เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า - บทที่ 1405
เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1405
ช่างกี่วันที่ผ่านมา ลู่ฝานและคนอื่น ๆ ก็พักอยู่กันอย่างสงบเรียบร้อย ที่ตำหนักประเทศหลิง บางครั้ง มหาเสนาบดีหลินก็ยังได้พาพวกเขาไปเดินเที่ยวเล่นในเมือง
แม้ว่าในแต่ละครั้งที่พวกเขาไปเดินเล่นในเมือง ต่างก็จะถูกผู้คนในเมืองท้องฟ้ามุงดูโอบล้อม แต่พวกเขาก็ยังคงยิ้มแย้มร่าเริง เพราะว่าเมืองท้องฟ้าแห่งนี้มีการละเล่นนัทนาการหลายสิ่งหลายอย่าง ที่แตกต่างไปจากประเทศอื่นเป็นอย่างมาก
ตัวอย่างเช่น งานผลไม้ร้องเพลงเต้นรำ
โดยให้ผลไม้ที่ทุกคนกินกันนั้น ร้องเพลงเต้นรำ จากนั้นก็จะทำการคัดเลือกผลไม้ที่ร้องเพลงได้ไพเราะที่สุด แล้วก็จะนำผลไม้นั้นไปประมูลจำหน่าย แล้วก็ให้ผู้คนกินกันให้หมด
อีกตัวอย่างเช่น ประเพณีปลุกชีวิตต้นไม้วิญญาณ
ลู่ฝานและคนอื่น ๆ ที่เดินเล่นอยู่บนถนน เคยได้เห็นกับตาของตนเองว่าต้นกล้าของประเทศหลิงนั้นเติบโตอย่างรวดเร็วจนสามารถเดินได้ด้วยตนเองได้โดยวิธีการอย่างไร หรือกระทั่งต้นไม้ที่สูงเสียดฟ้าทะเลาะชกต่อยกัน
คิดไม่ถึงว่าจะสามารถกระทำได้โดยการใช้วิธีปล่อยพลังชี่เข้าไป ซึ่งมันไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย เหมือนว่าจะเป็นวิชาพิเศษโดยเฉพาะของประเทศหลิง แต่เหมือนจะมีเพียงผู้ฝึกชี่จำนวนน้อยนิดของประเทศหลิง ที่จะสามารถควบคุมและกระทำการแบบนี้ได้
ผู้ฝึกชี่ของประเทศหลิงนี้ มีวิชายาที่ไม่ซ้ำกัน แต่กลับชอบที่จะกลั่นพวกยาที่แปลกประหลาด ซึ่งการทำให้ต้นไม้มีชีวิตกลับคืนมานั้น เป็นเพียงแค่วิชาขั้นพื้นฐาน
ได้ยินว่า ผู้ฝึกชี่ที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริงของประเทศหลิงนั้น ยังสามารถทำให้ภูเขามีชีวิตกลับคืนมาได้ ทางลู่ฝานฟังแล้วก็เอ่ยปากชื่นชมไม่หยุด เวลานี้เขาพลันพบว่า ประเทศหลิงเหมือนจะเป็นดินแดนกลั่นยาที่ยอดเยี่ยมเลยทีเดียว
พลังฟ้าดินของที่นี่ แม้ว่าจะไม่อุดมสมบูรณ์อย่างเมืองหลวงของประเทศอู่อาน
แต่ที่นี่เหมือนว่าจะมีสิ่งของที่จำเป็นสำหรับผู้ฝึกชี่อยู่อย่างหนึ่ง นั่นก็คือวิญญาณ!
เมื่อกลั่นยามาถึงระดับหนึ่งแล้ว ก็จำเป็นต้องเสริมพลังวิญญาณเข้าไป
ระดับขั้นการกลั่นยาทิพย์ ช่วงที่เสริมวิญญาณของยานั้น ถือว่าเป็นขั้นตอนที่สำคัญมาก
ผู้ฝึกชี่ที่แข็งแกร่งมักจะสามารถกลั่นยาออกมาได้ราวกับสิ่งมีชีวิตอย่างไรอย่างนั้น อย่างเช่นลู่ฝานก็เคยเห็นกับตาของตนเองมาแล้วว่า ยาเสริมวิญญาณที่อาจารย์ของเขาหวูเฉินได้กลั่นออกมานั้น สามารถกลายเป็นกระต่ายน้อยได้
ลู่ฝานรู้สึกว่าหากตนเองได้ฝึกฝนวิชาการกลั่นยาอยู่ที่นี่ จะต้องไม่เลวอย่างแน่นอน
ดังนั้น กี่วันต่อมา ลู่ฝานจึงปิดประตูไม่ออกจากที่พัก สงบจิตสงบใจฝึกฝนกลั่นยาอยู่ภายในห้อง อีกทั้งยาที่กลั่นออกมานั้น ต่างก็ให้หลิงเหยาและสิบสามกินเข้าไป
ตอนนี้เขาไม่กลัวว่าจะสิ้นเปลือง เพราะวัตถุดิบยาที่อยู่ในแหวนและเข็มขัดนั้น กองเต็มไปหมดแล้ว สามารถใช้ให้จำนวนลดน้อยลงไปบ้างก็ไช้ไปเถอะ
วันนี้ ลู่ฝานก็เพิ่งจะกลั่นยาเสวียนชั้นดีออกมาได้เตาหนึ่ง
ลู่ฝานสีหน้าท่าทางยิ้มแย้ม และจัดเก็บยาเหล่านั้นขึ้น แล้วขณะที่กำลังจะเก็บหม้อสือฟางนั้น ประตูห้องก็ถูกเปิดออกอย่างกระทันหัน ซึ่งสิ่งที่ปรากฏขึ้นในม่านตานั้น ก็คือเงาร่างของธิดาเทพนั่นเอง
ลู่ฝานสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย และพูดขึ้นอย่างไม่เร่งรีบว่า: “ธิดาเทพ ไม่รู้หรืออย่างไรว่าเวลาที่จะเข้าห้องของคนอื่น จะต้องเคาะประตูก่อน? ”
ธิดาเทพยิ้มพร้อมกับโค้งตัวและพูดว่า: “ขอโทษด้วย คุณชายลู่ฝาน รีบร้อนไปหน่อย จึงลืมไปเลย คุณชายลู่ฝานใช้หม้อกลั่นยาเป็นด้วยเหรอ? ”
ลู่ฝานค่อย ๆ เก็บหม้อสือฟางของตนเองขึ้น ยิ้มและพูดว่า: “เคยได้ศึกษามาบ้างจากเจดีย์ยา คิดที่จะลองกลั่นยาออกมาเองดูบ้าง แต่น่าเสียดายที่ ตนเองไม่ใช่ผู้ฝึกชี่”
ดวงตาของธิดาเทพกระพริบแสงประหลาดขึ้น โดยที่ไม่ได้ถามต่อ
ธิดาเทพผายมือขวาออก และพูดว่า: “คุณชายลู่ฝาน จักรพรรดินีประเทศหลิงเชิญพวกเราไปที่ตำหนักหมอก ไปด้วยกันเถอะ”
ลู่ฝานพยักหน้า แล้วก็เดินออกมาจากห้อง
ที่ด้านนอก หลิงเหยากับสิบสามจ้องมองไปยังธิดาเทพด้วยความโกรธแค้น
เมื่อเห็นลู่ฝานเดินออกมา หลิงเหยาก็ยิ่งอยากจะลงมือ แต่ลู่ฝานขัดขวางตัวเธอเอาไว้ แล้วสิบสามก็เดินมาที่ด้านหลังของลู่ฝาน และพูดเบา ๆ ว่า: “เจ้านาย! ”
ลู่ฝานมองเห็นเกล็ดน้ำแข็งบนขาของสิบสาม ก็เข้าใจในทุกอย่างแล้ว
“ไม่ต้องพูดแล้ว ไปด้วยกันเถอะ! ”
ลู่ฝานพูดขึ้น
หลิงเหยาส่งกระแสจิตให้กับลู่ฝานว่า: “ลู่ฝาน ธิดาเทพคนนี้ช่างร้ายกาจยิ่งนัก ฉันได้บอกกับหล่อนแล้วว่า นายกำลังฝึกฝนอยู่ หล่อนก็ยังที่จะบุกเข้าไปด้านใน ฉันกับสิบสามต่างก็ขัดขวางเอาไว้ไม่ได้! ”