เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า - บทที่ 152
ลู่ฝานถอนหายใจ ขวางศิษย์พี่หานเฟิงไว้ “ช่างเถอะ เดี๋ยวผมเอง”
ลู่ฝานเดินออกมา มองอี้ว์หวาแล้วพูดว่า “ลู่ฝาน คณะหนึ่งเดียว”
อี้ว์หวาแสยะยิ้มเย็นชา เดินมาข้างเตียง แล้วเด้งตัวลง ลู่ฝานเด้งตัวตามลงไป ความสูงระดับอาคารสามชั้น สำหรับเขาแล้ว ไม่เป็นปัญหาอะไรเลย ลงสู่พื้นอย่างมั่นคง
ที่นี่เป็นด้านหลังอาคาร พื้นที่ว่างสะอาด ครอบคลุมพื้นที่อย่างน้อยสามร้อยกว่าเมตร มีชั้นอาวุธหลากหลายประเภท วางอยู่สองข้าง เห็นได้ชัดว่าที่นี่ เป็นสถานที่ให้คนใช้ต่อสู้
จากนั้น พวกนักเรียนพากันกระโดดลงมาเช่นกัน
สำหรับการต่อสู้ พวกเขาชอบเป็นที่สุด โดยเฉพาะการต่อสู้เพื่อสาวงาม
ยืนอย่างมั่นคง หานเฟิงหันไปมองเหลิ่งหาน “กล้าพนันสักหน่อยไหม ศิษย์พี่เหลิ่งหานแห่งคณะหยินหยาง”
เหลิ่งหานมองลู่ฝาน แสยะยิ้มเย็นชา “นายจะพนันอะไร รีบพูดมา สวะคณะหนึ่งเดียว”
เอาแต่พูดว่าสวะคณะหนึ่งเดียว ทำให้สีหน้าหานเฟิง ไม่สู้ดีเป็นอย่างมาก
หานเฟิงกัดฟัน พูดว่า “ฉันไม่พนันอย่างอื่น พนันแค่อย่างเดียว ถ้านายแพ้ ต้องให้ฉันถีบแรงๆ หนึ่งที ฉันว่าถ้าฉันถีบหน้านายจนบวม ต้องน่าสนุกมากแน่นอน”
เหลิ่งหานยิ้มแล้วพูดว่า “ได้สิ แต่ถ้าศิษย์น้องนายแพ้ นายต้องตะโกนคำว่าคณะหนึ่งเดียวสวะสิบครั้ง ตะโกนสุดเสียงให้ได้ยินไปทั้งเขาวิพากษ์”
“ไม่มีปัญหา”
หานเฟิงยื่นมือออกมา เหลิ่งหานก็ยื่นมือออกมาเช่นกัน ทั้งสองชนหมดกันเป็นสัญญา
คนอื่นเห็นหานเฟิงกับเหลิ่งหานพนันกัน แต่ละคนเริ่มตะโกนขึ้นมา
“มาๆ เดิมพันเลยๆ คณะหนึ่งเดียวชนะ หนึ่งต่อสิบ คณะหยินหยางชนะสิบต่อหนึ่ง”
“ฉันพนันอี้ว์หวาของคณะหยินหยางชนะ”
“ฉันก็พนันคณะหยินหยางชนะเหมือนกัน”
……
คนอ้วนสองคนเปิดโต๊ะพนัน คนอ้วนตัวใหญ่เก็บเงิน คนอ้วนที่ตัวเล็กกว่าจดบัญชี คนอ้วนทั้งสอง มีสีหน้ายิ้มแย้ม
ลู่ฝานเห็นว่าเอาเขามาพนัน จึงคลำหาในแหวนตัวเองพักหนึ่ง โยนถุงเล็กๆ ออกไป แล้วพูดว่า “ฉันพนันว่าตัวเองชนะ”
คนอ้วนที่ตัวเล็กกว่า รีบหยิบถุงขึ้นมา เตรียมจะเปิดออกและจดบัญชี ขณะนั้นอี้ว์หวา หัวเราะออกมา “ฉันพนันว่าตัวเองชนะเหมือนกัน ก็แค่พนันนะ ฉันพนันเหมือนเขาละกัน”
ลู่ฝานยิ้มแล้วพูดว่า “นายแน่ใจเหรอว่าจะพนันเหมือนฉัน กลัวว่านายจะชดใช้ไม่ไหวน่ะสิ”
อี้ว์หวาพูดว่า “สิ่งที่นายเอามาได้ ฉันก็เอามาได้เหมือนกัน กลัวว่านายจะชนะไม่ได้น่ะสิ”
ลู่ฝานหันไปมองคนอ้วนที่ตัวเล็กกว่า “ไม่ต้องเปิดถุงนั่นก่อน รอให้สู้เสร็จ ค่อยว่ากัน”
คนอ้วนตัวเล็กกว่ายิ้ม แล้วเอาถุงวางให้ทุกคนเห็น ถุงธรรมดาๆ ทำให้ทุกคนยิ้มบางๆ ก็แค่เหรียญทองเล็กๆ น้อยๆ ทำไมต้องเปิดหลังจากสู้เสร็จด้วย
จู่ๆ หลิงเหยาเดินเข้ามา เอาเหรียญทองสิบกว่าเหรียญ ออกมาจากในอก “เดี๋ยวก่อน ฉันพนันด้วย ฉันพนันว่าลู่ฝานของคณะหนึ่งเดียวชนะ”
ทุกคนอึ้งไป ขนาดเยียนหราน ที่อยู่ข้างหลิงเหยายังอึ้ง เหลิ่งหานสีหน้าอึมครึม
เยียนหรานจับมือหลิงเหยา แล้วพูดว่า “หลิงเหยา เธอบ้าไปแล้วเหรอ ทำไมถึงพนันว่าคนปัญญาอ่อนของคณะหนึ่งเดียวชนะล่ะ เธอมีเงินเยอะเหรอ”
หลิงเหยาวางเหรียญทองลง แล้วพูดเบาๆ ว่า “ฉันเงินไม่เยอะหรอก แต่ฉันคิดว่าเขาน่าจะชนะ”
หลิงเหยาพูดจบ ก็มองไปยังลู่ฝาน แววตาวูบไหว
ลู่ฝานยิ้มบางๆ แม่นางหลิงเหยา มีความสามารถในการมองจริงๆ
ตอนนี้เหลิ่งหานส่งสายตาให้อี้ว์หวา อี้ว์หวาพยักหน้าเข้าใจ ศิษย์พี่เหลิ่งหาน ให้เขาลงมืออย่างรุนแรง
อี้ว์หวาเอาอาวุธของตัวเองออกมา เป็นขวานที่มีแสงเย็นยะเยือก ดูมีพลานุภาพร้ายแรง
อี้ว์หวาร่างกายกำยำล่ำสัน เอาขวานออกมา และปล่อยพลังปราณของตัวเองออกมา
แดนปราณในชั้น7 นี่คือผลการฝึกตนของอี้ว์หวา
ผลการฝึกตนระดับนี้ ถ้าเป็นศิษย์คณะอื่น อย่างน้อยต้องอยู่ในอันดับต้นๆ แต่เมื่ออยู่ในคณะหยินหยาง ผลการฝึกตนแบบนี้ แค่ทั่วไปเท่านั้น
ลู่ฝานปล่อยปราณชี่ของตัวเองออกมาเช่นกัน ปราณชี่อยู่ในระดับเดียวกับอี้ว์หวา ผลการฝึกตนแดนปราณในชั้น7
เมื่อเขาปล่อยปราณออกมา ทำให้นักเรียนรอบๆ เริ่มถกเถียงกัน
“ผลการฝึกตนของไอ้หนุ่มคณะหนึ่งเดียว ไม่เลวเลย แดนปราณในชั้น7”
“คณะหนึ่งเดียวมีอัจฉริยะแบบนี้ด้วย มันเป็นคณะที่อยู่ในลำดับสุดท้ายไม่ใช่เหรอ”
“อยู่ลำดับสุดท้าย ไม่ได้หมายความว่า ไม่มียอดฝีมือ ดูเหมือนไอ้หมอนี่ เป็นยอดฝีมืออันดับต้นๆ ของคณะหนึ่งเดียว”
“ยอดฝีมืออันดับต้นๆ อะไรกัน ว่ากันว่าคณะหนึ่งเดียวมีทั้งหมดห้าคนเอง”
“จริงหรือเปล่า นั่นเรียกว่าคณะเหรอ!”
……
เหลิ่งหานเห็นผลการฝึกตนของลู่ฝาน ถึงกับขมวดคิ้ว
หลิงเหยาหัวเราะอย่างมีความสุข เยียนหรานที่อยู่ข้างๆ พูดอย่างดูหมิ่น “ผลการฝึกตนงั้นๆ เขามีเคล็ดวิชาบู๊เก่งกาจงั้นเหรอ ยังไม่เคยได้ยินว่าคณะหนึ่งเดียวมีเคล็ดวิชาเก่งกาจ สู้กับนักเรียนคณะหยินหยางที่มีเคล็ดวิชาบู๊เหนือธรรมชาติ เขาแพ้แน่นอน”
หลิงเหยากะพริบตา ยิ้มแล้วพูดว่า “ศิษย์พี่ เขาเก่งมาก ถ้าฉันจำไม่ผิด เขาเป็นอันดับหนึ่ง ในการแข่งขันของนักเรียนใหม่ครั้งนี้”
เยียนหรานอึ้งไป แล้วพูดว่า “คนโง่ที่ไม่ไปคณะหยินหยาง แต่เลือกคณะหนึ่งเดียวงั้นเหรอ”
หลิงเหยาพยักหน้า พูดเบาๆ ว่า “เขาไม่ใช่คนโง่นะ ดูไม่โง่สักนิด”