เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า - บทที่ 380
เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า บทที่ 380
เมื่อหานเฟิงพูดจบ นักเรียนที่มาดูต่างส่งเสียงเชียร์ออกมา
ทุกคนก็ตะโกนเสียงดัง
“จัดการคณะกระบี่!”
“เอาชนะคณะบังเหิน!”
“คณะหนึ่งเดียวฉันชอบพวกนาย”
……
คนพวกนี้เป็นนักเรียนคณะอื่นอย่างไม่ต้องสงสัย
ที่เรียกว่าดูแห่ศพไม่กลัวโลงศพ ก็เหตุผลนี้แหละ
พวกนักเรียนคณะกระบี่ คณะบังเหิน ก็ไม่ด้อยเหมือนกัน ต่างพากันตะโกนเสียงดัง
“เฮ้ เฮ้ เฮ้!”
“ขยะของคณะหนึ่งเดียว คิดว่าพวกนายรับปากขยะคณะอื่น แล้วจะชนะพวกเราได้เหรอ กลับไปฝึกอีกสักสองสามปีเถอะ!”
เหมือนพวกนักเรียนกำลังแข่งกันตะโกน แต่ละคนเสียงดังมาก
กลุ่มคนในนั้นยังใช้พลังปราณด้วย แต่เพิ่งตะโกนออกมา ก็รู้สึกว่าปวดสมอง แรงกระเทือนที่มองไม่เห็น ทำให้เขาเจ็บจนร้องออกมา
ภาพนี้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เริ่มแรกยังไม่ชัดเจนดี แต่เมื่อมีคนร้องโอดครวญเยอะขึ้น
ทุกคนเริ่มพบความผิดปกติ
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมจู่ๆ ฉันถึงปวดหัว”
“มีสิ่งแปลกเหรอ ที่นี่มีกับดักเหรอ”
“คณะหนึ่งเดียว ต้องเป็นฝีมือคนคณะหนึ่งเดียว ต่ำตมเกินไปแล้ว ไอ้พวกเลวคณะหนึ่งเดียว พวกนายจะทำอะไรกันแน่”
……
ตอนนี้นักเรียนทุกคนพากันก่นด่าคณะหนึ่งเดียว
หานเฟิงยืนอยู่บนวงกลม ด้วยท่าทีกวนบาทา
คาดเดาเหตุการณ์แบบนี้ได้นานแล้ว
หานเฟิงพูดเสียงดังว่า “นักเรียนทุกท่านอย่าเพิ่งโหวกเหวก คณะหนึ่งเดียวไม่ได้วางกับดัก แต่เดิมที่นี่เป็นจวนของผู้แข็งแกร่ง มีค่ายกลแฝงอยู่ แม้ตอนนี้จวนอยู่ในสภาพนี้ พลานุภาพของค่ายกลก็หายไปมาก แต่ก็มีปฎิกิริยากับพลังของทุกคน ถ้าไม่คุ้นชิน หึหึ ก็ยังทรมานมาก”
ทันใดนั้น สีหน้าของเสวียนเฟิงคณะกระบี่และคนอื่นเปลี่ยนไป ลั่วหยู่คณะบังเหินและคนอื่นก็อึ้งเล็กน้อย
ทันใดนั้น คนพวกนี้ปล่อยพลังปราณออกมาทดสอบ
รู้สึกถึงความเจ็บที่หัว มีคนสีหน้าเปลี่ยนไปทันที
อาจารย์เมิ่งอวิ๋นลองทดสอบเล็กน้อย กดเสียงต่ำพูดว่า “แผนดี”
พวกนักเรียนที่ก่นด่าพากันเงียบ ในเมื่อพลังปราณสามารถกระตุ้นค่ายกลพังๆ ได้ งั้นก็ไม่ปล่อยพลังปราณออกมาก็จบแล้ว
เป็นไปตามคาด เมื่อเก็บพลังปราณกลับมา ความเจ็บที่หัวก็หายไป
ตอนนี้นักเรียนจำนวนไม่น้อย มองนักเรียนชั้นยอดของคณะกระบี่และคณะบังเหิน ด้วยสายตาแปลกประหลาด
ไม่ต้องสงสัยเลย คณะหนึ่งเดียวเลือกสถานที่แบบนี้มาเป็นลานประลอง พวกเขาต้องมีวิธีรับมือค่ายกลนี้แน่นอน จากการคาดเดาของพวกเขา สถานที่นี้อาจเป็นลานประลองบู๊ของคณะหนึ่งเดียว
แต่นักเรียนชั้นยอดของคณะกระบี่กับคณะบังเหินล่ะ พวกเขาต้องไม่เชี่ยวชาญที่นี่แน่นอน
นี่คือสถานที่เปลียบ นี่คือความได้เปรียบ
แค่ค่ายกลเดียว สามารถทำลายพลังการต่อสู้ของคณะกระบี่กับคณะบังเหินไปไม่น้อย
มิน่าล่ะคนคณะหนึ่งเดียว ถึงกล้าขนาดนี้ คงมีวิธีแบบนี้อยู่สินะ
หานเฟิงหันมายักคิ้วหลิ่วตาให้ลู่ฝานและคนอื่น ขยับปากส่งเสียงว่า “ศิษย์พี่ฉู่สิง ศิษย์พี่ฉู่เทียน ศิษย์น้องลู่ฝาน ฉันจะออกไปก่อน ไม่ต้องมาห้ามฉัน”
ลู่ฝานพยักหน้าเบาๆ ฉู่สิงกับฉู่เทียนมีเพียงรอยยิ้มบนใบหน้า
หานเฟิงเอากระบี่ออกมา และมัดเชือกที่กางเกง แล้วบ่นพึมพำ
“ในเมื่อวนเวียนขนาดนี้ งั้นมาเล่นใหญ่กันสักหน่อย สู้กับสองคณะพร้อมกัน แบบนี้ไม่เลว อืม เป็นการตัดสินใจที่มีความดีใจมาก!”
หานเฟิงสะบัดกระบี่ฟ้าคราม แล้วสะบัดพลังปราณออกมาเป็นแถบ
“หานเฟิงคณะหนึ่งเดียว ท้าประลองคณะบังเหินกับคณะกระบี่ เชิญนักเรียนทั้งสองคณะออกมา! ฮ่าๆ ฉันจะสู้หนึ่งต่อสอง!”
หานเฟิงเผยยิ้มหลอกลวง ยกยิ้มมุมปาก หัวเราะดังไปทั้งจวนสวรรค์
“ไอ้เด็กเหิมเกริม!”
“ไม่เห็นเราสองคณะอยู่ในสายตาสักนิด”
พวกนักเรียนคณะกระบี่กับคณะบังเหินพากันก่นด่าขึ้นมา
ขนาดอาจารย์เมิ่งอวิ๋นกับอาจารย์เสวียนเจิน ยังมีสีหน้าอึมครึมไม่น้อย