เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า - บทที่ 1804 เฟิงเทียน
เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1804 เฟิงเทียน
อีกฝั่งหนึ่ง ผู้อาวุโสซู่มั่นที่ออกไปจากกระท่อมไม้ไผ่แล้วนั้น ขณะเตรียมตัวที่จะกลับไปยังพระราชวัง ในขณะนั้นเอง เธอก็พลันรู้สึกได้ว่ามีพลังงานความร้อนผ่านขึ้นมาที่ท่อนแขนของเธอ
ทันใดนั้น ผู้อาวุโสซู่มั่นก็ถลกแขนเสื้อขึ้น และมองไปที่ท่อนแขนของตัวเอง ด้านบน ก็ปรากฏโครงกระดูกลายปีศาจที่แปลกประหลาดขึ้น
กะโหลกที่ถูกกลืนอยู่ภายใต้เมฆหมอกนั้น ได้พ่นหมอกควันออกมาแล้วค่อย ๆ กลายร่างเป็นคำว่าปีศาจ!
ผู้อาวุโสซู่มั่นเห็นอักษรคำว่าปีศาจแล้ว ก็พลันตกตะลึง
จากนั้น ผู้อาวุโสซู่มั่นก็แวบหายตัวไป เมื่อปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง ก็มาถึงซอยเล็กแห่งหนึ่งที่อยู่ในเมืองฉิงเทียนแล้ว
ฝูงชนคึกคัก มียักษ์มากมายนับไม่ถ้วน และเต็มไปด้วยเสียงพูดคุยหัวเราะ
ผู้อาวุโสซู่มั่นสูดหายใจลึก ยกมือสะบัด ทันใดนั้น เธอก็กลายร่างเป็นยักษ์ที่มีความสูงเป็นร้อยเมตร
ความสูงระดับนี้ ภายในเมืองฉิงเทียนนั้น ถือว่าธรรมดาเป็นอย่างมาก
แต่ต่อให้หลังจากที่ผู้อาวุโสซู่มั่นได้กลายร่างเป็นยักษ์แล้ว ก็ยังดูสง่างดงาม ดึงดูดความสนใจของผู้คนเมืองฉิงเทียนที่อยู่บนท้องถนนไม่น้อย ให้พากันหยุดฝีเท้า แล้วก็หันมองไปที่เธอด้วยสายตาที่น่าทึ่ง
ผู้อาวุโสซู่มั่นไม่พูดไม่จาอะไร มุ่งหน้าตรงไปยังทิศตะวันออกของเมืองโดยเร็ว
เธอมีฝีเท้าเร็วมาก เพียงแค่ชั่วพริบตาเดียว เงาร่างก็ทะลุผ่านไปหลายเส้นถนนแล้ว
แต่บริเวณที่เธอผ่านนั้น คนจำนวนไม่น้อยก็ยังคงมองเห็นร่างของเธอ และก็ไม่ได้รู้สึกว่ามีอะไรที่ผิดปกติ
ไม่นานนัก ผู้อาวุโสซู่มั่นก็มาถึงด้านหน้าของโรงน้ำชาแห่งหนึ่ง
โรงน้ำชาแห่งนี้ไม่ได้มีความพิเศษอะไร ถึงขนาดที่ตัวบ้านก็ยังไม่ใช่ปูนปั้น ภายในยังสามารถได้ยินเสียงหัวเราะระริกระรี้ของหญิงสาว และยังแฝงไปด้วยความหลงระเริงส่ำส่อน ชัดเจนว่าคงจะไม่ใช่สถานที่ที่ดีอะไรแน่นอน
เมื่อมาถึงสถานที่แห่งนี้ ผู้อาวุโสซู่มั่นก็รู้สึกได้ว่าท่อนแขนของตัวเองไม่เกิดความร้อนแล้ว
เธอเงยหน้าขึ้นมองโรงน้ำชาแห่งนี้ ซึ่งขณะที่กำลังสงสัยอยู่นั้น ก็พลันมีชายร่างกำยำสองคน ได้หามร่างคนหนึ่งออกมา
“ไม่มีเงินแล้วยังกล้าจะมาเที่ยวผู้หญิงอีก ไสหัวไปซะ หากกล้าเข้ามาอีก พบเห็นครั้งหนึ่งก็จะลงมือจัดการครั้งหนึ่ง! ”
ขณะที่พูด ชายร่างกำยำสองคนก็ได้โยนตัวผู้ชายที่เสื้อผ้าไม่เรียบร้อยคนหนึ่งออกมา แล้วกระแทกลงไปบนพื้นอย่างแรง
ชายผู้นั้นล้มหน้าคว่ำกลิ้งไปมา จนกลิ้งตัวมาถึงด้านหน้าเท้าของผู้อาวุโสซู่มั่น
“ไอ้สารเลว ใครบอกว่าฉันไม่มีเงินล่ะ ฉันมีก็แต่เงินเท่านั้น เพียงแค่ลืมนำติดตัวมาเท่านั้นเอง พวกนายเหล่านี้ ช่างดูถูกกันเกินไปแล้ว! ”
ชายผู้นั้นคลานลุกขึ้นไปพลางก็พูดตะโกนด่าไปพลางด้วย
เมื่อชายร่างกำยำสองคนนั้นเห็นว่าเขายังกล้าดุด่าอีก ก็ถลกแขน ม้วนแขนเสื้อขึ้น และเดินออกมาด้วยสีหน้าท่าทางที่โหดเหี้ยม
“ยังจะกล้าเรียกขานตนเองว่าเป็นนายท่านต่อหน้าพวกเราอีกเหรอ? ”
“วันนี้จะต้องชกหน้าของนายให้แตกยับเยินไปเลย! ”
ชายผู้นั้นถอยหลังลงต่อเนื่อง จนมากระทบกับร่างของผู้อาวุโสซู่มั่น
เวลานี้ ผู้อาวุโสซู่มั่นตกตะลึงไปหมดแล้ว เธอมองไปยังชายที่เสื้อผ้าไม่เรียบร้อย หน้าตาดี สีหน้าค่อนข้างขาวซีด และพร้อมดาบเหล็กที่เอวที่อยู่เบื้องหน้านี้ โดยที่พูดจาอะไรไม่ออกเลย
กลายเป็นว่าเมื่อชายผู้นั้นหันหน้ากลับมามอง ก็จดจำเธอขึ้นได้ หัวเราะเสียงดังและพูดว่า: “ซู่มั่น เธอมาแล้วเหรอ มาสิมาสิ รีบมาเลย รีบมาเลย! ”
เวลานี้ผู้อาวุโสซู่มั่นเพิ่งจะตั้งสติกลับคืนมาได้ จึงรีบแสดงเจตนาสังหารขึ้น เตรียมที่จะลงมือ
ชายผู้นั้นรีบกดไปที่ไหล่ของเธอและพูดขึ้นว่า: “เงิน ฉันพูดว่าเงิน รีบนำออกมาสิ”
ผู้อาวุโสซู่มั่นสีหน้าผิดแปลกไป แล้วก็ค่อย ๆ นำเหรียญทองออกมา นั่นก็คือทองหัวอสูรของประเทศฉิงเทียน
ชายผู้นั้นรีบแย่งชิงเหรียญทองมาทันที แล้วนำมาถือไว้ในมือ พร้อมกับชี้ไปที่ชายร่างกำยำสองคนนั้นและพูดว่า: “เห็นหรือยังล่ะ เห็นแล้วหรือไม่ พวกนายไอ้หน้าโง่ทั้งสองคน ยังจะกล้าบอกว่าฉันไม่มีเงินอีก? ”
ชายร่างกำยำสองคนมองไปยังเหรียญทองในมือของชายผู้นั้น จนดวงตาแทบจะถลนออกมา
เหรียญหัวมังกรสีทองม่วง หนึ่งเหรียญสามารถแลกหนึ่งพันเหรียญทองได้เลย
ทันใดนั้น ชายร่างกำยำสองคนก็โค้งตัวลงอย่างไม่ลังเลใจ ยิ้มและพูดประจบสอพลอว่า: “นายท่าน คุณคือนายท่าน รู้อยู่แล้วว่าการแต่งกายของท่าน คนสถานะระดับท่านนี้ จะไม่มีเงินได้อย่างไรกัน เมื่อครู่พวกเราก็แค่ล้อเล่นกับท่านก็เท่านั้น”
ขณะที่พูด ชายร่างกำยำสองคนก็รีบเข้ามาปัดฝุ่นละอองบนร่างกายของชายผู้นั้น
และขณะที่พ่นน้ำลายใส่ลงไปบนฝ่ามือ เตรียมที่จะช่วยเช็ดหน้าให้กับชายผู้นั้น
ชายผู้นั้นก็เงยหน้า รูจมูกเชิดขึ้นฟ้าและพูดว่า: “ดูให้ดีนะ! มีเงินก็คือนายท่านเข้าใจไหม เห็นเหรียญทองนี้แล้วหรือยัง ฉันจะนำมันทุบพวกแกให้ตายเลย”
ชายร่างกำยำสองคนรีบตะโกนพูดขึ้นว่า: “นายท่านนำมันทุบตีฉันให้ตายเลยเถอะ ทุบตีอย่างแรงไปเลย หากฉันหลบ ฉันก็คือไอ้กระจอก”
ชายผู้นั้นโยนเหรียญทองม่วงออกไป พร้อมพูดกับผู้อาวุโสซู่มั่นว่า: “ไป เข้าไปคุยกันด้านใน! ”
ผู้อาวุโสซู่มั่นสีหน้าท่าทางเลิกลั่ก และพูดเบา ๆ ว่า: “ตกลง! ”
ทั้งสี่คนเดินกันเข้ามาในโรงน้ำชา ทุกสิ่งอย่างภายในที่ดูอลหม่านวุ่นวาย เลยทำให้ผู้อาวุโสซู่มั่นขมวดคิ้วขึ้นอย่างหนัก
บรรยากาศย่ำแย่อย่างที่สุด มีพวกชายฉกรรจ์ที่ร่างกายท่อนบนเปลือยเปล่า กินอาหารมูมมาม ดื่มสุรากันอย่างสำราญ และยังจะมีเสียงด่าทอกันอีกด้วย
ตรงใจกลาง ก็มีผู้หญิงที่เปลือยร่างครึ่งท่อน กำลังเต้นรำโชว์กันอย่างเมามันส์
ท่าทางการเต้นน่าดูหรือไม่น่าดูนั้น ไม่รู้จะประเมินอย่างไร แต่เปลือยเปล่าค่อนข้างมาก นี่คือเรื่องจริง แทบจะเหมือนว่าติดแปะผ้าสองชิ้นแล้วก็เดินกันออกมาอย่างไรอย่างนั้น
หน้าตาก็ไม่ใช่ว่าจะสวย แม้ว่าจะเป็นมาตรฐานรูปร่างหน้าตาของยักษ์ในประเทศฉิงเทียน ก็ยังถือว่าสวยงามนัก
ผู้อาวุโสซู่มั่นขมวดคิ้วหนักจนไม่รู้จะขมวดอย่างไรแล้ว แต่ชายที่อยู่ข้างกายของเธอนั้นกลับพูดขึ้นเสียงดังว่า: “จัดแบ่งโต๊ะออกมาให้ตัวหนึ่ง และเรียกผู้หญิงมาสองคน เอาสองคนเมื่อครู่นี้ แล้วก็ร้องเพลงให้ฉันฟังด้วย หากร้องไม่เพราะก็จะไม่จ่ายเงิน! ”
ชายร่างกำยำสองคนได้พาชายผู้นั้นกับผู้อาวุโสซู่มั่นมานั่งอยู่ที่มุมกำแพง จากนั้นก็พยักหน้าโค้งคำนับและเดินจากไป
เหรียญหัวมังกรสีทองม่วงนั้น เทียบเท่าได้กับรายรับของพวกเขาสิบปีเลยทีเดียว ถึงขนาดที่พวกเขาแทบจะยิ้มกันจนปากฉีก เวลานี้เพื่อต้องการจะได้เพิ่มอีกสักหนึ่งเหรียญ แล้วจะกล้าไม่ตั้งใจปรนนิบัติได้อย่างไรล่ะ
ไม่นานนัก ผู้หญิงสองคนที่ไม่ได้สวมใส่อะไรเลยก็เดินมาถึงเบื้องหน้าของชายผู้นั้น แล้วก็มุดเข้าไปในอ้อมแขนของชายคนนั้นเลย
“นายท่าน คุณช่างน่ารังเกียจจริงเลย มีเงินแต่แกล้งทำเป็นไม่มีเงิน ล้อเล่นกับพวกเราใช่ไหม! ”
ชายผู้นั้นหัวเราะเสียงดังและพูดว่า: “ถูกต้อง ก็แค่ล้อเล่น ฉันมีรูปแบบการเล่นสนุกมากมาย เดี๋ยวจะค่อย ๆ เล่นสนุกกับพวกเธอก็แล้วกัน! ”
ผู้อาวุโสซู่มั่นทนดูต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว จึงไอแฮ่กแฮ่กออกมา
ชายผู้นั้นยิ้มอย่างเข้าใจ สุดท้ายก็จับคลำไปยังบริเวณที่ขาวนวลของหญิงสาว และตีไปที่ก้นของพวกหล่อนพร้อมกับพูดว่า: “ไป ไปร้องเพลงอยู่ด้านข้าง แล้วไปนำอาหารเครื่องดื่มมาให้ฉันด้วย เนื้อจะต้องสุกนุ่ม สุราจะต้องร้อนแรง”
ผู้หญิงนั้นบิดเอวอย่างน่าหลงใหลแล้วก็เดินจากไป
ผู้อาวุโสซู่มั่นกำลังจะเอ่ยปากพูด ผู้ชายคนนั้นก็พูดขึ้นว่า: “ออกมาอยู่ด้านนอก ไม่ต้องเคร่งครัดอยู่ในระเบียบขนาดนี้ก็ได้ ทำตัวธรรมชาติ ตามสบายหน่อยก็ได้ ฉันไม่อยากที่จะได้ยินคำพูดอะไรที่เป็นทางการอีก”
ผู้อาวุโสซู่มั่นพูดขึ้นว่า: “แล้วฉันควรจะเรียกท่านว่าอย่างไรล่ะ? ”
ชายผู้นั้นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็พูดขึ้นว่า: “เรียกฉันว่าคุณชายเฟิงก็แล้วกัน ฉันอยู่ด้านนอกมักจะใช้ชื่อว่าเฟิงเทียน”
ผู้อาวุโสซู่มั่นพยักหน้าและพูดว่า: “รับทราบ คุณชายเฟิง ไม่ทราบว่าที่ท่านเรียกฉันมานี้ มีธุระเรื่องใดเหรอ? ”
เฟิงเทียนยิ้มและพูดขึ้นว่า: “เรื่องสำคัญ? ไม่มีหรอก ฉันก็แค่ให้เธอมาส่งเงินให้ฉันก็เท่านั้น”
ผู้อาวุโสซู่มั่นก็หน้ากระตุกขึ้นเล็กน้อย เฟิงเทียนหัวเราะเหอะเหอะ จากนั้นก็พูดขึ้นว่า: “แน่นอนล่ะว่า ยังต้องการที่จะมาดูการงานของพวกเธอด้วย แล้วก็ถือโอกาสหาอาหาร ให้กับเจ้าขาวกินด้วย”
ขณะที่พูด เฟิงเทียนก็หยิบสัตว์อสูรน้อยตัวหนึ่งออกมาจากเป้ากางเกงของตนเอง
นี่คือชะนีที่มีสีดำสนิท เพียงแต่ตัวเล็กน่าสงสาร มีขนาดประมาณหนึ่งฝ่ามือเท่านั้น
เมื่อออกมา ชะนีก็ต่อต้านเฟิงเทียนอยู่ขณะหนึ่ง โดยที่กวัดแกว่งแขนของมันไม่หยุด
ผู้อาวุโสซู่มั่นพูดขึ้นว่า: “คุณชายเฟิงเทียน ไม่มีธุระเรื่องอื่นจริง ๆ ใช่ไหม? ”
เฟิงเทียนยิ้มและพูดว่า: “ธุระน่ะเหรอ จะว่ามีก็มี อย่างแรกก็คือต้องการมาดูว่าสิ่งที่พวกเธอทำนั้นไปถึงไหนแล้ว อีกเรื่องหนึ่ง ก็คือเรื่องนี้”
ขณะที่พูดเฟิงเทียนก็หยิบสิ่งหนึ่งออกมา วางไว้เบื้องหน้าของผู้อาวุโสซู่มั่น
นี่คือลูกปัดหนึ่งเม็ด ภายในมีแสงเรืองรองเคลื่อนไหวอยู่ โดยแสงในบางช่วงจังหวะก็รวมตัวกันขึ้นเป็นลักษณะเงาของคนคนหนึ่ง
เฟิงเทียนชี้ไปยังเงาคนที่อยูภายในนั้นและพูดขึ้นว่า: “คนผู้นี้ก็คือลู่ฝาน ฉันคาดว่า เขาน่าจะอยู่บริเวณนี้ เธอเคยพบเห็นหรือไม่? ”