เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า - บทที่ 229
ลู่ฝานคิดว่าตัวเองจำเป็นต้องทำเหมือนศิษย์พี่หานเฟิง อยู่ในสถาบันสอนวิชาบู๊อีกสักสองสามปี หาอักษรยันต์บู๊มาสี่ห้าอัน นี่เป็นเหตุผลที่ทำไมหานเฟิง ฉู่สิง และอาจารย์เต้ากวง ถึงให้ลู่ฝานออกมา ถ้ามาช้า อาจไม่มีอักษรยันต์แล้ว
คนอื่นบนหอคอย ส่วนใหญ่สีหน้าราบเรียบ เห็นได้ชัดว่าพวกเขารู้มานานแล้ว มีเพียงคนใหม่ที่เพิ่งเข้าร่วมการต่อสู้จัดอันดับของสถาบันเป็นครั้งแรกเหมือนลู่ฝาน ที่มีสีหน้าตกตะลึง
มีอักษรยันต์บู๊อันนี้ ความเร็วการฝึกฝนของพวกเขา จะทิ้งห่างนักเรียนทั่วไป
ความห่างนี้จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งไม่สามารถตามทัน
ไม่สามารถตามได้ก้าวหนึ่ง ก็จะตามไม่ทันอีก นี่คือการฝึกฝน นี่คือโลก
นักเรียนด้านล่างไม่รู้ว่าพวกคนบนหอคอยได้สิ่งดีมากแค่ไหน ตอนนี้พวกเขาส่งเสียงเชียร์ยอดฝีมือของคณะตัวเองเท่านั้น
ศิษย์พี่ใหญ่ตบไหล่ลู่ฝานแล้วพูดว่า “ไปกันเถอะ ได้ของแล้ว เราควรกลับได้แล้ว คนอ้วนก็ไม่ดี ยืนแป๊บเดียวรู้สึกเหนื่อยแล้ว”
ศิษย์พี่ใหญ่และคนอื่นแบกเหรียญทอง ลงจากหอคอย
ลู่ฝานถามว่า “กลับแล้วเหรอ”
หานเฟิงพูดว่า “ไม่กลับแล้วจะอยู่ทำไมล่ะ ดูพวกเขาทะเลาะกันเหรอ ศิษย์น้องลู่ฝาน ไม่คิดว่าเรากลับไปดูดซับเหรียญทองอันนี้ก่อน คือสิ่งสำคัญเหรอ ส่วนการต่อสู้จัดอันดับของสถาบัน ยังมีเวลาอีกหนึ่งเดือน ค่อยเป็นค่อยไป ไม่ต้องรีบร้อน”
อาจารย์เต้ากวงพยักหน้าพูดว่า “ใช่ นี่คือเรื่องสำคัญ”
ลู่ฝานถามอย่างไม่เข้าใจ “แต่เหรียญทองใช้เข้าร่วมการต่อสู้จัดอันดับไม่ใช่เหรอ เราดูดซับมัน แล้วจะเอามันเข้าร่วมการต่อสู้จัดอันดับได้ยังไงล่ะ”
ศิษย์พี่ใหญ่และคนอื่นหัวเราะเสียงดัง
ฉู่สิงตอบว่า “ศิษย์น้องลู่ฝาน นายยังไม่เข้าใจสินะ เราเป็นคณะอันดับสุดท้าย การต่อสู้จัดอันดับของสถาบัน คณะอันดับต่ำต้องไปท้าประลองคณะอันดับสูง เราอยู่ในอันดับสุดท้าย ใครจะมาท้าพวกเราล่ะ ดังนั้น ดูดซับก็ดูดซับไปสิ ไม่มีใครมาแย่งหรอก เราทำแบบนี้ทุกปี”
ลู่ฝานเข้าใจทันที ที่แท้ลำดับต่ำ ยังมีประโยชน์แบบนี้
เหรียญทองนี้เหมือนให้พวกเขาฟรีๆ
ใครว่าสวัสดิการของคณะหนึ่งเดียวแย่ แค่เหรียญทองนี้ ก็พอๆ กับสวัสดิการต่างๆ ของคณะอื่นแล้ว
นักเรียนคณะอื่นต่างมองพวกลู่ฝาน นักเรียนที่ฉลาดจำนวนไม่น้อย มองไม้นี้ออก พากันพูดอย่างตกใจ
“คณะหนึ่งเดียวจะไปแบบนี้เหรอ พวกเขาได้เหรียญทองง่ายจัง”
“ใช่ คณะหนึ่งเดียวมีทั้งหมดแค่ห้าคน เหรียญทองใหญ่ขนาดนี้ พวกเขาต้องแบ่งกันได้ไม่น้อย”
“ไม่ยุติธรรมเลย”
“หรือฉันจะไปคณะหนึ่งเดียว ได้เหรียญทองแล้วออกมา”
“ฮ่าๆ แค่ทองนิดหน่อย นายจะไปคณะหนึ่งเดียวเลยเหรอ นายปัญญาอ่อนจริงๆ”
……
เสียงถกเถียง ไม่ได้ทำให้พวกลู่ฝานชะงักฝีเท้าลง
หานเฟิงพูดอย่างสะใจว่า “ถ้าคนพวกนี้รู้ประโยชน์แท้จริงของเหรียญทอง คงโกรธจนตาแดง น่าเสียดาย ไม่ว่าเหรียญทองอันไหน ก็ไม่มีให้พวกเขาแล้ว”
ศิษย์พี่ใหญ่ตบท้ายทอยหานเฟิง แล้วพูดว่า “น่ารำคาญ มาแบกเหรียญทอง แล้วรีบกลับไป”
ศิษย์พี่ใหญ่เอาเหรียญทองวางบนหัวหานเฟิง หานเฟิงยิ้มแล้วรับมา เดินเบาๆ ออกไปด้านนอก
อาจารย์อี้ชิงที่อยู่บนหอคอย ก็ลุกขึ้นปัดก้น “โอเค พิธีเสร็จสิ้นแล้ว ฉันกลับแล้วเหมือนกัน เพราะคณะหนึ่งเดียวของเราก็เป็นแบบนี้มาตลอด ไม่ใช่หรือไง”
อาจารย์อี้ชิงยิ้มแย้ม เตรียมจะออกไป
เมื่อเห็นอู๋เหวยแบกเหรียญทองใหญ่กลับไป อาจารย์อี้ชิงยิ้มอย่างเบิกบาน
ปีนี้ได้ไม่น้อยเลย ไอ้เด็กพวกนั้นโชคดีอีกแล้ว
อาจารย์คนอื่นมองกันไปมา แต่ละคนสีหน้าอึมครึม
โดยเฉพาะอาจารย์ซิงยวน สีหน้าไม่สู้ดีเป็นอย่างมาก
ซิงยวนตบเก้าอี้อย่างแรง แล้วพูดว่า “ท่านผอ. แบบนี้ไม่ยุติธรรม”
ท่านผอ.เทียนหยาจื่อพูดด้วยสีหน้าสงสัย “ซิงยวน ทำไมพูดแบบนี้ล่ะ”
ซิงยวนพูดเสียงดังว่า “พวกเราแปดคณะ นักเรียนเกินหมื่น ครูเกือบพัน แบ่งเหรียญทองให้แค่เหรียญเดียว ถึงมีสิทธิ์เข้าร่วมการต่อสู้จัดอันดับของสถาบัน ส่วนพวกคณะหนึ่งเดียว มีคนน้อยมาก นักเรียนอ่อนแอ อันดับต่ำทุกปี ทำไมถึงมีสิทธิ์ได้เหรียญทองนี้ล่ะ”
ซิงยวนพูดเสียงสูง ทำให้ได้ยินเสียงซิงยวนทั้งลานประลอง
เมื่อพวกลู่ฝานได้ยิน ถึงกับชะงักฝีเท้าลง เงยหน้ามองไปบนหอคอย
สายตาอาจารย์เต้ากวงเย็นชา
อาจารย์อี้ชิงก็ชะงักฝีเท้า แล้วหันมา
ท่านผอ.เทียนหยาจื่อยังคงยิ้ม ตอนนี้ยิ้มกว้างเข้าไปอีก มองอี้ชิงแล้วพูดว่า “อี้ชิง ซิงยวนว่าคณะหนึ่งเดียวของนายแบบนี้ นายมีอะไรจะพูดไหม”
อี้ชิงสายตาเย็นชา “ซิงยวน ดูเหมือนนายต้องการเป็นศัตรูกับคณะหนึ่งเดียวสินะ ได้ คณะหนึ่งเดียวก็ไม่กลัวนาย บอกมาเลย จะเอายังไง”
ซิงยวนลุกขึ้น พูดชัดถ้อยชัดคำว่า “ฉันก็ไม่รังแกคณะหนึ่งเดียวของนาย เข้าร่วมการแข่งขัน เอาเหรียญทองเป็นของพนัน ฉันส่งศิษย์คณะหยินหยางไปสู้กับนาย วางใจเถอะ ไม่ใช่คนบนนี้หรอก คณะหนึ่งเดียวของนาย ยังไม่คู่ควรให้พวกเขาลงมือ ฉันจะเรียกศิษย์ที่อ่อนแอสักหน่อย ไปสู้กับคณะหนึ่งเดียวของพวกนาย กล้าไหมล่ะ!”