เซียนหมอหญิงแม่ลูกอ่อน - ตอนที่ 142 ช่วยแม่ของเจ้าก้อนมอมแมมหลอกหลวงคน
เยี่ยนอวี๋นำแผนที่เขตชางอู๋ออกมาพร้อมอธิบายว่า “กองทัพราชสำนักจะมาถึงพรุ่งนี้เมื่อรุ่งสาง โดยใช้ค่ายกลเคลื่อนเวหา”
“เช่นนั้นต้องรีบกำจัดกองทัพคุนอู๋ก่อนจะมีอะไรเปลี่ยนแปลง” เยี่ยนหงชวนรีบพูด
“ใช่แล้ว” เยี่ยนอวี๋พยักหน้า “ยามสี่คืนนี้ พวกเราออกจู่โจมค่ายทหาร”
เยี่ยนชิงคำนวณจำนวนกองกำลัง “สำนักมีกองกำลังผู้พิทักษ์สามหมื่นนาย หนึ่งหมื่นนายในนั้นเป็นผู้มีฌานตบะ สองหมื่นนายที่เหลือเป็นเพียงทหารทั่วไป”
“พอแล้ว หนึ่งหมื่นนายก็เพียงพอแล้ว คนที่เหลือให้เฝ้าเมือง ป้องกันภัยที่อาจเกิดขึ้นทุกเมื่อ” เยี่ยนอวี๋ไม่ต้องการคนจำนวนมาก แต่นางต้องไปเขียนยันต์เพิ่ม หลังจากที่ประชุมกันเสร็จแล้ว เยี่ยนอวี๋จึงกลับหอเจ้าสำนักไปหาไก่อ่อนตระกูลชือ
เมื่อถ่ายทอดและสอนการเขียนยันต์พื้นฐานให้กับไก่อ่อนตระกูลชือคนนี้แล้ว เยี่ยนอวี๋ก็ถามอินหลิวเฟิงว่า “กู้หยวนหมิงเล่า”
“ข้าให้ชุ่ยชุ่ยจัดห้องนอนไว้ให้แล้ว เขาน่าจะไปพักผ่อน” อินหลิวเฟิงตอบพลางดูสีหน้านาง ก่อนจะถามเสียงเบาว่า “จะว่าไปแล้ว พ่อของเสี่ยวเป่าคือใครหรือ”
อินหลิวเฟิงบ่งบอกว่าเขาสงสัยจริงๆ สงสัยมากๆ เขาอยากรู้จริงๆ ว่าใครช่างบังอาจไม่รับผิดชอบต่อคุณหนูใหญ่เยี่ยนเช่นนี้ เป็นกู้หยวนเหิงจริงๆ หรือ
อย่าว่าแต่อินหลิวเฟิงที่อยากรู้เลย แม้แต่ต้าซือมิ่งราชสำนักที่กำลังฝึกฌานอยู่ก็อยากรู้เช่นกัน เขากระตุกคิ้วเบาๆ ก่อนจะลืมตาขึ้น
“อ้ะเนะเนะ! อ้ะเนะเนะ!…” เยี่ยนเสี่ยวเป่าก็ตอบอินหลิวเฟิงว่า ‘พ่อของข้าก็คือพ่อรูปงามไงเล่า พ่อรูปงามที่ตกใจจนหายไปเพราะเจ้า!’
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เยี่ยนเสี่ยวเป่าก็โมโหจนทำหน้ามุ่ย เขาจ้องไปที่อินหลิวเฟิงด้วยดวงตาเบิกโต ก่อนจะตำหนิว่า “อ้ะเนะเนะ!” เป็นเพราะเจ้า!
อินหลิวเฟิงถูกดุอย่างงงงัน “พ่อคุณทูนหัว จ้องข้าทำไม ข้ามิได้ทำอะไรผิดต่อเจ้านะ?”
“เจ้าถามว่าพ่อของเขาคือใคร เสี่ยวเป่ามีแม่ก็พอแล้ว เอาพ่อไปทำไม” เยี่ยนอวี๋โยนความผิดให้อินหลิวเฟิงแทนเด็กน้อยอย่างเฉยเมย
อินหลิวเฟิง “…”
“อ้ะเนะเนะ” เยี่ยนเสี่ยวเป่าอยากจะอธิบาย ทว่าข้างนอกก็มีเสียงรายงานด่วนดังขึ้น “คุณหนูใหญ่! กองกำลังคุนอู๋เปลี่ยนแผน เจ้าสำนักเรียนเชิญ!”
“ได้” ในขณะที่เยี่ยนอวี๋ขานตอบ นางก็อุ้มเด็กน้อยออกจากหอเจ้าสำนักไปแล้ว อันที่จริงนางก็รับรู้ได้ว่าทางฝั่งกองทัพคุนอู๋มีความเคลื่อนไหวใหม่
ทว่าเรื่องนี้ไม่เป็นอุปสรรคต่อการอธิบายของเยี่ยนเสี่ยวเป่า เขาจึงส่งเสียง “อ้ะเนะเนะ” ตลอดทางที่เยี่ยนอวี๋ไปตำหนักใหญ่ เขาอธิบายว่าเสี่ยวเป่าต้องการทั้งแม่คนงามและพ่อรูปงามนะ ต้องการทั้งสองคนเลย ท่านแม่สัญญากับเสี่ยวเป่าแล้วมิใช่หรือว่าจะจับท่านพ่อกลับมา
“อ้ะเนะเนะ? อ้ะเนะเนะ?” เยี่ยนเสี่ยวเป่าพูดจบแล้วก็กอดท่านแม่ของเขาไว้แน่น เขาเบิกดวงตาสีดำกลมโตของเขาที่เต็มไปด้วยแววสงสัย ทำเอาเยี่ยนอวี๋รู้สึกประหลาดใจ ทว่าตอนนี้นางมีธุระจึงทำได้เพียงจูบศีรษะเด็กน้อยเบาๆ และปลอบเขาว่า “เป็นเด็กดีนะ เสี่ยวเป่า รอแม่ทำธุระเสร็จแล้วค่อยคุยกัน ดีหรือไม่จ๊ะ”
เยี่ยนเสี่ยวเป่าคิดครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง “อ้ะเนะ!” ก็ได้
เยี่ยนอวี๋จึงจูบเด็กน้อยที่เชื่อฟังอีกครั้งพร้อมกับก้าวเข้าไปในตำหนักใหญ่
“คุณหนูใหญ่”
“คุณหนูใหญ่…”
ผู้อาวุโสและประมุขหอในตำหนักหยุดพูดคุยลงในทันใด พวกเขาต่างหันไปทักทายเยี่ยนอวี๋
เยี่ยนอวี๋พยักหน้าเบาๆ แทนการขานตอบทุกคน ส่วนเยี่ยนเสี่ยวเป่าที่อยู่ในอ้อมอกนางก็ยิ้มอย่างเป็นธรรมชาติและส่งเสียง “อ้ะเนะเนะ” ให้ท่านลุงและท่านอาทุกคน ทำเอาบรรยากาศแต่เดิมที่ตึงเครียดในวิหารพลันมลายหายไป ผู้คนไม่น้อยยิ้มตอบเสี่ยวเป่าอย่างเป็นมิตร
“คุณชายน้อยน่ารักจริงๆ” ผู้อาวุโสจำนวนไม่น้อยชมเชยเขาจากใจ พวกเขามิได้รู้สึกไม่พอใจที่เยี่ยนอวี๋อุ้มเยี่ยนเสี่ยวเป่ามาประชุมครั้งนี้
พวกเขารู้ว่า เมื่อครั้นปรุงยาพยัคฆ์ คุณหนูใหญ่เยี่ยนก็ยังไม่ยอมปล่อยมือจากเด็กน้อยเลย ครานี้เป็นเพียงการประชุม นางจะไม่อุ้มเด็กน้อยมาด้วยได้อย่างไร
บรรยากาศสงบสุขเช่นนี้กลับทำให้เยี่ยนอวี๋ประหลาดใจเล็กน้อย ทว่านางก็ไม่ได้ใส่ใจมากนัก นางถามขึ้นว่า “ท่านพ่อ สำนักคุนอู๋ถอนกำลังหรือเจ้าคะ”
“ใช่!” เยี่ยนชิงเพิ่งจะดึงตัวเองออกมาจากความหลงใหลในรอยยิ้มหวานฉ่ำของหลานตัวน้อย “ผู้สังเกตการณ์ประตูทิศอุดรรายงานว่า กองทัพคุนอู๋กำลังเตรียมตัวถอนกำลัง พวกเขาเริ่มเก็บกระโจมแล้ว”
“หรือเราจะลอบโจมตีเลย! ถึงอย่างไรก็ไม่ควรปล่อยให้พวกเขาจากไปเช่นนี้! ข้าไม่ยอมหรอก!” ประมุขหอสัตว์บรรพกาลรีบเสนอขึ้น เขาอยากจะจู่โจมกลับทันที!
“แต่ว่า…” ผู้อาวุโสรองผู้เป็นนักอนุรักษ์นิยมก็ทำท่าจะพูดอะไร แต่เยี่ยนอวี๋พยักหน้าแล้วพูดว่า “ใช่แล้ว ส่งทัพตอนนี้ ไม่ต้องรอยามสี่แล้ว”
“เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์?” ถึงแม้เยี่ยนชิงเองก็อยากจะโจมตีกลับมากเช่นกัน ทว่าเขาจำเป็นต้องพูดว่า “หากไร้ความมืดช่วยอำพราง เกรงว่าการลอบจู่โจมอาจทำได้ยาก”
“ไม่เป็นไร อีกหนึ่งถ้วยชาฟ้าจะมืด ทั้งกระบวนการสามารถอยู่ได้นานสองชั่วยาม” เยี่ยนอวี๋ให้คำสัญญาอย่างสงบ
“…” ตำหนักใหญ่พลันเงียบงัน
แม้ทุกคนในวิหารไม่รู้ว่าเยี่ยนอวี๋จะใช้วิธีอะไรทำให้กลางวันเปลี่ยนเป็นกลางคืน แต่พวกเขาก็มั่นใจว่านี่ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ทว่านาง… คุณหนูใหญ่ของพวกเขากลับพูดด้วยความสงบเช่นนี้
“นั่งนิ่งทำไมกัน แยกย้ายกันได้แล้ว พวกท่านมีเวลาเตรียมตัวเพียงหนึ่งถ้วยชาเท่านั้นนะ” เมื่อเยี่ยนอวี๋พบว่าทุกคนยังนิ่งงันอยู่ก็อดพูดเร่งไม่ได้
เมื่อสิ้นเสียง เยี่ยนอวี๋ก็ไม่พูดอะไรอีก นางเดินออกจากตำหนักใหญ่ทันที เพราะว่าเวลาหนึ่งถ้วยชาสำหรับนางแล้วเป็นเวลาที่พอใช้พอดิบพอดีเท่านั้น
แต่ว่าเมื่อนางเดินออกจากตำหนักใหญ่ นางก็เงยหน้ามองท้องฟ้าราวกับรู้สึกอะไรบางอย่าง…
“อ้ะเนะเนะ?”
เยี่ยนเสี่ยวเป่าก็เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าพร้อมเยี่ยนอวี๋ เขาส่งเสียงร้องไม่หยุด “อ้ะเนะเนะ” เพราะว่าเขาสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของพ่อรูปงามของเขาแล้ว
สิ่งมีชีวิตตัวน้อยจึงคว้าเสื้อของท่านแม่ไว้พร้อมส่งเสียง “อ้ะเนะเนะ” เพื่อบอกว่า ‘ท่านแม่ ท่านแม่! รีบช่วยเสี่ยวเป่าจับพ่อรูปงามสิ’
เยี่ยนอวี๋กลับลูบศีรษะเด็กน้อยเบาๆ นางไม่เข้าใจเสี่ยวเป่า พูดว่า “เสี่ยวเป่าก็สัมผัสได้เหมือนกันหรือ”
“อ้ะเนะเนะ!” เยี่ยนเสี่ยวเป่าผงกศีรษะหงึกๆ
และท้องฟ้าที่มืดลงในทันใดก็ทำให้เหล่าชั้นผู้ใหญ่สำนักชางอู๋ตื่นตกใจ เมื่อพวกเขาเดินออกจากวิหารประชุมก็เห็น…