เซียนคีย์บอร์ด [陆地键仙] - บทที่ 90 ข้าแค่ถามอย่างเดียวไม่ได้งั้นหรือ(ปลาย)
บทที่ 90 ข้าแค่ถามอย่างเดียวไม่ได้งั้นหรือ(ปลาย)
จากนั้น ซูอัน หันซ้ายหันขวาจนเมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่ใกล้ ๆ เขาจึงถาม เว่ยสั่วเสียงเบา “ว่าแต่ หินพลังชี่ มันใช้ยังไง?”
เว่ยสั่ว รู้สึกงุนงงจนต้องอ้าปากค้างที่ได้ยินคำถามนี้ เขาไม่นึกเลยว่า
ผู้ชายคนนี้จะไม่รู้เรื่องพื้นฐานการบ่มเพาะขนาดนี้ อย่างไรก็ตาม เว่ยสั่ว ก็อธิบายอย่างอดทน “วางหินพลังชี่บนฝ่ามือของเจ้า จากนั้นเจ้าก็โคจรเคล็ด
วิชาบ่มเพาะของเจ้าตามลำดับแล้วพลังชี่ที่อยู่ในหินจะถูกดูดซับเข้ามา
ยังร่างของเจ้าเอง”
ซูอัน รู้สึกมึนงงอยู่ในใจเพราะในเคล็ดวิชาวัฏจักรหงส์อมตะ
มันไม่มีบทใด ๆ ที่ระบุวิธีการดูดซับพลังชี่จากภายนอกมาบ่มเพาะร่างกายเลย แต่ถึงแม้จะเป็นแบบนั้นเขาก็ไม่ยอมแพ้ ซูอัน ลองวางหินพลังชี่หนึ่งก้อนไว้บนฝ่ามือและพยายามตั้งสมาธิให้ร่างกายดูดซับมันดู แต่น่าเสียดายหลังจากลองอยู่สักพักมันก็ไร้ผล
ท้ายที่สุดเขาก็พอจะเข้าใจได้ว่าเคล็ดวิชาวัฏจักรหงส์อมตะ เป็นเส้นทางการบ่มเพาะที่แตกต่างออกไป แทนที่จะดูดซับพลังชี่จากภายนอกแบบคนทั่วไปเพื่อบ่มเพาะร่างกาย วิชานี้กลับอาศัยการถูกทุบตีเพื่อบ่มเพาะตัวเองให้แข็งแกร่งขึ้น
สิ่งนี้ทำให้ ซูอันรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย หากเป็นก่อนหน้านี้ เขาคงอยาก
จะเปลี่ยนเคล็ดการบ่มเพาะซาดิสม์ไปเป็นอย่างอื่นจนใจแทบจะขาด
แต่แล้วหลังจากผ่านประสบการณ์การต่อสู้แบบเอาชีวิตรอดกับ
เพ่ยเหมียนหมาน เมื่อคืนวานมันกลับทำให้เขาได้เห็นคุณค่าอันแท้จริงของเคล็ดวิชาวัฏจักรหงส์อมตะนี้
ประการหนึ่ง เขาพบว่าตัวเองแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อการต่อสู้
ดำเนินไป จนท้ายที่สุดมันทำให้เขาสามารถต่อกรกับนางได้โดยใช้พละกำลังจากร่างกายของตัวเอง ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้เขาได้รู้แล้วว่าทุกระดับการบ่มเพาะที่เขาจะเลื่อนขึ้นไปนับจากนี้มันจะเป็นการปลุกพลังแฝงของบรรดาลูกหงส์ทั้งหลาย ดังนั้นต่อให้เขาจะโง่แค่ไหน มันก็เห็นได้ชัดว่าเคล็ดวิชานี้
คือสุดยอดวิชา มันจะเป็นการเสียประโยชน์อย่างแท้จริงหากเขาละทิ้งวิชานี้ไป
อย่างไรก็ตาม ในเมื่อทุกอย่างลงเอยแบบนี้มันก็แปลว่าหินพลังชี่นั้น
ไร้ประโยชน์สำหรับเขาโดยสิ้นเชิง ซูอัน ใช้เวลาไตร่ตรองเรื่องนี้อยู่สักพักก่อนที่จะสะกิด เว่ยสั่ว ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ “เฮ้ ไอ้เจ้าเด็กน้อย เจ้าอยากซื้อหินพลังชี่ของข้าไหม”
ดวงตาของ เว่ยสั่ว เป็นประกาย “หะ เอา ๆ ๆ เจ้ามีกี่ก้อน?”
“ข้ามีอยู่กับตัวตอนนี้ 7 ก้อน” ซูอัน ตอบกลับ ถ้าเขาสามารถขายพวกมันได้ในราคาก้อนละ 10 ตำลึงทองและเมื่อรวมกับเงินที่เขามีอยู่กับตัว
เขาจะสามารถชำระหนี้ 1,000 ตำลึงเงินของเขาได้พอดี!
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่อยากเอาเงินของตัวเองชำระหนี้ให้กับไอ้คนงี่เง่าเจ้าของร่างเดิมขนาดไหน แต่จากคำบอกเล่าของหญิงสาวปริศนาในศาลา
มันดูเหมือนกับคำสาบานในโลกนี้นั้นเป็นเรื่องที่จริงจังมาก และมันจะมีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นแน่นอนถ้าเขาทำผิดสัญญาหรือคำสาบาน ดังนั้นเขาจึงคิดว่าการทำทุกอย่างให้ถูกต้องปลอดภัยย่อมดีกว่ามาเสียใจภายหลังเสมอ
เมื่อนึกถึงหญิงลึกลับในศาลา เขาเริ่มสงสัยว่าจะมีโอกาสได้พบนาง
อีกหรือไม่ เขาควรหาเวลาไปแวะที่ศาลานั่นอีกรอบดีไหม?
“เจ้าจะขายพวกมันกี่ก้อน?” เว่ยสั่วถาม
ซูอันโอบแขนของเขาไว้รอบไหล่ของ เว่ยสั่ว พร้อมกับพูดว่า “เจ้าพูดก่อนหน้านี้ว่าแทบจะไม่มีใครขายหินพลังชี่ ซึ่งส่งผลทำให้มันเป็นทรัพยากรอันล้ำค่า แต่เนื่องจากเราเป็นพี่น้องกัน ข้าจะไม่เอาเปรียบเจ้า ข้าจะขายให้เจ้าก้อนละ เหรียญละ 11 ตำลึงทองแต่ถ้าเจ้าเหมาหมดข้าจะให้ส่วนลดพิเศษ
กับเจ้าปัดเศษลงเหลือเพียง 75 ตำลึงทองเท่านั้น!”
เว่ยสั่ว กะพริบตาปริบ ๆ “ถึงแม้ว่าข้าจะไม่ใช่คนที่ฉลาดมากเท่าไหร่ แต่ไอ้คำที่บอกว่าปัดเศษลงมันควรจะเป็นตัวเลข 70 ไม่ใช่เหรอ?”
ซูอัน เริ่มหงุดหงิด “ไม่ได้! ขืนข้าลดให้ขนาดนั้นข้าก็ได้แค่ราคา
ก้อนละ 10 ตำลึงทองน่ะสิ! 75 ตำลึงทองเป็นราคาต่ำที่สุดเท่าที่ข้าจะให้ได้
เพื่อมิตรภาพของเรา!” ซูอัน โยนถุงหินพลังชี่ให้กับเว่ยสั่ว “เอาหินพลังชี่ไป แล้วเอาเงินมาให้ข้า”
เว่ยสั่ว ตอบกลับอย่างขมขื่นว่า “อันที่จริงข้าไม่มีเงินมากขนาดนั้น…”
ซูอัน ขมวดคิ้วแน่นทันทีเมื่อได้ยินเช่นนี้ “แล้วเจ้ามีเท่าไหร่?”
เว่ยสั่ว หยิบถุงเงินของเขาออกมาแหวกดูก่อนที่จะมองไปที่ ซูอัน ด้วยแววตาไร้เดียงสา “ตอนนี้ข้ามีแค่ 54 ตำลึงเงิน…”
ซูอัน แทบจะประเคนฝ่ามือใส่หัว เว่ยสั่ว “ถ้าเจ้าไม่มีปัญญาซื้อแล้วเจ้าจะถามราคาข้าหาบิดาของเจ้าทำไม!?”
“ก็ข้าแค่ถามอย่างเดียวไม่ได้งั้นเหรอ…” เว่ยสั่ว ตอบกลับด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วน
สีหน้าของ ซูอัน เปลี่ยนเป็นมืดหม่น เขาไม่อยากพูดอีกต่อไป
เขากดหัวของ เว่ยสั่ว ลงไปใต้โต๊ะและเริ่มกระหน่ำฝ่ามือไปที่ศีรษะ
ของฝั่งตรงข้ามชุดใหญ่
เพี้ยะ! เพี้ยะ! เพี้ยะ! เพี้ยะ!
“เดี๋ยวเสะ เพี้ยะ! ไหนว่าพวกเรา เพี้ยะ! เป็นพี่น้องกัน เพี้ยะ! ไม่ใช่เหรอไง! เพี้ยะ!”
“ข้าพูดโกหกโว๊ย!”
…
คาบเรียนต่อมาเป็นบทเรียนกลยุทธ์ทางทหารที่บรรยาย
โดยอาจารย์จากฝ่ายกิจการทหาร
“การชนะโดยไม่ต้องต่อสู้ นั่นคือวิธีชนะขั้นสูงสุดของการรบ ศัตรูของศัตรูคือมิตร การเฝ้ามองศัตรูห้ำหั่นกันเองคือหนทางสู่ชัยชนะโดยไม่สูญเสียทหาร วิธีแหกประตูเมืองโดยไม่มีเครื่องกระทุ้ง การป้องกันกำแพงเมืองโดยไม่ขุดคูน้ำ…”
เป็นอีกครั้งที่ ซูอันพบว่าตัวเองหดหู่จนแทบจะเป็นบ้า เขารู้สึกเหมือนมีแมลงวันบินอยู่ข้างหูตลอดเวลา ซึ่งทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดจนแทบจะระเบิด
เขาไม่สามารถยอมรับตัวเองได้ว่าเขาต้องมานั่งเรียนอะไรแบบนี้อีกรอบหลังจากมาอยู่โลกใหม่แบบนี้
ชั่วขณะหนึ่ง จู่ ๆ เขาก็เกิดความคิดที่จะลุกขึ้นไปเด็ดหัวอาจารย์ผู้ที่กำลังสอนอยู่ให้มันสิ้นเรื่องสิ้นราวไป แต่แล้วเมื่อเขานึกได้ว่าอาจารย์ที่สอนอยู่เป็นผู้บ่มเพาะระดับ 3 ขั้นปลาย เขาก็ต้องเลิกล้มความคิดไปและนี่ยังไม่รวมไปถึงว่าอาจารย์ผู้นี้เป็นขุนนางของราชสำนักอีกต่างหาก
จากนั้นเมื่อคาบเรียนสิ้นสุด ซูอัน ก็ตัดสินใจแล้วว่าเขาทนรับไม่ไหวอีกแล้ว เขาต้องไปจากที่นี่ทันที เขาจะไม่อยู่เรียนคาบต่อไปแน่นอนไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตามที
“ไม่ไหวแล้วโว๊ย! ข้าต้องออกจากที่นี่เดี๋ยวนี้!” เมื่ออดทนจนทนไม่ไหว ซูอัน เดินออกจากห้องไปด้วยสีหน้ามืดหม่นทันที
“เจ้ากำลังจะไปโรงอาหารเพื่อกินข้าวกลางวันใช่ไหม? ปะ พวกเราไปด้วยกัน มื้อนี้ข้าเลี้ยงเจ้าเอง!” เว่ยสั่ว รีบตาม ซูอัน ออกมาและพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มประจบประแจง เห็นได้ชัดว่าการโดนทุบตีไปก่อนหน้านี้มีผลในการเอาชนะใจเขาเป็นอย่างมาก
ตอนนี้เองที่ ซูอัน จำได้ว่าตอนนี้เป็นเวลาบ่ายแล้ว ถ้าเขาจากไปตอนนี้ เขายังคงต้องกินอาหารกลางวันซึ่งแน่นอนว่าเขาต้องเสียงินซื้อเอง
แต่ถ้าตอนนี้เขารั้งอยู่ต่อก่อนให้เว่ยสั่วเป็นคนเลี้ยงเขาก็ไม่ต้องเสียเงินกับค่าอาหารอีกต่อไป
“ข้าเห็นว่าเจ้ารู้จักสถาบันนี้ดีพอสมควร เจ้าพอจะรู้จักคนที่ชื่อ
เว่ยหงเต๋อ รึเปล่า?” ซูอัน จำคำสั่งของเฒ่ามี่ได้ ถ้าเขาออกจากสถาบันโดยไม่มีความคืบหน้าอะไรอีกรอบ ตาเฒ่านั่นคงไม่ปล่อยเขาไปง่าย ๆ แน่
“แน่นอน ต้องรู้จักอยู่แล้วเขาเป็นพี่ชายของข้า! เอ๊ะ เจ้ารู้จักพี่ชายของข้าด้วยงั้นเหรอ?” เว่ยสั่ว ถามกลับด้วยสีหน้าสงสัย
“หืม? เขาเป็นพี่ชายของเจ้างั้นเหรอ” ซูอัน หรี่ตาลงอย่างสงสัย “แต่ชื่อของเจ้าไม่เห็นจะคล้องจองกันเลย?”
“ใครบอกว่าพี่น้องต้องมีชื่อคล้องจองกันเสมอ?” เว่ยสั่ว บ่น “ชื่อพี่ชายของข้าฟังยังไงก็ดูเชยจะตาย ไม่เหมือนกับของข้า เว่ยสั่ว เว่ยสั่ว เจ้าไม่คิดว่าชื่อของข้าฟังดูน่าเกรงขามกว่าเหรอไง?”
ซูอัน กลั้นขำของตัวเองพร้อมกับพยักหน้าไปตามน้ำ “ก็จริง ๆ ๆ ๆ
ชื่อของเจ้าฟังดูน่าเกรงขามสุด ๆ เลย ว่าแต่ตอนนี้พี่ชายของเจ้าอยู่ในสถาบันหรือเปล่า?”
“เขาอยู่ แต่พรสวรรค์ของเขาดีกว่าข้ามาก ดังนั้นตอนนี้เขาจึงอยู่
ในชั้นเรียนปฐพีปีที่3” ความอิจฉาปรากฏขึ้นในดวงตาของ เว่ยสั่ว ขณะที่เขาพูดถึงเรื่องนี้
“ตระกูลของเจ้าทำอะไร?” ซูอันถามด้วยความสงสัย เขาไม่เข้าใจ
ว่าทำไม มี่เหลียนอิ๋นต้องการให้เขาใกล้ชิดกับ เว่ยหงเต๋อ
“พ่อของข้าเคยทำงานให้กับกระทรวงมหาดเล็กในพระราชวังแต่เมื่อ
ไม่กี่ปีก่อนหน้านี้ เขาเลือกที่จะย้ายมาอยู่ที่เมืองจันทร์กระจ่าง
เพื่อเกษียณอายุตัวเอง แต่แน่นอนว่าถึงแม้ตระกูลของข้าจะมาจากเมืองหลวงแต่พวกเราก็ยังไม่สามารถแข่งขันกับตระกูลฉู่ ของเจ้าได้” เว่ยสั่ว ตอบกลับ
กระทรวงมหาดเล็ก?
จากสิ่งที่เขารู้ กระทรวงมหาดเล็ก ขึ้นตรงต่อหนึ่งในเก้าเสนาบดีที่ดูแลเกี่ยวกับท้องพระคลังของจักรพรรดิ และคนส่วนใหญ่ที่อยู่ในกระทรวงนี้ก็คือพวกขันทีและข้ารับใช้ที่จักรพรรดิไว้ใจ มี่เหลียนอิ๋นตั้งใจจะทำอะไรกันแน่
ถึงให้ข้าเข้าใกล้ เว่ยหงเต๋อ?
แต่แล้วจู่ ๆ เสียงที่คุ้นหูก็ดังขึ้นไม่ห่างนัก “พี่เย่ ไอ้คนผู้นั้นไงที่เป็นคนขโมยหินพลังชี่ของเราไป!”
เมื่อเห็นภาพนี้ เว่ยสั่ว ก็รีบวิ่งไปแอบข้างทางทันทีราวกับกระต่ายกำลังเจอนักล่า เขาทำตัวราวกับว่าไม่รู้จัก ซูอัน เลยสักนิด