เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า - บทที่ 1806 จิตใจล่องลอย
เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1806 จิตใจล่องลอย
ท้องฟ้าสีคราม เมฆสีขาว และนกบินผ่านที่บริเวณขอบฟ้า
สายลมที่พัดโชยมาจากระยะไกล ได้แฝงกลิ่นอายความหอมของดอกไม้และใบหญ้าที่อยู่ในป่ามาด้วย
สะบัดแขนเสื้อขึ้น เส้นผมที่ตรงหน้าผากก็ขยับเล็กน้อย
ใบไม้แกว่งไสวไปมา ดวงอาทิตย์ก็สาดแสงส่องสว่างไปเรื่อย ๆ
ลู่ฝานนั่งอยู่ด้านหน้าของกระท่อมไม้ไผ่ และเงยขึ้นมองท้องฟ้า
ขณะที่นิ้วมือขยับเขยื้อนเล็กน้อยนั้น ก็พลันมีลำแสงแปลกประหลาดปล่อยออกมาจากนิ้วมือของเขา ทันใดนั้นก็แผ่กระจายเป็นวงกว้าง โดยสีของลำแสงยากที่จะบรรยาย เหมือนจะโปร่งใส แต่ก็ไม่ใช่
หลังจากที่ปล่อยคลื่นพลังนี้ออกไปแล้ว ลู่ฝานก็ค่อย ๆ หลับตาทั้งสองข้างลง
ภาพเหตุการณ์ปรากฏขึ้นในหัวสมองจำนวนนับไม่ถ้วน ซึ่งก็คือทิวทัศน์บริเวณโดยรอบนี้ทั้งหมด
เขามองเห็นแมลงที่อยู่ในดิน และก็มองเห็นสายน้ำไหลท่ามกลางป่าเขา รวมถึงนกน้อยที่โบยบินอยู่บนท้องฟ้า
ทิวทัศน์ยิ่งจะแผ่ขยายกว้างขวางไปเรื่อย ๆ เหมือนอย่างไร้จุดสิ้นสุด
“จิตใจล่องลอยไปโดยที่ร่างกายยังคงอยู่กับที่ ซึ่งสามารถมองเห็นสรรพสิ่งมากมายในโลกได้”
ลู่ฝานขยับริมฝีปาก และพูดขึ้นเบา ๆ
เพียงแต่เสียงนี้ไม่ได้ดังออกมาจากปากของเขา แต่ดังขึ้นมาจากท่ามกลางท้องฟ้า
ที่นั่นปรากฏลำแสงที่รวมตัวกันขึ้นเป็นร่างของลู่ฝาน แต่ชัดเจนว่า นั่นไม่ใช่ร่างกายที่แท้จริงของเขา แต่เป็นจิตวิญญาณของเขา
ถูกต้อง นี่ก็คือผลลัพธ์ความสำเร็จในช่วงสามเดือนมานี้ ที่ลู่ฝานได้ทำการฝึกฝนวิถีวิญญาณ
จิตวิญญาณแยกออกจากร่างกาย เพื่อมองดูสรรพสิ่งต่าง ๆ
ความรู้สึกนี้ ไม่ว่าเต๋าอื่นใด ก็หาที่เปรียบมิได้เลย
ลู่ฝานขยับเคลื่อนไหวจิตใจ จิตวิญญาญก็กลับคืนเข้ามาสู่ร่างกาย
เมื่อเปรียบเทียบกับความเร็วในการเคลื่อนไหวร่างกายของเขาเองแล้ว ความเร็วของจิตวิญญาณช่างรวดเร็วกว่าเป็นอย่างมากทีเดียว ใช้ได้แต่เพียงคำว่าพริบตาเดียวมาอธิบายได้เท่านั้น ลู่ฝานรู้สึกว่า ความเร็วนี้ ยังจะรวดเร็วกว่าการทะลุข้ามมิติเสียอีกด้วย
ถ้าในวันหนึ่ง เขาสามารถฝึกฝนให้ร่างกายของเขานั้น มีความเร็วเหมือนกับจิตวิญญาณที่แยกออกไปจากร่างกายนี้ได้แล้ว คาดว่าเขาคงจะไม่ต้องนั่งเรืออากาศธาตุเดินทางไปไหนมาไหนอีกแล้ว
จิตวิญญาณมาหยุดลงที่เบื้องหน้าตัวเขา ลู่ฝานมองไปที่โครงร่างของตนเอง
เขามองไปยังร่างกายของตนเองอย่างเงียบสงบ ด้วยความอัศจรรย์อย่างที่สุด
“ที่จริงแล้ว นี่ก็คือตัวฉันเอง”
ลู่ฝานพูดพึมพำขึ้น
น้ำเสียงไม่มีตัวตน ราวกับว่าดังขึ้นมาจากท้องฟ้า
ทันใดนั้น จิตวิญญาณก็กลับคืนสู่ร่าง
ลู่ฝานลืมตาสองข้างขึ้น
เฮ้อ!!!
ลู่ฝานถอนหายใจอย่างช้า ๆ โดยรู้สึกว่าร่างกายของตนเองจะมีอาการแข็งทื่อเล็กน้อย
แม้การที่จิตวิญญาณแยกออกจากร่างจะน่าอัศจรรย์ยิ่ง แต่ก็ไม่สามารถแยกออกไปในระยะเวลาที่นานเกิน เพราะเหมือนว่าหลังจากที่จิตวิญญาณแยกออกจากร่างแล้ว ร่างกายเนื้อหนังก็จะอยู่ในสภาพที่ใกล้จะตาย
หากว่าเกินกว่าสิบลมหายใจแล้วยังไม่กลับเข้าร่าง ร่างกายก็จะเข้าสู่สภาพความตายอย่างแท้จริง
หากจะพิจารณาจากมุมมองของเต๋าแห่งชีวิต นั่นก็คือว่าในช่วงเวลาที่ลู่ฝานได้แยกจิตวิญญาณออกจากร่างไปนั้น ก็ได้นำพาสภาพชีวิตความดำรงอยู่ทั้งหมดไปด้วย
ร่างกายที่ไม่มีชีวิต ก็เป็นเพียงแค่โครงร่าง เป็นร่างศพก็เท่านั้น
ลู่ฝานขยับเคลื่อนไหวร่างกาย แล้วก็ค่อย ๆ ลุกขึ้น
จิตวิญญาณกลับเข้าสู่ภายในตันเถียนอีกครั้ง เขาสามารถรู้สึกได้ว่าเมื่อจิตวิญญาณของตนเองแยกออกจากร่างไปแล้วกลับคืนสู่ร่างอีกครั้งนั้น เหมือนกับว่าตนเองจะมีความแข็งแกร่งมากขึ้น
นี่ก็คือวิธีการฝึกฝนที่ได้กล่าวถึงในตำรา ซึ่งเดิมทีลู่ฝานก็ยังคงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
แต่ในตอนนี้ เขาเชื่อโดยสมบูรณ์แล้ว
ซึ่งในตำราไม่ได้เอ่ยถึง ตกลงเป็นเพราะอะไรกันแน่
แตลู่ฝานได้คาดเดาว่า อาจจะเป็นเพราะ เมื่อจิตวิญญาณแยกออกจากร่าง ก็จะปนเปื้อนวิถีแห่งฟ้าดิน เลยทำให้ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้น!
แน่นอนว่านี่ก็เป็นเพียงการคาดเดาของเขา จะจริงหรือไม่จริงนั้น ก็ยังคงต้องรอให้เขาศึกษาค้นคว้าต่อไป
ความอัศจรรย์ของวิถีเต๋า มันช่างเหนือกว่าที่เขาจินตนาการ แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ตอนนี้ก็ถือว่าเขาได้เข้าสู่ขั้นต้นแล้ว
สำหรับวิธีการยกระดับของจิตวิญญาณที่ในตำราได้กล่าวถึงนั้น ลู่ฝานยังไม่คิดที่จะใช้ เพราะนี่คือวิธีฝึกฝนชั่วร้ายดั้งเดิมทั้งหมด
อาทิเช่นกลืนกินจิตญาณ ด้วยการบังคับดึงจิตวิญญาณของคนอื่นออกมา แล้วกลืนกินเข้าไปในร่างกายของตนเอง เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับจิตวิญญาณ
หรือว่าจะเป็น การรวบรวมสะสมวิญญาณแค้น อาศัยออร่าปีศาจหลอมขึ้นเป็นสระเลือด การสังหารผู้คนจำนวนมาก เพื่อนำโครงกระดูกมาเติมเต็มสระ การรวบรวมเลือดลมและกลิ่นศพมาจัดวางเป็นค่ายกล แล้วหลอมจนเป็นพลังที่จิตวิญญาณต้องการ จากนั้นก็กลืนกินลงไป
ทั้งหมดล้วนเป็นวิธีการที่ทำร้ายผู้อื่นแต่เป็นประโยชน์กับตนเอง และได้รับผลลัพธ์มาอย่างรวดเร็ว
วิธีการเหล่านี้ สำหรับผู้ฝึกชั่วร้ายแล้ว ก็คือวิธีการฝึกฝนที่ธรรมดาทั่วไป มิเช่นนั้นพวกเขาทุกคนจะต้องการพื้นที่ส่วนหนึ่งไว้เลี้ยงมนุษย์เพื่ออะไรล่ะ
แต่ลู่ฝานมองว่า สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่เขาอยากจะกระทำ
นี่ไม่ใช่เพราะว่าดูหมิ่นและเหยียดหยามวิธีการเหล่านี้ ตรงกันข้าม หลังจากที่ได้ทำการศึกษาค้นคว้าวิธีการเพิ่มพลังชั่วร้ายเหล่านี้แล้ว ลู่ฝานกลับรู้สึกตกตะลึงต่อวิธีการที่บ้าคลั่ง รวมถึงความคิดที่แปลกประหลาดเหล่านี้ของผู้ฝึกชั่วร้ายอย่างมากเลยทีเดียว
แน่นอนว่านี่คือวิธีการเพิ่มพลังที่ดีที่สุด โดยไม่ต้องพูดว่าทำแบบนี้เป็นการฆ่าคนมากเกินไป จะต้องได้รับผลกรรมตามสนอง ทั้งนี้ผู้ฝึกชี่อย่างแท้จริงนั้นการที่จะกลั่นยาอายุยืนหนึ่งเม็ด ก็จะต้องฆ่าสิ่งมีชีวิตไม่น้อยไปกว่าชีวิตในหลุมหมื่นศพของผู้ฝึกชั่วร้ายเลย
เพียงแต่ แม้ว่าวิธีการแบบนี้จะทำให้เพิ่มพลังขึ้นได้อย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่เสถียรมั่นคง
ผู้ฝึกชั่วร้ายจำนวนมากที่ใช้วิธีการแบบนี้เพื่อได้รับพลังเพิ่มขึ้นนั้น ต่างก็ไม่ได้คำนึงถึงขีดจำกัดที่ตนเองสามารถรับได้
พวกเขาคือว่ามีเท่าไรก็ดูดกลืนเท่าไร ร่างกายพังทรุดโทรม ไม่เป็นไร จะน่าเกลียดก็น่าเกลียดไป ร่างกายครึ่งท่อนถูกระเบิดจนสิ้นสภาพไปแล้ว ก็หาร่างศพมาต่อเติมเข้าไปก็สามารถใช้งานต่อได้ เพราะยังไงผู้ฝึกชั่วร้ายก็มีวีธีการต่อร่างได้อยู่แล้ว
ดังนั้น ผู้ฝึกชั่วร้ายโดยส่วนใหญ่จะมีรูปร่างหน้าตาอัปลักษณ์ ซึ่งนี่ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาต้องการ ในความเป็นจริงแล้วผู้ฝึกชั่วร้ายจำนวนมาก ต่างก็พูดว่าในตอนแรกนั้น ตัวเองก็มีรูปร่างหน้าตาดี แต่ในวันนั้น ฉันกลืนกินอะไรเข้าไปอย่างนั้นอย่างนี้
ดังนั้น แม้ว่าผู้ฝึกชั่วร้ายจะมีจำนวนน้อย แต่ต่างก็มีวิทยายุทธที่ไม่เลวทั้งนั้น ซึ่งสิ่งสำคัญก็คือ เมื่อพลังของพวกเขาเข้าสู่สภาวะที่จำเป็นต้องรับรู้เข้าใจวิถีเต๋าแล้ว ก็ไม่มีวิธีการอะไรที่ดีไปกว่านี้แล้ว
ยิ่งไปถึงช่วงหลังก็ยิ่งจะยากขึ้น ถึงขนาดที่เป็นเพราะปัญหาของร่างกาย ยากที่จะพัฒนาข้ามขั้น โดยปัญหาเล็กน้อยที่ไม่ยอมแก้ไขในตอนแรกนั้น เมื่อมาถึงตอนหลัง ก็จะสะสมจนกลายเป็นปัญหาใหญ่ ถึงขั้นสามารถหยุดยั้งการพัฒนาของพวกเขาไปตลอดชีวิตได้เลย
นั่นก็คือว่า วิธีการของผู้ฝึกชั่วร้าย ส่วนมากจะเป็นการนำเอาความสำเร็จในอนาคต มาแลกเปลี่ยนกับพลังในปัจจุบันนี้
โดยที่ไม่รู้ว่าจะเป็นผลดีหรือผลร้ายกันแน่ แต่หากให้ทุกคนมาตัดสินใจเลือก ผู้คนส่วนมากก็ยังคงเลือกที่จะให้ตนเองในปัจจุบันมีความแข็งแกร่งมากขึ้น
เพราะเรื่องราวในอนาคต ใครจะพูดได้อย่างแม่นยำล่ะ ไม่แน่ว่าวันไหนออกจากบ้านมาแล้วประสบพบเจอกับเรื่องอะไรจนถึงกับต้องตายลงที่ด้านนอกก็เป็นได้ อย่างนั้นเลือกให้ตอนนี้มีความแข็งแกร่งมากหน่อยยังจะดีเสียกว่า สำหรับในอนาคตแล้ว เมื่อถึงเวลานั้นก็ค่อยว่ากันอีกที
แต่ความคิดดังกล่าวนี้ ในสายตาของลู่ฝานนั้น ก็ถือว่าไม่ผ่านแล้ว
เพราะว่าลู่ฝานมีความมั่นใจในตนเองอย่างมาก ในอนาคตเขาจะต้องเข้าสู่ขั้นอริยปราชญ์แน่นอน
สิ่งใดที่มาขัดขวางการก้าวหน้าของเขา ต่างเป็นสิ่งที่เขาไม่พึงปรารถนา โดยวิธีการฝึกฝนของผู้ฝึกชั่วร้าย สามารถทำให้เขาทะลุได้หนึ่งถึงสองชั้น ได้ช่วงระยะเวลาไม่นาน
แต่เพื่อที่จะทะลุหนึ่งถึงสองชั้นนั้น ได้มาขัดขวางการทะลุขั้นแดนของเขา ลู่ฝานจึงรู้สึกว่าไม่คุ้มค่า
ดังนั้นวิธีการเพิ่มพลังหลังจากวิถีวิญญาณ ลู่ฝานไม่ได้สนใจเลย แต่สำหรับวิธีการโจมตีของวิถีวิญญาณ เขาได้ทำความเข้าใจบ้างเล็กน้อย
ในนั้น ที่มีประสิทธิภาพที่สุดนั้น ก็คือวิชาดับวิญญาณอย่างแน่นอนแล้ว
เมื่อฝึกฝนวิถีวิญญาณแล้ว ลู่ฝานไม่เพียงแต่จะเพิ่มพลังอานุภาพของวิชาดับวิญญาณขึ้นได้อย่างมากแล้ว เขายังได้ลองผลักดันเสริมแกร่งปราณชี่ของตนเอง และพลังแห่งโลกของตนเองขึ้นอีกด้วย
ผลลัพธ์น่ะเหรอ มันพูดยาก ลู่ฝานรู้สึกว่าตนเองมีโอกาสที่จะต้องหาใครสักคนมาทดลองดูจะเป็นการดีที่สุด
แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่า กระบวนท่าดังกล่าว จะกลายเป็นหนึ่งในกระบวนท่าที่แข็งแกร่งที่สุดของเขาแน่นอน
ยังมีอีกอย่างก็คือ ในตำราม้วนวิถีวิญญาณนั้น ยังมีการจดบันทึกวิธีการใช้จิตวิญญาณในแบบต่าง ๆ ด้วย หรือจะพูดว่า เป็นเคล็ดลับวิชาที่สนับสนุนกันก็ได้
ลู่ฝานลองฝึกฝนดูเล็กน้อย ผลลัพธ์ไม่เลวทีเดียว ฝึกฝนครู่เดียวก็เป็นแล้ว
อีกทั้งหลังจากที่ใช้วิชานี้แล้ว มีผลลัพธ์ในการฆ่าคนในแบบที่มองไม่เห็น ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ กระบวนท่าเหล่านี้ ลู่ฝานยังสามารถใช้ปราณชี่ของตนแปรเปลี่ยนเป็นพลังแห่งจิตวิญญาณแล้วปล่อยออกไปได้ มันช่างเหมือนเป็นเคล็ดวิชาที่มีขึ้นเฉพาะกับตัวเขาเลยทีเดียว
ลู่ฝานฝึกฝนอย่างเบิกบานใจ หากเป็นนักบู๊คนอื่นที่ฝึกฝนจิตวิญญาณแล้วใช้ทักษะวิชาเหล่านี้นั้น คาดว่าสามารถเกิดผลลัพธ์ถึงขั้นเคล็ดวิชาบู๊ระดับดินก็ถือว่าใช้ได้แล้ว
แต่สำหรับการใช้งานของเขาแล้ว จะต้องมีผลลัพธ์ถึงขั้นระดับฟ้าอย่างแน่นอน
ทุกครั้งที่คิดถึงเรื่องนี้ ลู่ฝานก็จะมีรอยยิ้มขึ้นที่มุมปาก นี่สินะถึงเรียกว่าได้รับประโยชน์อย่างมหาศาล
ถึงขนาดที่ว่าทำให้เคล็ดวิชาที่เขาเป็นมาแต่เดิมนั้น เกิดเป็นความคิดใหม่ ๆ ขึ้นแล้ว
เมื่อเข้าใจและชำนาญอย่างหนึ่งที่สำคัญแล้วก็จะสามารถเข้าใจและชำนาญในเรื่องอื่น ๆ ด้วย ลู่ฝานรู้สึกว่าตนเองค่อย ๆ ก้าวเข้าสู่เส้นทางการปรับปรุงเคล็ดวิชาแล้ว
บางทีนี่อาจจะเป็น การก้าวหน้าอย่างหนึ่งก็ได้!
ขณะที่กำลังฝึกฝนอยู่อย่างสบายใจ ทันใดนั้น ก็มีหนึ่งเงาร่างของคนปรากฏขึ้นในระยะที่ไม่ไกล
ลู่ฝานเห็นแวบเดียวก็รู้ว่าเป็นใคร ยิ้มและพูดขึ้นว่า: “ผู้อาวุโสซู่มั่น ฉันนึกว่าคุณลืมฉันไปแล้วเสียอีก”
ผู้อาวุโสซู่มั่นเดินเข้ามาหา แล้วก็มองสังเกตลู่ฝานเล็กน้อย ยิ้มและพูดขึ้นว่า: “พูดเอาไว้แล้วว่าสามเดือน จะลืมนายไปได้อย่างไรล่ะ เหมือนว่านาย จะเรียนรู้ได้รับประโยชน์อย่างมากเลยนะ? ”
ลู่ฝานพูดขึ้นว่า: “แน่นอน ภายในกระท่อมไม้ไผ่ของท่านมีหนังสือตำราอย่างครบถ้วน ดีมากเลย ฉันได้เรียนรู้และได้รับผลประโยชน์อย่างมาก! ”
ผู้อาวุโสซู่มั่นพูดว่า: “ฉันนึกว่านายจะดื้อดึงไม่ยอมฝึกฝนวิชาชั่วร้ายเหล่านี้เสียอีก ดูเหมือนว่านายกับอาจารย์ของนายไม่เหมือนกันเลยจริง ๆ เขาหัวแข็งมีความคิดโบราณ ส่วนนายเป็นกันเองและยอมปรับตัวเข้ากับสถานการณ์”
ลู่ฝานพูดขึ้นว่า: “นี่อาจจะเป็นจุดที่ฉันเทียบไม่ได้กับอาจารย์ของฉัน”
ผู้อาวุโสซู่มั่นหัวเราะ ชะงักไปครู่หนึ่งแล้วก็พูดขึ้นว่า: “ไปกันเถอะ ตามฉันมา นายฝึกฝนสำเร็จแล้ว สมควรแก่เวลาที่จะพานายไปพบคนคนหนึ่งแล้ว”
ขณะที่พูดนั้น ผู้อาวุโสซู่มั่นก็เดินเข้ามา แล้วจับไปที่ไหล่ของลู่ฝาน
ทันใดนั้น ลู่ฝานก็รู้สึกว่ามีมิตินับไม่ถ้วนได้ผ่านร่างกายของเขาไป
เพียงพริบตาเดียว เขาก็มาถึงสถานที่ที่เขาไม่เคยจะรู้จักเลย
ขณะที่เพิ่งยืนลงอย่างมั่นคง ลู่ฝานก็เห็นว่าที่ข้างกายยังมีวัยรุ่นอีกสี่คน ที่เหมือนกับเขา น่าจะมีอายุประมาณยี่สิบปีเท่านั้น โดยเป็นชายสามคนเป็นหญิงหนึ่งคน ใบหน้าท่าทางยิ้มแย้ม
ด้านหลังของพวกเขาแต่ละคนนั้น ต่างก็มีชายชราคนหนึ่งยืนอยู่
ลู่ฝานมองดูแล้วเหมือนว่าจะคุ้นตาอยู่บ้าง เหมือนจะเป็นจำนวนหนึ่งในผู้อาวุโสที่ฝึกชั่วร้ายสิบคนที่เคยพบเห็นในครั้งก่อน
เมื่อเงยหน้าขึ้นมอง ท้องฟ้าก็พลันกลายเป็นสีดำ และยังจะมีฟ้าผ่าสีแดงราวกับมังกรเคลื่อนไหวปรากฏขึ้นอย่างเลือนลางด้วย
เบื้องหน้า คือพระราชวังขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง
พระราชวังอยู่ในสภาพที่ทรุดโทรมมาก เสาหินค้ำสีเขียวเทา เอนเอียงคดเคี้ยว และเศษหินกระจายเกลื่อนไปทั่ว
ลู่ฝานจ้องมองไปยังพระราชวังแห่งนั้น เหมือนว่าจะมองเห็นค่ายกลสีแดงลาง ๆ
ผู้อาวุโสซู่มั่นหันมองไปที่ชายชราคนอื่น กี่คนนั้นก็พยักหน้า จากนั้นก็ถอยหลังลงไป
ขณะที่ถอยหลังนั้น คุณยายตาเดียวคนหนึ่งก็พูดขึ้นว่า: “วันนี้ พวกนายห้ามใช้วิชาชั่วร้ายใด ๆ ผู้ที่ฝ่าฝืนจะต้องตาย! ”
ชายชราคนหนึ่งพูดรับช่วงต่อว่า: “ห้ามใช้พลังสามวิถีอันได้แก่ เลือด ศพ และพิษ ผู้ที่ฝ่าฝืนจะต้องตาย! ”
ชายครึ่งหน้าคนหนึ่งหัวเราะและพูดว่า: “ห้ามใช้ยา สมุนไพรหรืออาวุธใด ๆ ทั้งสิ้น ผู้ที่ฝ่าฝืนจะต้องตาย! ”
ผู้อาวุโสซู่มั่นพูดเสียงดังขึ้นว่า: “ภารกิจหน้าที่สำคัญของพวกเธอนั้น ก็คือต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปให้ได้”
สุดท้าย ชายร่างกำยำที่มีหนวดเคราม้วนงอคนหนึ่งได้กางแขนขึ้นและพูดว่า: “พยายามดิ้นรนกันเถอะ พวกเด็กน้อยทั้งหลาย สิ้นหวังใช่ไหมล่ะ พวกเด็กน้อยทั้งหลาย! ”
เงาร่างของผู้อาวุโสทั้งสี่คนหายวับไปในความมืด ลู่ฝานจึงค่อย ๆ ขมวดคิ้วขึ้น