เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า - บทที่ 1604
เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1604
พลังอันบ้าคลั่งสามารถทำให้นักบู๊แดนปราณฟ้าตายคาที่ได้เลย แต่ลู่ฝานใส่แหวนของเจ้าสำนักจิ่วเซียว ทำให้พลังอันบ้าคลั่งอ่อนโยนลงเล็กน้อย ไม่งั้นตอนนี้เขาคงกลายเป็นศพตัวเย็นไปสามวันแล้ว
พอคิดถึงความเจ็บปวดที่ได้เจอมาสามวัน ตอนนี้ลู่ฝานยังกลัวไม่หาย
แต่เห็นได้ชัดว่าป้ายวิญญาณที่เทพบู๊เสินเซียวทิ้งไว้ รวมถึงพลังบนป้ายวิญญาณ ดูมีเป้าหมายอะไรบางอย่าง
เวลาสามวันทำให้เขาดูดพลังบนป้ายวิญญาณจนหมด หลังจากนั้นลู่ฝานรู้สึกว่าร่างกายตัวเองเกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยทุกครั้งที่หายใจ
ลู่ฝานรู้สึกว่าร่างกายตัวเองมีความแข็งแกร่งเพิ่มขึ้นอีกครั้ง เหมือนเชี่ยวชาญอะไรบางอย่างด้วย
เดิมทีเขาจะถามผู้อาวุโสชุดดำว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาถามแน่ๆ
หั่วหลงชิ่งส่ายหน้าเบาๆ ให้หั่วหลงจู้ บอกเขาว่าอย่าพูดแบบนี้
หั่วหลงชิ่งพูดว่า “สหายลู่ฝาน ตอนนี้เราลงเรือลำเดียวกันแล้ว สู้มาทำสัญญากันดีกว่า การต่อสู้วันนี้เราช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เอาชนะคนอื่นแล้วค่อยว่ากัน”
ลู่ฝานยิ้มแล้วพูดว่า “ได้สิ ถ้าเป็นเช่นนี้โอกาสชนะของเราก็สูงขึ้นมาก”
หั่วหลงจู้พูดต่อ “แต่ขอบอกเอาไว้ก่อน ลู่ฝาน อีกเดี๋ยวตอนลงมือนายต้องพุ่งไปคนแรก ถ้านายแพ้ก็ไม่ต้องกังวล แค่เราสองคนไม่เป็นอะไรก็พอ”
หั่วหลงชิ่งพูดต่อ “เรื่องเกี่ยวข้องกับศักดิ์ศรีของตระกูลหั่ว สหายลู่ฝานโปรดลงมือช่วยเหลือกันด้วย ถ้าการต่อสู้ห้าตระกูลในปีนี้ ตระกูลหั่วคว้าชัยชนะมาได้ กลับไปตระกูลสหายลู่ฝานต้องได้รางวัลใหญ่แน่นอน ถึงตอนนั้นนายอยากได้อะไรก็บอกตระกูลได้เลย”
ลู่ฝานเข้าใจความหมายของทั้งสองคน คงเอาเขาเป็นโล่ป้องกันสินะ!
มีทุกข์นายต้าน มีสุขฉันเสพคือความหมายนี้สินะ ถ้าเป็นตอนอื่นลู่ฝานคงเอากระบี่หนักไร้คมมาตบหน้าพวกเขาแล้ว
แต่ตอนนี้ลู่ฝานทำได้เพียงยิ้ม “ได้ เรื่องนี้ผู้อาวุโสสามคุยกับฉันแล้ว ฉันจะพยายามทำให้พวกนายชนะ!”
คิ้วที่ขมวดของหั่วหลงชิ่งคลายออก สีหน้าหั่วหลงจู้ดูดีขึ้น “นี่ยังพอพูดกันได้หน่อย ลู่ฝาน ถ้าวันนี้นายทำให้เราชนะได้จริงๆ ความแค้นของเราเมื่อก่อนถือว่าหายกัน”
ลู่ฝานหัวเราะเบาๆ ไม่หยุด ไอ้เก้าที่อยู่ในตัวฟังต่อไม่ไหวแล้ว “เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ คนคนนี้หน้าไม่อายจริงๆ เขาเอาแต่ยั่วโมโหเจ้านายแท้ๆ ตอนนี้พูดเหมือนเขาเป็นคนโดนยั่วโมโหซะงั้น ยังมีหน้ามาพูดว่าหายกันอีก ถุย! เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่จะให้ฉันสั่งสอนเขาไหม”
ลู่ฝานพูดในใจว่า “ต้องให้แกมาสั่งสอนด้วยเหรอ ฉันมีวิธีของตัวเอง”
เจดีย์เสวียนเก้ามังกรหัวเราะเบาๆ “อิอิ เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ไหวพริบโดดเด่น หน้าก็ด้านมาก หน้าเนื้อใจเสือสุดๆ ไอ้หมอนี่ซวยแล้ว”
ลู่ฝานกลอกตามองบนแล้วพูดในใจ “หุบปาก พูดประจบแกยังทำไม่เป็นเลย แกนั่นแหละหน้าด้าน!”
หั่วหลงชิ่งยิ้มแล้วพูดว่า “งั้นถือว่าเราเป็นพันธมิตรกันแล้วใช่ไหม”
ลู่ฝานยิ้มแล้วพูดว่า “ใช่ เราเป็นพันธมิตรกันแล้ว!”
……
อีกด้านหนึ่ง จินอีหมิงมองมู่จึฉีพาถู่ห่วงเหาะเข้ามาแล้วขมวดคิ้วเบาๆ
กำเครื่องรางในมือแน่น จินอีหมิงพูดเสียงดังว่า “เหมือนเวลายังไม่ถึงหนึ่งก้านธูปเลย พวกนายมาหาเรื่องฉันแล้วเหรอ”
มู่จึฉีหัวเราะร่า “สหายจินเข้าใจผิดแล้ว เรามาผูกมิตรกับนาย”
พูดพลาง มู่จึฉีกับถู่ห่วงเหาะมาหน้าจินอีหมิง ใบหน้าทั้งสองคนมีรอยยิ้มบางๆ แบมือให้เห็นว่าตัวเองไม่ได้เอาเครื่องรางออกมา
จินอีหมิงขมวดคิ้วพูดว่า “ผูกมิตรเหรอ ผูกมิตรยังไงว่ามาสิ”
มู่จึฉีพูดว่า “สามคนของตระกูลหั่ว สองคนของตระกูลสุ่ย พวกเขาต้องอยู่ด้วยกันแน่ๆ ถ้าเราสามคนต่างคนต่างสู้ คงโดนพวกเขาโจมตี ไม่มีโอกาสชนะเลย สหายจินน่าจะคิดถึงจุดนี้ได้นะ”
จินอีหมิงแววตาขบขัน เอามือลูบคางแล้วพูดว่า “สหายมู่ สหายถู่หมายความว่าไง”
ถู่ห่วงพูดเสียงดังว่า “สองหัวดีกว่าหัวเดียว เราสามคนร่วมมือกัน ไม่ว่าจะเป็นตระกูลหั่วหรือตระกูลสุ่ยก็ทำอะไรเราไม่ได้ จัดการพวกเขาทิ้งก่อน จากนั้นเราสามคนค่อยแบ่งแยกเรื่องแพ้ชนะเป็นไง”
จินอีหมิงยิ้มแล้วพูดว่า “ได้!”
ทั้งสามคนยื่นฝ่ามือออกมา ไฮไฟว์ทำสัญญากัน
มู่จึฉีมองทั้งสองคนแล้วพูดว่า “งั้นเราจะจัดการใครก่อน ตระกูลหั่วหรือตระกูลสุ่ย!”
ถู่ห่วงพูดเสียงเย็นชา “ตระกูลหั่ว แม้ตระกูลหั่วมีสามคนแต่ยังไม่น่ากลัว จัดการพวกเขาทิ้ง ร่วมมือกันจัดการสุ่ยหมิงคงก็ง่ายขึ้นเยอะ!”
มู่จึฉีพยักหน้าพูดว่า “ไม่เลว สหายถู่พูดมีเหตุผล”
จินอีหมิงยื่นมือออกมา “ไม่ได้ ต้องจัดการสุ่ยหมิงคงก่อน!”
มู่จึฉีกับถู่ห่วงมองจินอีหมิงอย่างสงสัย แล้วถามพร้อมกันว่า “ทำไมล่ะ”
จินอีหมิงพูดว่า “ง่ายมาก เพราะเราจัดการสุ่ยหมิงคง พวกไร้ความสามารถอย่างตระกูลหั่วไม่มีทางช่วยเขา แต่ถ้าเราจัดการตระกูลหั่ว สุ่ยหมิงคงต้องร่วมมือกับตระกูลหั่วจัดการเราแน่ ถ้าพวกเขาสองตระกูลร่วมมือกันจะแย่”
มู่จึฉีกับถู่ห่วงเข้าใจทันที
“สหายจินฉลาดมาก!”
“งั้นตระกูลสุ่ยละกัน หนี้ที่สุ่ยหมิงคงติดไว้ตอนต่อสู้ของห้าตระกูลใหญ่ครั้งก่อนถึงเวลาเอาคืนแล้ว!”