เซียนบู๊ ทะลวงชั้นฟ้า - บทที่ 430
จากนั้นลู่เฮ่าหรานก็ถามลู่หาว:”ให้นายไปถามที่ผู้เฝ้าเมือง สถานการณ์เป็นยังไงบ้าง?”
เมื่อลู่หาวได้ยิน สีหน้าของเขาแย่มากๆ
“ผู้เฝ้าเมือง”ที่พูดถึงนั้น เขาคือเจ้าเมือง เป็นคนที่ประเทศอู่อานส่งมา เขาเป็นขุนนางของราชวงศ์ มีกองกำลังทหารและอำนาจอยู่ในมือ
ลู่หาวพูด:”ผู้เฝ้าเมืองโจวคนนี้เป็นคนที่ไม่ค่อยสนใจเรื่องอะไรเลย ฉันไปเพื่อถามเขา แต่เขาไม่ปล่อยฉันเข้าไปเลย ฉันโดนไล่ออกมา หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่ว ผู้เฝ้าเมืองพูดมาแค่คำเดียว ทุกอย่างทำตามกฎระเบียบ”
ลู่เฮ่าหรานรู้สึกโกรธมากๆและพูด:”ผู้เฝ้าเมืองโจวไม่ไว้หน้าพวกเราเลย คิดถึงแต่กฎระเบียบของตัวเอง เขาไม่สนใจความเป็นความตายของพวกเราอยู่แล้ว ถ้าบีบบังคับพวกเรามากจนเกินไป ก็ขยายการต่อสู้ไปยังที่อยู่ของประชาชนทั่วไปเลย เรื่องนี้เขาไม่ยุ่งก็ไม่ได้แล้ว”
ลู่หาวถอนหายใจออกมา เขารู้ว่าลู่เฮ่าหรานพูดคำเหล่านี้ออกมาด้วยความโกรธเท่านั้น
พวกเขากับตระกูลโม่จะต่อสู้กันดุเดือดแค่ไหน ต่อสู้กับเอาเป็นเอาตายแค่ไหน ถ้าพวกเขาส่งเอกสารความเป็นตายให้ผู้เฝ้าเมือง ถึงแม้พวกเขาจะต่อสู้กันจนตายไปหมด ผู้เฝ้าเมืองก็ไม่มายุ่งเรื่องนี้อยู่แล้ว แต่ถ้าพวกเขาขยายการต่อสู้ไปยังที่อยู่ของประชาชนทั่วไป ทำให้เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่ ผู้เฝ้าเมืองคงจะส่งทหารมากำราบพวกเขา เมื่อถึงตอนนั้น ทั้งสองตระกูลคงต้องสูญเสียอย่างหนัก ถึงแม้พวกเขาจะร้ายกาจแค่ไหน พวกเขาก็ต่อสู้กับขุนนางไม่ไหวอยู่แล้ว
“พอแล้ว ไม่ต้องพูดเรื่องนี้อีกแล้ว การโจมตีครั้งหน้าของตระกูลโม่น่าจะอีกห้าวันข้างหน้า พวกเขาต้องสร้างเวทีการประลองที่หน้าประตูของตระกูลลู่อย่างแน่นอน พวกเขาจะสังหารลูกหลานทั้งหมดของตระกูลลู่ให้ตายทีละคน ความหมายของฉันก็คือ การนั่งรอความตายแบบนี้ สู้พวกเขาลงมือสู้ตายจะดีกว่า พวกเราโจมตีตระกูลโม่โดยตรงเลย พยายามสังหารอีกฝ่ายให้ได้มากที่สุด บางทีวิธีนี้อาจจะเป็นทางรอดเดียวของพวกเราก็ได้”
สายตาของลู่เฮ่าหรานมีแต่ความแน่วแน่ เขาพูดความคิดของตัวเองออกมา
ลู่หาวและคนอื่นๆก็ตกตะลึงกับความคิดของลู่เฮ่าหรานมากๆ ด้วยพลังที่พวกเขามีอยู่ในตอนนี้ อยากจะแลกชีวิตของอีกฝ่ายในเวทีการประลองอีกห้าวันข้างหน้า มันคงเป็นเรื่องที่ยากมากๆ ถ้าตอนนี้โจมตีตระกูลโม่จริงๆ พวกเขาไม่ต่างอะไรกับลูกแกะตัวเล็กๆที่พุ่งเข้าไปหาพญาเสือเลย
ทุกคนไม่ได้พูดอะไรออกมา ลู่เฮ่าหรานมองเห็นความหวาดกลัวจากสายตาของพวกเขา
“พวกคุณมีความคิดเห็นยังไง?”
ลู่เฮ่าหรานถามอีกครั้ง ผ่านไปสักพัก แต่กลับไม่มีคนตอบ
ลู่เฮ่าหรานลุกขึ้นมาและตะโกนออกมา:”ตระกูลลู่ของพวกเรากลายเป็นพวกขี้แพ้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”
ลู่หมิงกัดฟันและพูด:”คุณปู่ ให้พวกเราไปหาลู่ฝานเถอะ ถ้าเขากลับมา ทุกอย่างก็จะเปลี่ยนไป”
คำพูดของลู่หมิง ทำให้สายตาของทุกคนที่อยู่ในนี้เปล่งประกาย พวกเขาเคยได้ยินความแข็งแกร่งของลู่ฝานจากลู่หมิงมาแล้ว
ลู่เฮ่าหรานส่ายหัวและพูด:”ไม่ได้ ลู่ฝานคือความหวังสุดท้ายของตระกูลลู่ พวกเราไม่ควรดึงเขามาตายพร้อมกับพวกเรา ฉันรู้ว่าตอนนี้ลู่ฝานร้ายกาจมากๆ แต่เขาจะร้ายกาจยังไงก็คงสู้นักบู๊ยอดแดนปราณนอกไม่ได้อยู่แล้ว อีกฝ่ายมีนักบู๊ยอดแดนปราณนอกตั้งสองคน เขากลับมาก็คงไม่มีประโยชน์อะไรเลย เรื่องนี้ห้ามพูดออกมาอีก ฉันหวังว่าพวกคุณจะไม่เขียนจดหมายหรือส่งคนไปบอกเรื่องนี้กับลู่ฝาน ในเมื่อพวกแกไม่อยากจะไปสังหารคนของตระกูลโม่พร้อมกับฉัน ถ้างั้นก็รอการต่อสู้กับตระกูลโม่ที่จะเกิดขึ้นในเวทีประลองอีกห้าวันข้างหน้าก็แล้วกัน”
เมื่อพูดจบ ลู่เฮ่าหรานลุกขึ้นและจากไป ทุกคนมองเห็นความโศกเศร้าจากแผ่นหลังของเขา
ลู่เฮ่าหรานเดินอย่างช้าๆ เมื่อเดินมาถึงเรือนเก็บหนังสือของตระกูลลู่ เขาก็มองเห็นท่านสวินกำลังยืนอยู่ในลานสนามหน้าเรือเก็บหนังสือ
“ท่านสวิน ท่านกำลังมองอะไรอยู่เหรอ?”
ท่านสวินพูดเบาๆ:”ฉันกำลังมองว่าสวรรค์ต้องการให้ตระกูลลู่ของเราสูญสลายไปหรือเปล่า”
เมื่อลู่เฮ่าหรานได้ยิน เขาก็เงยหน้าและมองท้องฟ้า
ท้องฟ้ายามค่ำคืนที่เงียบสงัด ไม่มีพระจันทร์เลย แต่มีดาวตกอันหนึ่งพุ่งผ่านไป