เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า - บทที่ 109
หลังผ่านไปหนึ่งชั่วยาม พระจันทร์ทรงกลดสาดแสงไปทั่ว
ในลานบ้าน มีโต๊ะไม้วางไว้เรียบร้อย อาหารพื้นๆ ตามแบบแผนชีวิตที่เรียบง่าย ผักจานหนึ่ง ผลไม้ป่าสองสามอย่าง
“ลู่ฝาน แนะนำให้นายรู้จักสักหน่อย นี่คือหานเฟิง ศิษย์พี่สี่ของนาย ฉู่สิง ศิษย์พี่สาม ฉู่เทียน ศิษย์พี่รอง ศิษย์พี่ใหญ่ของนาย กำลังฝึกฝนกับอาจารย์เต้ากวง อยู่หลังเขา จะไม่กลับมาชั่วคราว”
อาจารย์อี้ชิงนั่งหัวโต๊ะ เอ่ยแนะนำตามลำดับ ลู่ฝานลุกขึ้นยืนคารวะ และเรียกชื่อ
“หานเฟิง ฉู่สิง ฉู่เทียน นี่คือลู่ฝาน นักเรียนใหม่ของคณะหนึ่งเดียว และเป็นศิษย์น้องห้าของพวกแก”
อาจารย์อี้ชิงชี้ลู่ฝาน แล้วพูดออกมา รอยยิ้มเต็มใบหน้า เห็นได้ชัดว่าพอใจกับลูกศิษย์ที่เพิ่งรับเข้ามา อย่างลู่ฝานเป็นอย่างมาก
“ฮ่าๆ ในที่สุดฉันก็ไม่ได้อยู่ล่างสุดแล้ว มาๆ ศิษย์น้องห้า ชิมฝีมือศิษย์พี่สิ โอ๊ย หน้าฉัน”
หานเฟิงดีใจอย่างเห็นได้ชัด ใบหน้าฟกช้ำดำเขียว ฉีกยิ้มโชว์ฟันขาว แต่ตำแหน่งฟันหน้าหายไปหนึ่งซี่ ดูโง่เงามาก
ฉู่เทียน ฉู่สิง ทั้งสองคนก็ไม่ต่างกันเท่าไร บาดเจ็บทั้งหน้า เห็นได้ชัดว่าเมื่อกี้อาจารย์อี้ชิง ลงมือไม่เบาเลย อีกอย่างกฎเกณฑ์ที่ว่า จะทำอะไรต้องไว้หน้าบ้าง ดูเหมือนจะใช้ไม่ได้ในคณะหนึ่งเดียว
ฉู่เทียน ฉู่สิงอยากยิ้มแสดงเจตนาดีให้ลู่ฝาน แต่สะเทือนถึงแผล รอยยิ้มดูแปลกประหลาดมาก
ลู่ฝานคีบอาหาร ท่ามกลางการเชิญอย่างอบอุ่น ของศิษย์พี่ทั้งสาม เมื่ออาหารเข้าปาก สีหน้าลู่ฝานเปลี่ยนไปทันที
หานเฟิงหัวเราะแล้วตบไหล่ลู่ฝาน “เป็นไงศิษย์น้อง อร่อยไหม”
ลู่ฝานฝืนกลืนอาหารลงไป และยิ้มออกมา
อาจารย์อี้ชิงพูดว่า “ลู่ฝาน ไม่อร่อยก็บอกไม่อร่อย พูดมาตรงๆ ไม่จำเป็นต้องกลัว”
หานเฟิงมองสีหน้าลู่ฝาน แล้วพูดว่า “ไม่อร่อยจริงเหรอ”
ลู่ฝานพยักหน้าเบาๆ หานเฟิงถอนหายใจ “เฮ้อ ดูเหมือนฝีมือการทำอาหารของฉัน คงไม่ก้าวหน้าแล้ว ศิษย์พี่รอง พี่มาทำเถอะ”
ฉู่เทียนพูดว่า “ได้น่ะได้อยู่แล้ว แต่พวกนายต้องรับรองว่า หลังจากฉันทำ พวกนายต้องกิน”
เขายังไม่ทันพูดจบ อาจารย์อี้ชิงรีบโบกมือไปมา “ช่างเถอะๆ ลู่ฝาน นายทำอาหารเป็นไหม”
ทุกคนหันไปมองลู่ฝาน
ลู่ฝานคิดไม่ถึงว่าคำถามแรกที่โดนถาม เมื่อมาถึงคณะหนึ่งเดียว คือทำอาหารเป็นหรือเปล่า
ลู่ฝานพูดช้าๆ ว่า “ผมทำไม่ค่อยเป็น”
ทุกคนถอนหายใจ หานเฟิงตะโกนออกมาว่า “สวรรค์ ทำไมฉันต้องกินอาหารแบบนี้ทุกวันด้วย ดูคณะบังเหินเขาสิ ดูคณะกำแหงเขาสิ เทียบกับคนอื่น มันน่าโมโหจริงๆ!”
อาจารย์อี้ชิงพูดอย่างราบเรียบว่า “น่ารำคาญ”
คนของคณะหนึ่งเดียวน้อยมาก ไม่เหมือนคณะอื่น ที่มีคนเตรียมอาหารให้โดยเฉพาะ ดังนั้นเราเลยทำอาหารกินเอง วัตถุดิบทั้งหมด ล้วนได้มาจากในภูเขา สิ่งที่ทำให้ทุกคนลำบากที่สุด คือก่อไฟทำอาหาร ไม่กลัวว่านายจะเห็นเป็นเรื่องตลกหรอก สิบกว่าปีมานี้ ศิษย์คณะหนึ่งเดียว ได้กินอาหารมื้อใหญ่ แค่ไม่กี่มื้อเท่านั้น ล้วนเป็นอาหารพื้นๆ ตามแบบแผนชีวิตที่เรียบง่าย เนื้อสัตว์ป่า ผักป่า ฝีมือการทำอาหารของศิษย์พี่นาย ก็ใช้ไม่ได้ พูดขึ้นมา ฝีมือการทำอาหารของหานเฟิง ดีสุดในบรรดาพวกนี้แล้ว
ลู่ฝานหนังตากระตุก นี่ดีที่สุดแล้วเหรอ งั้นศิษย์พี่คนอื่นทำอาหาร กินแล้วจะไม่ตายเหรอ เงียบไปพักหนึ่ง เขาจึงพูดว่า “ถึงผมทำไม่เป็น แต่เจ้าดำทำเป็น”
เมื่อพูดออกมา ทุกคนหันมา หานเฟิงพูดว่า “เจ้าดำเหรอ”
ลู่ฝานเอาวัตถุดิบและสมุนไพรออกมาจากแหวน แล้วให้เจ้าดำ “ไปทำของกินมา”
เจ้าดำใช้ขาหน้าสั้นๆ กอดวัตถุดิบเอาไว้ และเดินไปอีกด้าน เอาก้อนหินมากองหนึ่งอย่างคล่องแคล่ว พ่นเปลวเพลิงดำลงไป หินเหล่านี้กลายเป็นของใช้ในครัว จากนั้นใช้อุ้งเท้าหน้า แยกวัตถุดิบออกจากกัน จุดเปลวเพลิงดำ เริ่มปรุงอาหารช้าๆ
หานเฟิงและคนอื่นมองอย่างอึ้งๆ พวกเขาไม่เคยเห็นสัตว์อสูร ทำอาหารเหมือนคน
ลู่ฝานเห็นจนชินแล้ว นี่คือผลของการที่หวูเฉินฝึกให้เจ้าดำ ตอนที่ฝึกฝนอยู่ในป่า เพราะตอนพวกเขาฝึกฝนอยู่ในป่า จะกินแต่เนื้อย่างทุกวันไม่ได้ ต้องทำอาหารอย่างอื่นกินบ้าง
ไม่นาน เจ้าดำปรุงอาหารหม้อใหญ่ออกมา เอาหม้อหินวางไว้บนหัว ใช้ขาหน้าทั้งสองข้างจับหม้อหิน แล้วเดินมา จากนั้นวางลงบนโต๊ะ
ลู่ฝานเอาเนื้อชิ้นใหญ่สุดในนั้น ออกมาให้เจ้าดำอย่างดีใจ
หานเฟิงและคนอื่น มองหน้ากันไปมา ทั้งสามคน หยิบตะเกียบขึ้นมากินอาหารพร้อมกัน
จากนั้น สีหน้าทั้งสามคน เปลี่ยนไปทันที
อาจารย์อี้ชิงพูดว่า “เป็นไง ไม่อร่อยเหรอ ดูท่าว่าจะทำไม่เป็นสินะ”
อาจารย์อี้ชิงก็ชิมคำหนึ่ง ทันใดนั้น เขาร้องออกมาว่า “ดี! รสชาตินี้ไม่เลว”
ฉู่เทียน ฉู่สิง ทำเหมือนกัน ส่ายหน้าไปพลาง ตะโกนออกมาว่า “อร่อย ฉันไม่ได้กินของอร่อยแบบนี้มานานแล้ว”
ลู่ฝานอ้าปากค้าง มันเวอร์ขนาดนี้เลยเหรอ
แต่คิดถึงอาหารบ้านๆ ที่กินไปเมื่อกี้ ลู่ฝานพอเข้าใจได้ ความรู้สึกที่พวกเขากินอาหาร ฝีมือศิษย์พี่หานเฟิง แล้วไปกินอาหารอย่างอื่น