เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า - บทที่ 1807 หลุมพรางอย่างชัดเจน
เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 1807 หลุมพรางอย่างชัดเจน
ชี่สีดำลอยขึ้นมาจากใต้ฝ่าเท้า และแฝงมาซึ่งลมที่ทำให้ทุกคนรู้สึกหนาวเย็นด้วย
บริเวณโดยรอบอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวไปหมด นอกจากพระราชวังที่อยู่เบื้องหน้าแล้ว ก็เป็นพื้นดินที่มีแต่ต้นหญ้าสีดำขึ้นรกรุงรัง
ลู่ฝานได้นำกระบี่หนักไร้คมของตนเองออกมา ส่วนเจ้าดำก็มุดออกมาจากเข็มขัดของเขา แล้วปีนป่ายขึ้นไปบนไหล่ มองไปยังบริเวณโดยรอบ พร้อมกับส่งเสียงคำรามเบา ๆ ขึ้นโดยพลัน
ลู่ฝานตีไปที่หัวของเจ้าดำอย่างเข้าใจ เขารู้ว่าเจ้าดำกำลังเตือนเขาอยู่ว่า ที่แห่งนี้มีสิ่งที่อันตรายน่ากลัวดำรงอยู่
แต่จุดนี้ ลู่ฝานไม่ต้องคิดก็รู้ได้ ไม่อย่างนั้นแล้ว อันตรายที่ว่านั้นจะมาจากที่ไหนกัน?
ลำพังแค่สี่คนข้างกายของเขานี้น่ะเหรอ?
ลู่ฝานหันหน้ามองไปยังกี่คนที่อยู่ด้านข้าง คนหนึ่งมีรูปร่างสูงผอม ที่เอวมีกระบี่ยาวคู่ เล่มหนึ่งสีแดงอีกเล่มหนึ่งสีฟ้า ใบหน้าแฝงไปด้วยความหยิ่งทะนง สายตาเต็มไปด้วยความกำเริบเสิบสาน
อีกคนหนึ่งเป็นชายรูปร่างกำยำ สูงประมาณเกือบสิบเมตร ด้านหลังแบกค้อนยักษ์อยู่หนึ่งด้าม ที่มีความแหลมคม และมีลำแสงที่เย็นยะเยือกวนเวียนอยู่
คนที่สามเป็นชายตัวเตี้ย น่าจะมีความสูงประมาณครึ่งหนึ่งของตัวลู่ฝาน รูปร่างหน้าตาพอใช้ได้ แต่เห็นแล้วค่อนข้างจะตัวเล็กไปหน่อย นอกจากส่วนศีรษะแล้ว ร่างกายส่วนอื่นก็ถูกปกคลุมโดยชุดคลุมยาวสีดำทั้งหมด
ใบหน้ายิ้มแย้ม แสดงออกถึงความมีมิตรภาพ เมื่อลู่ฝานมองไปทางเขาแล้ว เขายังจะโบกไม้โบกมือทักทายลู่ฝานด้วย
สุดท้ายก็คือหญิงสาวคนหนึ่ง มีรูปร่างที่สะโอดสะอง โดยเฉพาะช่วงเนินอก ที่อวบอิ่มอย่างที่สุด ซึ่งชุดนักบู๊ก็แทบจะปกปิดเอาไว้ไม่อยู่แล้ว
ใบหน้าน่ะเหรอ ที่จริงแล้วก็พอใช้ได้ แต่ก็แค่รอยแผลยาวที่ปลายขอบตานั้น ทำให้เสียโฉมลดความงดงามลงเล็กน้อย
บริเวณเอวของเธอมีกรรไกรทองเล่มหนึ่ง ซึ่งลู่ฝานก็เพิ่งจะเคยเห็นอาวุธแบบนี้เป็นครั้งแรก
ด้านบนกรรไกร มีมังกรคะนองน้ำสีทองเคลื่อนไหว สว่างเรืองแสง ซึ่งไม่ใช่สิ่งของธรรมดาแน่นอน
ทั้งสี่คนมองหน้ากันไป มองหน้ากันมา ก็ไม่มีใครที่จะเดินขึ้นมาด้านหน้า ถึงขนาดที่ไม่มีใครที่จะก้าวเท้าออกมาเลย เหมือนต่างก็กำลังรอให้คนอื่นเคลื่อนไหวก่อน
เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ดูเหมือนว่า พวกเขาก็น่าจะไม่รู้ว่าวันนี้จะต้องทำอะไร
ทันใดนั้น ชายเตี้ยคนนั้นก็ได้ส่งเสียงพูดขึ้นก่อนแล้ว
“ทุกท่าน ฉันชื่อหลวี่เหวย เป็นผู้ดูแลของหน่วยย่อย19 วันนี้ได้มาพบเจอกับยอดฝีมือทั้งสามท่าน ช่างเป็นเกียรติและโชคดีของฉันเสียจริง! ”
เมื่อพูดจบ หลวี่เหวยก็ยกมือแสดงความเคารพไปยังลู่ฝานและคนอื่น ๆ พร้อมกับโค้งคำนับตัวลงต่ำมาก เหมือนจะชื่นชมยกย่องในตัวลู่ฝานและคนอื่น ๆ มานานแล้ว
ทั้งสามคนไม่ได้พูดอะไร โดยมองไปยังหลวี่เหวยอย่างสงบนิ่ง
หลวี่เหวยเองก็ไม่ได้โกรธเคือง และพูดต่อว่า: “เมื่อครู่ทั้งสามท่านก็ได้ยินแล้วว่า การทดสอบในวันนี้ เกรงว่าจะยากลำบากเป็นอันมาก ยากลำบากจนถึงกับทำให้พวกเราหมดหวัง แบบนี้ดีไหมก่อนที่การทดสอบยังไม่ได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ พวกเราทั้งสี่คนมาทำข้อตกลงกันเอาไว้ก่อนไหมล่ะ? ”
ชายผอมสูงได้ชักกระบี่คู่ของตนเองออกมา จนกระบี่เกิดเป็นประกายไฟ และพูดว่า: “จะทำข้อตกลงแบบไหนกัน? ลองพูดมาให้ฟังหน่อย”
หลวี่เหวยพูดอย่างยิ้มแย้มว่า: “ฉันเชื่อว่าทั้งสามท่านได้ผ่านรอบการช่วงชิงกระบี่นั้นมากันแล้ว ด้านพลังความสามารถน่ะเหรอ คงไม่เป็นที่สงสัยอย่างแน่นอน โดยฉันเป็นเพียงแค่ผู้ดูแลทั่วไปคนหนึ่ง หากพูดออกมาทั้งสามท่านคงจะหัวเราะแน่ ที่ฉันสามารถผ่านรอบการช่วงชิงกระบี่มาได้นั้น ก็เป็นเพราะโชคช่วยแท้ ๆ พอดีว่า คนที่ช่วงชิงกระบี่มาได้นั้น ได้ตายลงที่เบื้องหน้าของฉัน ฉันแค่เอื้อมมือไปหยิบก็ได้กระบี่มาครองแล้ว จากนั้นพวกเขาก็ถูกฆ่าจนหมดเกลี้ยง ฉันก็ผ่านด่านมาได้ พลังความสามารถของฉัน ไม่ได้เรื่องอย่างแน่นอน และตัวฉันนั้น ก็กลัวตายอย่างมากด้วย ซึ่งมีคำสั่งมาจากเบื้องบน ฉันก็ต้องปฏิบัติตาม จึงได้มาอยู่ที่นี่ยังไงล่ะ แต่ฉันไม่ได้มีความคิดที่จะช่วงชิงสิ่งของกับพวกท่านทั้งสามโดยเด็ดขาด ฉันก็แค่อยากจะผูกมิตรสานสัมพันธ์กับทั้งสามท่าน โดยฉันจะพยายามอย่างเต็มที่ เพื่อช่วยให้ทั้งสามท่านผ่านการทดสอบในครั้งนี้ไปให้ได้ ขอแค่ทั้งสามท่านอย่าได้ลงมือทำอะไรฉันเลยจะได้ไหม? ”
ชายผอมสูงแสยะยิ้มและพูดขึ้นว่า: “คำโกหกที่ไม่ได้เรื่องแบบนี้ นายยังจะกล้าพูดออกมาอีกเหรอ”
ชายกำยำเองก็หัวเราะและพูดว่า: “คำโกหกนี้ แม้แต่ฉันอูเจิ้นก็ยังโกหกไม่ได้ นายยังจะคิดไปโกหกกับปีศาจกระหายเลือดเหลียงซง และปีศาจคร่าชีวิตเจียวเม่ยเนียงที่โด่งดังได้อย่างนั้นเหรอ”
นิ้วมือของชายกำยำชี้ผ่านร่างของชายผอมสูงและหญิงสาวนั้นไป เขาเหมือนจะรู้จักคุ้นเคยกับคนอื่นนี้เป็นอย่างดีทีเดียว
หลวี่เหวยถึงกับตกตะลึง สีหน้าขาวซีดลงอย่างกะทันหัน และพูดขึ้นอย่างตะกุกตะกักว่า: “ปีศาจกระหายเลือด ปีศาจคร่าชีวิต? พระเจ้า……พระเจ้า”
เหลียงซงส่งเสียงฮึอย่างเย็นชาไม่หยุด มองไปยังชายกำยำและพูดว่า: “คนฆ่าสัตว์อู ชื่อเสียงของนายก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีคนรู้จักสักหน่อย ซึ่งก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าพวกเราเลย”
อูเจิ้นสีหน้าเย็นชา และพูดขึ้นว่า: “อย่ามาเรียกฉันว่าคนฆ่าสัตว์อู ฉันรังเกียจชื่อนี้มาก”
อูเจิ้นจ้องเขม็งไปที่เหลียงซง ด้วยสีหน้าที่แฝงไปด้วยกลิ่นอายการสังหาร
เหลียงซงไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย กระบี่คู่ที่อยู่ในมือของเขา เริ่มแฝงไปด้วยเงาลวงตาแล้ว
“ไอ้พวกคนขี้ขลาด ที่รู้จักแต่ดุด่าทะเลาะวิวาท! ”
เจียวเม่ยเหนียงทนดูต่อไปไม่ได้ จึงได้ก้าวเดินขึ้นไปข้างหน้าเป็นคนแรก
เมื่อเธอเคลื่อนไหว เหลียงซงกับอูเจิ้นก็รีบเดินตามทันที ลู่ฝานเองก็ได้เก็บเจ้าดำกลับใส่ในเข็มขัด แล้วก็เดินก้าวขึ้นไปข้างหน้า พร้อมกับถือกระบี่หนักไร้คมอยู่ในมือ
เขาก้าวเดินอย่างช้า ๆ จงใจที่จะเดินอยู่เป็นคนสุดท้าย
แต่ในขณะนั้น หลวี่เหวยก็เดินตามติดเข้ามา พร้อมกับยิ้มอย่างประจบให้กับลู่ฝานและพูดขึ้นว่า: “คุณชาย แล้วท่านเป็นปีศาจอะไรล่ะ? ”
ลู่ฝานพูดตอบกลับว่า: “ขอโทษด้วย ฉันเป็นแค่เทวทูตคนหนึ่งจากหน่วยสามสิบสามเท่านั้น เหมือนกันกับนาย ที่ผ่านด่านเข้ามาได้เพราะโชคช่วย ซึ่งไม่สามารถจะเรียกขานได้ว่าปีศาจแต่อย่างใด”
หลวี่เหวยยิ่งขยับเข้ามาใกล้มากขึ้น และกระแทกไปที่ตัวของลู่ฝานเบา ๆ พร้อมกับพูดว่า: “อย่าเป็นแบบนี้สิ พูดมาหน่อยก็ไม่เห็นจะเป็นไรเลย วันนี้ฉันโชคดีมาก ไม่นึกว่าจะสามารถได้พบเจอกับยอดฝีมือหลายท่านในตำนาน สำหรับฉันมองว่า ยิ่งจะถ่อมตัวมากเท่าไร ก็ยิ่งจะเป็นคนที่แข็งแกร่งมากที่สุด ท่านจะต้องมีประวัติความเป็นมาที่ยิ่งใหญ่แน่นอน ท่านคือเจ้าสำนักแห่งใดเหรอ? หรือว่าเป็นถึงเซียนปีศาจแล้ว? ”
ลู่ฝานสายตาดุดันขึ้นเล็กน้อย เขามองไปที่หลวี่เหวยและพูดขึ้นว่า: “ขอโทษด้วย ที่ทำให้นายต้องผิดหวัง อีกทั้ง หากนายยังจะมาเล่นลูกไม้นี้กับฉันอีก ฉันจะฆ่านายทิ้งเดี๋ยวนี้เลย! ”
ขณะที่พูด ลู่ฝานก็ขยับไหล่เล็กน้อย แมลงน้อยตัวหนึ่งก็กระเด็นออกจากร่างของเขา ตกลงไปบนมือของหลวี่เหวย
หลวี่เหวยรีบเก็บหนอนตัวนั้นขึ้น และรอยยิ้มที่ประจบสอพลอบนใบหน้าก็เลือนหายไปอย่างไร้ร่องรอย
หลวี่เหวยออกห่างมาจากลู่ฝาน และสายตาที่มองไปยังลู่ฝานนั้น ก็มืดมนลงไปด้วยเช่นกัน
ดวงตาของลู่ฝานแฝงไปด้วยความดุดัน คิดที่จะใช้วิธีการนี้กับเขา มันช่างอ่อนหัดเกินไปหน่อยแล้ว เมื่อครู่ที่หลวี่เหวยกระแทกไปที่ตัวเขานั้น ลู่ฝานก็รู้สึกได้เลยว่ามีอะไรที่ผิดปกติ
หนอนตัวน้อยนั้นมองดูแล้วไม่มีอะไร แต่อาจจะเป็นไปได้ว่ามีพลังทำลายที่รุนแรงอย่างที่สุด วิธีการของผู้ฝึกชั่วร้าย ไม่สามารถที่จะอธิบายด้วยหลักเหตุผลทั่วไปได้อย่างเด็ดขาด
ทันใดนั้น เจดีย์เสวียนเก้ามังกรในร่างของลู่ฝานก็หัวเราะและพูดขึ้นว่า: “เจ้านายผู้ยิ่งใหญ่ ไม่ต้องถึงกับโมโหหรอก เมื่อครู่ฉันได้ลงมือแก้แค้นให้กับท่านแล้ว”
ลู่ฝานถามขึ้นด้วยความสงสัยว่า: “แก้แค้นอะไรกัน? ”
เจดีย์เสวียนเก้ามังกรหัวเราะและพูดว่า: “เมื่อครู่เขาคิดที่จะใช้หนอนพิษทำร้ายท่าน ขณะที่เขาสัมผัสตัวท่านนั้น ฉันก็ได้พ่นสิ่งของพิเศษอย่างหนึ่งเข้าไปในร่างของเขาแล้ว”
ลู่ฝานพูดว่า: “คืออะไร? ”
เจดีย์เสวียนเก้ามังกรตอบว่า: “สัตว์อสูรสายลมที่รวมตัวกันเป็นก๊าซ เพียงแค่ท่านสั่งการ เขาก็จะรู้สึกได้ว่าสัตว์อสูรสายลมเข้าสู่ร่างกายเขาแล้ว นั่นคงจะเป็นความรู้สึกที่ เย็นสบายจับใจ เย็นสบายถึงใจอย่างที่สุด! ”
ลู่ฝานมีรอยยิ้มขึ้นที่มุมปาก
ดูเหมือนว่า ครั้งนี้หลวี่เหวยคงจะฉวยโอกาสไม่สำเร็จและยังต้องขาดทุนอีกต่างหาก หากเขารับรู้สถานการณ์ดังกล่าวแล้ว เกรงว่าจะต้องเสียใจอย่างหนักเป็นแน่
ขณะที่พูด เจียวเม่ยเหนียงก็มาถึงเบื้องหน้าพระราชวังที่ทรุดโทรมนี้แล้ว โดยเมื่อใช้มือโบกพัดเศษหินบนพื้นดินด้านหน้าจนหมด ทันใดนั้นก็ปรากฏค่ายกลขนาดใหญ่ขึ้น
ค่ายกลสีแดงเลือดเรืองแสงจาง ๆ เจียวเม่ยเหนียงยิ้มและพูดขึ้นว่า: “หลุมพรางที่ชัดเจนขนาดนี้ ไอ้หน้าโง่คนไหนจะตกลงไปกันล่ะ! ”
ลู่ฝานมองไปที่ค่ายกล แล้วก็ขมวดคิ้วขึ้นอย่างหนัก และในใจของเขาก็เกิดลางสังหรณ์ที่ไม่ดีขึ้นมาโดยพลัน