทำร้ายเขาได้หากรู้ว่าเขาเป็นใคร”
ซูอันส่ายหัว “ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้มันแปลก ๆ เรื่องทั้งหมดจะแย่ลงถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเขา”
ถ้าเป็นคนอื่น เฉียวเสวี่ยอิงคงไม่สนใจว่าจะตายหรือมีชีวิตอยู่ แต่เนื่องจากอีกฝ่ายเป็นทายาทของตระกูลฉู่นางจึงไม่คัดค้านอีกต่อไป
ซูอันออกเดินพร้อมกับอุ้มร่างของฉู่โหยวเจา ทว่าในขณะที่ก้าวเดิน บางส่วนที่นุ่มนิ่มของฉู่โหยวเจาเสียดสีกับตัวเขาจนทำให้หัวใจของเขาเต้นผิดจังหวะ จากนั้นเขาจึงเปลี่ยนวิธีอุ้มนางใหม่อย่างรวดเร็ว
ผู้หญิงคนนี้ใช้ทักษะหรือสมบัติวิเศษอะไร? การปลอมตัวของนางดูสมบูรณ์แบบจากภายนอก แต่มันจะแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงเมื่อสัมผัสเนื้อตัวนาง
ถัดมาซูอันมองดูศพบนพื้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด จากนั้นจึงโบกมือใช้ไฟเผาไหม้พวกมัน เขาไม่ต้องการให้คนอื่นค้นพบว่าเกิดอะไรขึ้นโดยการตรวจสอบบาดแผลบนศพเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นของกุ้ยเถียนซึ่งถูกเฉียวเสวี่ยอิงฆ่าหรืออีกสามคนที่เหลือ เปลวไฟลุกลามอย่างรวดเร็วจากนั้นศพทั้งสี่ก็ไม่หลงเหลือแม้แต่เถ้าถ่าน
เฉียวเสวี่ยอิงรู้สึกประหลาดใจ “เจ้าปลุกธาตุไฟแล้วเหรอ? เปลวไฟของเจ้าดูไม่เหมือนผู้บ่มเพาะธาตุไฟคนอื่นเลย มันดูค่อนข้างพิเศษกว่า”
“แน่นอนว่ามันพิเศษ ข้าคิดว่ามันเป็นเปลวไฟมหัศจรรย์ของจิ้งจอกเก้าหาง” เปลวไฟที่เขาใช้นั้นยืมมาจากต๋าจี่ ดังนั้นจึงไม่มีทางที่จะเป็นเพียงแค่ไฟธรรมดา
เขาเคยอิจฉาเปลวไฟสีดำของเพ่ยเหมียนหมานมาโดยตลอด แต่ตอนนี้เปลวไฟของเขาเองก็ดูไม่เลวเลย
ทั้งสองพูดคุยกันเบา ๆ ขณะที่พากันหลบหนีออกไปภายใต้ความมืดมิดยามค่ำคืน