เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า - บทที่ 146
เจ้าดำยังคงนอนราบอยู่หน้าประตู อาจเป็นเพราะความวุ่นวาย ในลานบ้านดังเกินไป เจ้าดำตื่นขึ้นมา มองพวกหานเฟิงอย่างดูหมิ่น แล้วเข้าไปนอนต่อในห้อง
ผ่านไปนาน ศิษย์พี่ใหญ่และคนอื่นจึงหยุดลง
ศิษย์พี่ใหญ่ปรบมือ แล้วพูดว่า “รู้ตั้งนานแล้วว่าเป็นฝีมือนาย แต่ขี้เกียจพูดเท่านั้น วันนี้ได้ต่อยอย่างสะใจ เหงื่อเต็มตัวไปหมด”
ศิษย์พี่ใหญ่เอามือลูบพุงแววๆ แล้วเดินหัวเราะออกไป
ฉู่สิงกับฉู่เทียนก็เหนื่อยเหมือนกัน มองหานเฟิงแล้วพูดว่า “ศิษย์น้องหานเฟิง ต่อไปถ้าต้องการอีก รีบมาหาพวกเรานะ ต่อยคนได้ตามใจชอบ นี่มันดีจริงๆ ฮ่าๆ”
ฉู่สิงกับฉู่เทียนหันหลังเดินกลับห้อง
หานเฟิงแผ่หลาบนพื้น อยู่ในสภาพเกือบตาย
“ความรู้สึกนี่แหละ ความรู้สึกนี่แหละ”
หานเฟิงฝืนเอากระดาษวิชาหนึ่งเดียวออกมา เมื่อคืนเขาใช้ไม้อ่อนหว่านล้อมไม่หยุด กว่าจะได้มาจากอาจารย์เต้ากวง ตอนนี้มาดูว่าวิธีที่ศิษย์น้องลู่ฝานบอกเขา จะใช้ได้หรือเปล่า
หานเฟิงลืมตาแทบจะไม่ขึ้น เขาใช้นิ้วถ่างตาเอาไว้ จ้องกระดาษวิชาหนึ่งเดียวเขม็ง
ทันใดนั้น ศิษย์พี่หานเฟิงร้องโอดครวญ แล้วล้มลงบนพื้น ตัวสั่น กระดาษร่วงลงบนพื้น
อาจารย์อี้ชิงหันมามองหานเฟิง “ปัญญาอ่อนจริงๆ ถ้าวิธีนี้ฝึกวิชาหนึ่งเดียวได้ งั้นสายเลือดหนึ่งเดียว คงเป็นตัวตลกไปทั้งโลกแล้ว”
หานเฟิงเงยหน้าขึ้น พูดเสียงขาดๆ หายๆ “อาจารย์อี้ชิงรู้ว่าไม่ได้ผลเหรอ”
อาจารย์อี้ชิงจิบชาเบาๆ แล้วพูดว่า “ฉันรู้แน่นอน ลู่ฝานฝึกสำเร็จ นั่นเป็นโอกาส โชคชะตาบวกกับความเข้าใจ นายไม่มีอะไรสักอย่าง จะฝึกสำเร็จได้ยังไง ไม่ได้บอกนาย เพราะอยากเห็นนายโดนกระทืบเท่านั้น”
อาจารย์เต้ากวงพูดต่อ “ถูกต้อง เห็นคนโดนกระทืบตั้งแต่เช้า รู้สึกดีมาก เหมือนย้อนกลับไป ตอนเราฝึกแรกๆ”
เมื่อศิษย์พี่หานเฟิงได้ยินดังนั้น จึงกระอักเลือดออกมาอีก ครั้งนี้สลบไปเลย
อาจารย์อี้ชิงหัวเราะ แล้วเดินเข้ามาใส่พลังปราณเข้าไปในตัวหานเฟิง
เพราะพวกศิษย์พี่ใหญ่ ไม่ได้ลงมือถึงตาย ศิษย์พี่หานเฟิงดูบาดเจ็บสาหัส อันที่จริงไม่ได้บาดเจ็บถึงเส้นเอ็นและกระดูก
ลู่ฝานส่ายหน้า หันหลังเดินเข้าไปในห้อง
……
พวกเขาจะไปเขาวิพากษ์ที่สถาบันสอนวิชาบู๊เพื่อซื้ออาวุธ ลู่ฝานเพิ่งรู้เหมือนกัน สถาบันสอนวิชาบู๊ไม่ได้มีแค่เก้าคณะใหญ่ ยังมีสถานที่ให้นักเรียนพูดคุย
หานเฟิงโดนรุมกระทืบจนสลบเมื่อเช้า ตอนนี้ฟื้นฟูพอประมาณแล้ว แม้ใบหน้ายังฟกช้ำ ดูน่าเวทนา แต่ส่วนอื่นไม่เป็นอะไร
“ศิษย์น้องลู่ฝาน ครั้งนี้นายหลอกฉันเละเลย ทำไมนายไม่รีบบอกว่าวิธีนี้ใช้ไม่ได้ผล”
หานเฟิงบ่นอุบ เขายังแค้นที่ตัวเองโดนกระทืบฟรีๆ
แต่ศิษย์พี่ฉู่สิงกับศิษย์พี่ฉู่เทียน กลับหัวเราะอย่างมีความสุข
ลู่ฝานพูดอย่างเหนื่อยใจ “ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน”
ศิษย์พี่หานเฟิงถอนหายใจ “ดูเหมือนฉันคงไม่มีวาสนากับวิชาหนึ่งเดียว วิชาแข็งแกร่งขนาดนี้ ทำไมฉันถึงเรียนไม่ได้ ใช่สิ ลู่ฝาน อาจารย์ได้บอกข้อห้ามของวิชาหนึ่งเดียวกับนายไหม”
ลู่ฝานส่ายหน้า “ไม่ครับ เหมือนวิชาหนึ่งเดียว ไม่มีข้อห้าม เพราะไม่ใช่เคล็ดวิชาบู๊การโจมตี แท้จริงอะไรขนาดนั้น”
หานเฟิง ฉู่สิงและฉู่เทียนเบิกตาโต “นี่ยังไม่นับว่าเป็นเคล็ดวิชาบู๊การโจมตีอีกเหรอ ขนาดหลินฉียังโดนนายฟันกระบี่ แค่ไม่กี่ครั้ง นายจะเอายังไงอีก”
ลู่ฝานพูดว่า “พลังวิญญาณที่รวมตัวจากวิชาหนึ่งเดียว เป็นแค่การใช้พลังด้วยวิธีพิเศษ แม้พลานุภาพแข็งแกร่ง แต่เปลืองพลังปราณไม่น้อย ส่วนเคล็ดวิชาพลังวิญญาณ ผมยังฝึกออกมาไม่ได้”
หานเฟิงพยักหน้าอย่างเข้าใจ “ที่แท้เป็นแบบนี้นี่เอง ก็ถูกแล้วล่ะ พลังน่ากลัวขนาดนี้เปลืองพลังปราณมากก็สมควร ดูเหมือนว่า ต่อไปศิษย์น้องลู่ฝานลงมือต้องรีบจัดการคู่ต่อสู้ให้เร็ว ขืนสู้นาน คงใช้วิชาหนึ่งเดียวไม่ได้”
ลู่ฝานยิ้มบางๆ เขายังไม่ได้บอกศิษย์พี่หานเฟิง อันที่จริงความสามารถในการฟื้นฟูของเขา สามารถสร้างความสมดุล กับพลังที่สูญเสียไปกับวิชาหนึ่งเดียว
อันที่จริง วิชาหนึ่งเดียวมีวิชาเคลื่อนไหวพลังปราณในตัวมันเอง แต่แค่วิชาชุดนี้ แย่กว่าค่ายกลหยินหยาง กับค่ายกลห้าธาตุในตัวลู่ฝาน ดังนั้นลู่ฝานจึงไม่ใช้
ทั้งสี่คนพูดคุยยิ้มแย้ม เดินไปยังเทือกเขาฉิงเทียน
หลังเดินไปได้หนึ่งวันหนึ่งคืน ยอดเขาหนึ่ง ซึ่งแตกต่างออกไป ปรากฏเข้ามาในสายตา
หานเฟิงชี้ยอดเขานั้น “ศิษย์น้องลู่ฝาน ถึงเขาวิพากษ์แล้ว”