เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า - บทที่ 38
โม่เทียนหัวเราะ แล้วพูดว่า “เจ้าบ้านจาง คุณพูดออกมาได้นะ เราเหมือนคนขาดแคลนเงินเหรอ สองหมื่นน้อยไป หนึ่งแสนดีกว่า”
จางเหยียนขมวดคิ้วเบาๆ เหรียญทองแสนเหรียญ ไม่ใช่ตัวเลขน้อยๆ แม้ตระกูลจางมีเงิน เอาออกมาเป็นแสนในครั้งเดียว ต้องกระอักแน่นอน ขณะนั้น จางเยว่หานที่นั่งข้างๆ กลับพยักหน้าเบาๆ จางเหยียนเข้าใจความหมายของลูกสาว กัดฟันพูดว่า “ได้ หนึ่งแสนก็หนึ่งแสน”
โม่เทียนหัวเราะ แล้วพูดว่า “งั้นโอเค ฉันไม่มีปัญหา ตาเฒ่าลู่ นายว่ายังไง”
ลู่เฮ่าหรานพยักหน้า แล้วพูดว่า “ฉันก็ไม่มีปัญหาเหมือนกัน”
“งั้นตกลงกันเช่นนี้”
โม่เทียนกวักมือเรียกพิธีกร เขียนสัญญาแบบเดียวกันสามฉบับ เซ็นชื่อทั้งสามฝ่าย
หลังจากลู่เฮ่าหรานเซ็นชื่อ จึงหันไปมองลู่ฝาน แล้วพูดว่า “ลู่ฝาน นายก็เห็นแล้ว ปู่ไม่อยากเสียร้านค้าสองร้านไป นายพยายามเพื่อฉันหน่อย อย่าปกปิด ถ้าชนะ วิชาหมัดทำลายล้างเล่มนั้น จะเป็นของนาย”
ลู่ฝานพยักหน้าอย่างเข้าใจ ลู่เฮ่าหรานทำสัญญาเดิมพันนี้ขึ้นมา เพื่อที่จะเอาวิชาหมัดมาให้เขา นับว่าตั้งอกตั้งใจอย่างยิ่ง
การแข่งบู๊ของตระกูลเล็กอื่นๆ ใกล้จะจบลงแล้ว ที่ยังยืนอยู่บนเวที คือคุณชายตระกูลสวีในภาคใต้ของเมือง ผลการฝึกตนระดับแดนฝึกร่างชั้นเจ็ด กำลังโบกมือให้กลุ่มคนอย่างได้ใจ ทำให้สาวๆ แอบใจหวั่นไหว
ขณะนั้น โม่เทียนบอกให้ศิษย์ของตระกูลโม่คนหนึ่งขึ้นไปบนเวที เขารูปร่างสูงใหญ่ ใบหน้าเหลี่ยม กล้ามเนื้อเป็นมัดๆ ดูมีพลังอำนาจมาก
คนคนนี้ชื่อโม่หง เป็นคนโดดเด่นอันดับสองในตระกูลโม่ เมื่อขึ้นมาบนเวที ออกหมัดและเท้าไม่กี่ครั้ง ก็ทำให้คุณชายตระกูลสวีล้มลงบนเวที โม่หงกางแขนทั้งสองข้าง ตะโกนเสียงดังออกมาว่า “ยังมีใครอีก!”
โม่เทียนหัวเราะ แล้วพูดว่า “นับว่าโม่หงยิ่งมีอำนาจมากขึ้นเรื่อยๆ”
คนตระกูลอื่นด้านหลัง หัวเราะแล้วพูดว่า “โม่หงแห่งตระกูลโม่ นับวันยิ่งเหมือนหมีควาย”
ยืนอยู่บนเวที จู่ๆ ไม่มีใครกล้าท้าประลองกับโม่หง แค่เป็นคนฉลาด ดูก็รู้ว่าตอนนี้โม่หงมีพละกำลังเกือบถึงระดับแดนฝึกร่างชั้นแปดแล้ว ศิษย์ตระกูลเล็กๆ คงไม่มีใครสู้เขาได้แล้ว
ทุกคนมองไปยังตระกูลลู่และตระกูลจาง ตอนนี้ตระกูลที่จะสู้กับโม่หงได้ คงมีตระกูลลู่กับตระกูลจาง
แต่เมื่อกี้ ลู่หมิงเพิ่งกระอักเลือดต่อหน้าทุกคน ในระยะเวลาสั้นๆ คงจะสู้ไม่ได้ ตระกูลลู่ยังมีใครสู้กับโม่หงได้อีก ทุกคนพากันส่ายหน้าเบาๆ คงไม่มีคนของตระกูลลู่ขึ้นไปแข่งบู๊ได้อีกแล้ว
ขณะที่ทุกคนคิดว่าตระกูลลู่ไม่มีใครกล้าขึ้นไปต่อสู้แล้ว ลู่ฝานลุกขึ้นยืน ถึงตาเขาขึ้นเวทีแล้ว
ขยับร่างกายเล็กน้อย ลู่ฝานกระโดดขึ้นไปบนเวที
เมื่อทุกคนเห็นว่าคนที่ตระกูลลู่ส่งมา คือลู่ฝาน จู่ๆ คนจำนวนไม่น้อย หัวเราะขึ้นมาทันที
“ลู่ฝาน คิดไม่ถึงว่าคนที่ตระกูลลู่ส่งมา จะเป็นลู่ฝาน นี่ตั้งใจทำให้แย่ลงหรือไง”
“นี่ ลู่ฝาน นายลงมาใส่เสื้อให้ดีก่อนเถอะ ต่อไปกลัวว่านายจะโดนซัดจนใส่เสื้อไม่ได้แล้วน่ะสิ”
“สวะลู่ฝาน นายตั้งใจขึ้นไปตายหรือไง! ดูเหมือนนายจะไม่ใช่แค่สวะ แต่สมองยังมีปัญหาด้วย”
……
เสียงตะโกนของคนพวกนี้ ทำให้คนตระกูลลู่ลำบากใจมาก แต่นอกจากพวกลู่หาวที่นั่งอยู่หน้าสุด คนอื่นไม่สามารถเถียงเสียงตะโกนของคนพวกนี้ได้ ถึงลู่ฝานแสดงออกอย่างโดดเด่นในงานเทศกาลประจำปี แต่นั่นเป็นเรื่องภายในตระกูลลู่ คนนอกรู้น้อยมาก
สีหน้าพวกศิษย์ตระกูลลู่อึมครึม ทำไมพวกเขาถึงรังเกียจลู่ฝาน เหตุผลส่วนใหญ่คือ ลู่ฝานทำให้ตระกูลลู่อับอาย
ศิษย์ตระกูลลู่ทุกคนกำลังคิด ทำไมต้องให้ลู่ฝานขึ้นไป เปลี่ยนคนอื่นก็ได้นิ!
ลู่หาวได้ยินเสียงตะโกน จึงขมวดคิ้วเบาๆ แล้วพูดว่า “พวกสายตาตื้นเขิน เสียงพวกกบในกะลา”
ลู่เฮ่าหรานพูดว่า “อย่าไปสนใจ ผ่านวันนี้ไป พวกเขาจะภูมิใจที่ได้รู้จักลู่ฝานอีกครั้ง”
ลู่หาวยิ้ม แล้วพูดว่า “แน่นอนอยู่แล้ว”
บนเวที โม่หงหัวเราะขึ้นมา มองลู่ฝานแล้วพูดว่า “นายกล้าขึ้นมาเหมือนกันเหรอ นายอย่าทำให้ฉันตลกสิ”
ลู่ฝานไม่พูดอะไรสักคำ ยืนอยู่อย่างเงียบๆ
โม่หงกำลังเอามือกุมท้องหัวเราะ โม่หยุนเฟยและโม่หลินที่อยู่ด้านล่างหัวเราะอย่างชอบใจ จางเหยียนผู้นำตระกูลจางก็กำลังหัวเราะเหมือนกัน พลางพูดกับจางเยว่หานว่า “เยว่หาน ดูลู่ฝานนั่นสิ เป็นตัวตลกจริงๆ เขากล้าขึ้นไปตอนนี้ น่าขำชะมัด”
จางเยว่หานก็หัวเราะเหมือนกัน มองลู่ฝานด้วยแววตาสงสาร แต่แววตานี้หายไปในพริบตา
ทุกคนกำลังหัวเราะ มีเพียงโม่เทียนผู้นำตระกูลโม่ที่หัวเราะไม่ออก
เพราะตอนนี้ โม่เทียนเพิ่งเห็นแผลเป็นบนตัวลู่ฝานชัดๆ แผลเป็นแต่ละแผล มีทั้งตื้นและลึก ดูดีๆ น่าตกใจมาก
ผู้นำตระกูลโม่เข้าใจอย่างชัดเจน คนแบบไหน ถึงมีแผลเป็นเต็มตัวแบบนี้
นี่เป็นสัญลักษณ์ของนักบู๊ที่ฝึกอย่างหนักหนาสาหัส พิสูจน์ว่าไม่ย่อท้อ
แต่ไม่ว่าอย่างไร เขาก็ไม่เข้าใจ ทำไมแผลเป็นพวกนี้ถึงอยู่บนตัวลู่ฝาน อย่าบอกนะว่าตัวตลกของเมืองเจียงหลินอย่างลู่ฝาน คือนักบู๊หนุ่มที่ตระกูลลู่แอบซ่อนเอาไว้
ผู้นำตระกูลโม่หวังว่าตัวเองจะคิดผิด แต่เขามองลู่ฝานที่ยืนอยู่ตรงนั้นเงียบๆ กลับสัมผัสได้ถึงพลังอำนาจที่ออกมาจากตัวลู่ฝานเล็กน้อย
นั่นเป็นสิ่งที่แสดงถึงการต่อสู้ที่ไร้ขีดจำกัด ลู่ฝานมองโม่หงนิ่งๆ แล้วพูดว่า “ขำพอหรือยัง เริ่มได้หรือยัง”