เซียนหมอหญิงแม่ลูกอ่อน - ตอนที่ 143 ต้าซือมิ่งรูปงามผู้ตามใจลูกได้คะแนนอีกแล้ว ตอนที่ 144 ตัวข้าซือมิ่งช่วยแล้วต้องช่วยถึงที่สุด
- Home
- เซียนหมอหญิงแม่ลูกอ่อน
- ตอนที่ 143 ต้าซือมิ่งรูปงามผู้ตามใจลูกได้คะแนนอีกแล้ว ตอนที่ 144 ตัวข้าซือมิ่งช่วยแล้วต้องช่วยถึงที่สุด
ตอนที่ 143 ต้าซือมิ่งรูปงามผู้ตามใจลูกได้คะแนนอีกแล้ว
ท้องฟ้ายามบ่ายที่มีดวงอาทิตย์แขวนอยู่แต่เดิมนั้น บัดนี้กลายเป็นเวลาพลบค่ำแล้ว! ดวงจันทร์สีจางๆ ก็ปรากฏบนท้องฟ้าอันมืดมิด
นี่มัน…
“คุณหนูใหญ่?”
เหล่าผู้อาวุโสและประมุขหอไม่น้อยมองไปที่เยี่ยนอวี๋ พวกเขาคิดว่านี่เป็นฝีมือของคุณหนูใหญ่ ทว่าเยี่ยนอวี๋รู้ดีว่านางยังไม่ทันทำอะไรทั้งสิ้น นี่ไม่ใช่ฝีมือของนาง แต่น่าจะเป็นฝีมือของต้าซือมิ่งราชสำนัก
“อ้ะเนะเนะ! อ้ะเนะเนะ” เยี่ยนเสี่ยวเป่าก็ดีใจที่พบว่ากลิ่นอายของท่านพ่อรูปงามของเขาแผ่ซ่านไปทั่ว เขาชอบจังเลย
“เสี่ยวเป่า” เยี่ยนอวี๋ลูบเด็กน้อยที่กำลังดีใจพลางคิดสงสัยในใจ นางไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าเหตุใดฝ่ายตรงข้ามจึงทำเช่นนี้ นางควรปล่อยให้ทุกสิ่งดำเนินไปตามสถานการณ์หรือไม่
ทว่าสิ่งที่นางไม่รู้คือ ต้าซือมิ่งที่กำลัง ‘ก่อกวน’ อยู่นั้น เขามีความคิดง่ายดายมาก เขาเพียงแค่ไม่อยากได้ยินเจ้าก้อนมอมแมมร้องไห้ไม่หยุดอีก เขาคิดว่าหากให้ท่านแม่ของเจ้าก้อนมอมแมมมาทำเรื่องเช่นนี้ นางต้องใช้กำลังเกินตัวอีก ถึงครานั้นเจ้าก้อนมอมแมมที่เห็นนางกระอักเลือดก็คงร้องไห้ไม่หยุดอีกครั้ง ดังนั้นเขาจึง ‘ก่อกวน’
ส่วนแม่ของเจ้าก้อนมอมแมมจะสงสัยในความตั้งใจของเขาหรือไม่ เขาเองก็ไม่ได้คำนึงถึงเรื่องนี้ แต่ถึงแม้จะผ่านการคิดคำนวณมาแล้ว เขาก็จะยังคงทำเช่นนี้ ส่วนแม่ของเจ้าก้อนมอมแมมจะคิดอย่างไรน่ะหรือ… ต้าซือมิ่งราชสำนักที่บัดนี้เพิ่งนึกถึงเรื่องนี้ขึ้นมาได้พลันนึกสนใจขึ้นมา เขาเองก็อยากรู้ว่า ‘ของขวัญ’ ชิ้นโตที่เขาให้ แม่ของเจ้าก้อนมอมแมมจะรับไว้หรือไม่
คำตอบคือ…
เยี่ยนอวี๋รับไว้แล้ว ทว่านางรับไว้อย่างมีหลักการ นางยังคงเตือนบิดาเจ้าน้ำตาที่อยู่ข้างกายให้ดำเนินตามแผนการเดิม “ท่านพ่อ พวกท่านเตรียมตัวให้พร้อม อีกหนึ่งถ้วยชาออกศึก”
“ได้ เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์วางใจเถิด” เยี่ยนชิงพยักหน้าทันที แต่เดิมเขาเป็นห่วงว่าลูกสาวสุดที่รักที่สับเปลี่ยนกลางวันเป็นกลางคืนต้องทุ่มเทพลังเหลือบ่ากว่าแรง เขาจึงออกมาคิดจะห้ามปรามบุตรสาว แต่ตอนนี้เหมือนว่าจะไม่เป็นเช่นนั้น?!
เยี่ยนชิงเข้าใจความจริงที่ว่ารังคว่ำไซร้ ไข่ย่อมแตก [1]เขาจึงไม่พูดมากความอีกและจัดแจงการออกศึกทันที เขารู้ดีว่าแค้นนี้ของสำนักคุนอู๋ต้องชำระ สำหรับชางอู๋และบุตรสาวแล้ว บัดนี้สามารถกำจัดกองกำลังคุนอู๋ได้เท่าใดก็นำมาซึ่งความปลอดภัยมากเท่านั้น
…
ในขณะนี้เอง ทหารคุนอ๋ที่กำลังเตรียมถอนกระโจมก็หวาดกลัวขึ้นมา “เกิดอะไรขึ้น เหตุใดจู่ๆ ฟ้าก็มืดเล่า”
“เกิดเรื่องอะไรอีกแล้วหรือ” เหล่ากองทัพคุนอู๋ต่างคิดถึงเหตุการณ์ผีเสื้อราตรีแดนนรกที่ปรากฏเมื่อครู่นี้โดยมิได้นัดหมาย
ถึงแม้เมื่อครั้งผีเสื้อราตรีแดนนรกปรากฏตัวจะมีหมอกสีดำปกคลุมไปทั่ว ไม่ใช่ฟ้ามืดแบบนี้ก็ตาม แต่ความหวาดกลัวที่ยังคงหลงเหลือในใจพวกเขานั้นก็ทำให้กองทัพคุนอู๋เป็นกังวลมาก พวกเขากลัวเหลือเกินว่าอสูรผีเสื้อราตรีจะกลับมาอีกครั้ง!
ทว่าสิ่งที่กองทัพคุนอู๋ไม่ทราบคือ ปรากฏการณ์ฟ้ามืดในตอนนี้ไม่เพียงเกิดขึ้นในเมืองชางอู๋ แต่มันยังเกิดขึ้นทั่วทั้งเขตต้าซย่า จนเมื่อปรากฏการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นนานเป็นระยะเวลาหนึ่ง หลายๆ คนจึงเพิ่งดูเวลา พวกเขาคิดว่าเป็นยามซวี[2] ไม่ใช่ยามเซิน [3] ทว่าเมื่อทุกคนดูเวลาแล้วกลับเป็นยามเซิน
“นี่มันเพิ่งยามเซิน ทำไมฟ้ามืดแล้วเล่า” วั่วปู้เหลยรู้สึกไม่ชอบมาพากล “ถึงจะบอกว่านี่คือยามโหย่ว[4]ก็ช่างเถอะ ฤดูหนาวกลางคืนยาวกว่ากลางวัน ฟ้ามืดในยามโหย่วก็อาจเกิดขึ้นเป็นธรรมดา แต่นี่เพิ่งยามเซินเองนะ!”
“ใช่แล้ว มืดเร็วเช่นนี้ ต้องมีอะไรแปลกๆ แน่ ต้องระวังตัวกันแล้ว!” ปู่เย่าเหลียนมองไปรอบทิศอย่างระแวดระวัง เขารู้สึกไม่ปลอดภัยเลย “เกรงว่าเป็นฝีมือของสำนักชางอู๋”
“ไม่ใช่หรอกมั้ง!” วั่วปู้เหลยรู้สึกเสียวสันหลังวาบ ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยคิดว่าตนเองจะเกรงกลัวสำนักชางอู๋จนเสียวสันหลังเลย… ทว่าเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ก็กำลังบอกวั่วปู้เหลยและคนอื่นๆ แล้วว่า สำนักชางอู๋ชั่วร้ายนัก! ดังนั้นสถานการณ์ในตอนนี้ก็ทำให้วั่วปู้เหลยอดพูดไม่ได้ว่า “เรารีบถอนทัพเถอะ!”
“ไม่เหมาะสม” ปู่เย่าเหลียนกลับไม่เห็นด้วย “การถอนทัพด้วยความตื่นตระหนกเช่นนี้ เกรงว่าเราจะสูญเสียมากกว่าเดิม ข้ากำลังคิดว่าอากาศรอบทิศในบัดนี้ไม่เสถียร เกรงว่าเรามิอาจใช้ค่ายกลเคลื่อนเวหาได้”
เมื่อสิ้นเสียงพูดของเขา หยางชีฮั่นก็เหาะเหินมาอย่างรวดเร็ว เขารายงานขึ้นว่า “รายงานท่านผู้พิทักษ์ทั้งสอง แย่แล้วขอรับ! เหล่าอาจารย์ค่ายกลพบว่าอากาศรอบทิศไม่เสถียร เกรงว่าไม่สามารถใช้ค่ายกลเคลื่อนเวหาได้”
“จริงๆ ด้วย…” ปู่เย่าเหลียนเหงื่อตก “คอยระวังตัวอยู่ที่เดิม เตรียมใช้ค่ายกลคุ้มกัน! เกรงว่าจะมีการลอบจู่โจม!”
“ขอรับ ผู้พิทักษ์ปู่!” หยางชีฮั่นรีบไปจัดการ เขาเองก็รู้สึกใจตุ๊มๆ ต่อมๆ ผวาไปหมด!
ตอนนี้กองกำลังหนุนสองหมื่นนายที่เขาพามาเหลือเพียงครึ่งหนึ่งแล้ว และในครึ่งหนึ่งที่เหลือนี้ ยังมีผู้บาดเจ็บอีกหนึ่งพันกว่านาย หากมีการศึกใหญ่อีกครั้ง หยางชีฮั่นกลัวว่ากองทัพของเขาจะพ่ายแพ้ยับเยิน ก่อนที่เขาจะนำกองกำลังมาสำนักชางอู๋ เขาไม่เคยคาดคิดถึงผลลัพธ์เช่นนี้มาก่อน เขาคิดถึงความเป็นไปได้ร้อยแปดพันอย่าง มีเพียง ‘พ่ายแพ้ยับเยิน’ ที่เขาคิดไม่ถึงจริงๆ!
ทว่าบัดนี้…
ตอนที่ 144 ตัวข้าซือมิ่งช่วยแล้วต้องช่วยถึงที่สุด
กองกำลังคุนอู๋ที่เหลือรอดรู้ว่าอันตรายกำลังคืบคลานเข้ามาแต่กลับไม่สามารถทำสิ่งใดได้ พวกเขาทำได้เพียงเตรียมตั้งรับเท่านั้น พวกเขาต่างรู้สึกเศร้าสลดและไร้หนทาง เป็นอารมณ์ที่พวกเขาไม่คุ้นชินนัก เพราะมันเป็นอารมณ์ไม่เคยเกิดขึ้นตั้งแต่ที่พวกเขาเข้ามาอยู่ในสำนักคุนอู๋ และเป็นอารมณ์ที่พวกเขาคิดไม่ถึงตั้งแต่ก่อนจะออกมายังสำนักชางอู๋
ใครจะไปคาดคิดว่าเพียงแค่การมาจัดการสำนักที่อ่อนแอที่สุดในบรรดาเจ็ดสำนักใหญ่ จะทำให้ตนเองตกอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นนี้
“หากรู้แต่แรก เราไม่ควรมาเลย” วั่วปู้เหลยที่คอยระวังรอบตัวอยู่นั้น เขาก็อด ‘รู้สึกเสียใจ’ กับสหายเก่าปู่เย่าเหลียนไม่ได้
“ใครจะไปคาดคิดเล่า” ปู่เย่าเหลียนเองก็มองรอบตัวด้วยความรู้สึกสุดจะพรรณนาได้ เขาคิดไม่ถึงเลยจริงๆ เขาในฐานะที่เป็นถึงผู้แข็งแกร่งขั้นถอดจิตแห่งสำนักคุนอู๋ต้องตกระกำลำบากถึงขั้นที่ถูกขโมยศาสตราเวทไป ทั้งยังมิสามารถชิงคืนกลับมาได้ แล้วยังต้องตกอยู่ในความหวาดกลัวจนตัวสั่นงันงกเช่นนี้…
“มารดามันเถอะ!” ปู่เย่าเหลียนอดสบถไม่ได้ “สักวันข้าจะต้องสับคนสำนักชางอู๋เป็นหมื่นๆ ชิ้น! เพื่อชำระแค้นอัปยศที่ข้าได้รับในวันนี้ให้สาสม”
แต่แล้ว เมื่อสิ้นเสียงสบถของปู่เย่าเหลียน รอบๆ กองกำลังคุนอู๋ก็มีเสียงความเคลื่อนไหวดังสวบสาบ ก่อเกิดเสียงสะท้อนประหลาดกับท้องฟ้าที่มืดสนิท ราวกับมีภูตผีปีศาจกำลังเคลื่อนไหวกันเป็นกลุ่มใหญ่!
“ใคร!”
วั่วปู้เหลยทนเสียงเคลื่อนไหวเหล่านั้นไม่ไหว เขาปล่อยพลังออกไปรอบด้านจนเกิดเสียงฟ้าร้องดังสนั่นโครมคราม แต่มีเพียงชั้นดินแตกกระจุยเท่านั้น
“ไม่มีคนรึ” ปู้เย่าเหลียนเบิกเนตรไฟสำรวจรอบค่ายอย่างจริงจัง แต่กลับไม่พบความเคลื่อนไหวของสิ่งมีชีวิตใดๆ
ทว่าเสียงสวบสาบยังคงดังต่อเนื่อง และยังค่อยๆ ดังใกล้มาทางค่ายทหารคุนอู๋ ราวกับว่ามันอยู่ใต้เท้า แต่ก็เหมือนกับว่าอยู่รอบตัว
“ให้ตายเถอะ!” วั่วปู้เหลยเดือดดาลจนฟ้าร้องคำราม ทำเอาค่ายทหารคุนอู๋สว่างวาบ แต่น่าเสียดายที่พวกเขายังคงไม่พบสิ่งใดอยู่ดี
“เกิดอะไรขึ้น” ทหารคุนอู๋ต่างตระหนก ถึงแม้พวกเขาจะไม่เห็นสิ่งใดเลย แต่นี่กลับทำให้พวกเขายิ่งหวาดกลัว!
ลองคิดดูสิ ได้ยินเสียงอยู่แท้ๆ แต่กลับไม่เห็นสิ่งใดเลย นี่มัน… นี่มันน่าขนลุกขนพองอยู่มิใช่หรือ ถึงอย่างไรทหารคุนอู๋ขวัญหนีดีฝ่อกันหมดแล้ว
มีเพียงหยางชีฮั่นที่มีสติ เขาตะโกนว่า “สงบไว้! นี่ต้องเป็นกลอุบายเขย่าขวัญของสำนักชางอู๋ สงบไว้! กองกำลังของเรายังมีผู้พิทักษ์อีกสองท่าน เหตุใดต้องวิตกกันเล่า”
“…ก็ใช่” ทหารคุนอู๋ไม่น้อยถูกประโลม
แต่แล้ว…
“ตาแก่ ไปตายซะ!”
เม่ยเอ๋อร์ที่ปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศจู่โจมเข้ามาในค่ายคุนอู๋แล้ว ดาบเล่มใหญ่ในมือของนางฟาดฟันลงไปที่วั่วปู้เหลย สนามรบอสุรียังระเบิดเสียงดุดัน ‘หม่าป่าเห่าหอนภูตผีหวนไห้’ ดังขึ้นรอบทิศทันที
แซ่กๆ!
แกรกๆ…
เสียงกรีดร้องโหยหวนของภูตผีจำนวนนับไม่ถ้วน ทำเอาทหารคุนอู๋อกสั่นขวัญหนีและทำเอาวั่วปู้เหลยที่เป็นเป้าหมายตาเหลือก เขารีบปล่อยพลังสายฟ้าออกมาทันที
ครืน!
เสียงฟ้าร้องน่าสะพรึงดังสนั่นหวั่นไหว มันปกคลุมตัววั่วปู้เหลยไว้ แต่ก็ทำให้ทหารคุนอู๋ที่ยืนอยู่ข้างๆ เขาจำนวนไม่น้อยบาดเจ็บและตายไป
เท่านี้ยังน้อยไป! สิ่งที่น่ากลัวกว่าคือ…
ปัง!
แรงพลังที่เม่ยเอ๋อร์ผ่าลงบนสายฟ้ายังส่งคลื่นสะเทือนอันน่ากลัวไปยังผู้แข็งแกร่งขั้นถอดจิตสองคน พร้อมทั้งกวาดล้างกองกำลังคุนอู๋
“มารดามันเถอะ!” หยางชีฮั่นอดก่นด่าไม่ได้ “ผู้พิทักษ์ เจ้าถอยไปไกลหน่อยเถอะ กองกำลังทหารจะตายกันหมดอยู่แล้ว”
“มารดามันเถอะ!” วั่วปู้เหลยเองก็รู้ความผิดพลาดของตน เขาจึงทำได้เพียงสบถก่อนจะถอยหลังออกไปไกล “เหล่าปู่! เจ้าทำอะไรอยู่น่ะ ยังไม่มาช่วยข้าอีก!”
“เจ้าคิดว่าข้าสบายดีรึไง” ปู่เย่าเหลียนจะร้องไห้แล้ว เพราะว่าไหล่ของเขาถูกเยี่ยนหงชวนกดไว้ และเขามิสามารสะบัดหลุดได้เลย เขารู้สึกได้เพียงไหล่สะบักของเขาจะแตกแล้ว
เมื่อปู่เย่าเหลียนเห็นว่าคนที่สยบเขาอยู่คือเยี่ยนหงชวนจากแสงวาบของสายฟ้า เขาก็ตะคอกอย่างเดือดดาล “เยี่ยนหงชวน เจ้าคนสวะ! แน่จริงก็สู้กันซึ่งหน้า เล่นลอบกัดเช่นนี้ มิอายชาวบ้านเขาหรือ”
“ตามที่เจ้าปรารถนา” เยี่ยนหงชวนคว้าปู่เย่าเหลียนออกจากสนามรบอย่างรวดเร็ว เขาเองก็ไม่อยากสู้ในนี้ เพราะเด็กน้อยในสำนักของเขามาถึงแล้ว
ทันใดนั้น… ขณะที่ยอดฝีมือทั้งสี่เพิ่งจากไป!
หึ่ง!
หึ่ง!
หึ่ง!…
ทหารชางอู๋ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าทหารคุนอู๋ราวกับภูตผี ทำเอาทหารคุนอู๋ตกใจสะดุ้งโหยง!
“แม่เจ้า!”
…
“ฆ่ามัน!”
“ไปตายซะ!”
เสียงกรีดร้องของทหารคุนอู๋และเสียงเข่นฆ่าของทหารชางอู๋ดังขึ้นในยามค่ำคืนที่มีดวงดาวเต็มท้องฟ้า เสียงดังกึกก้องไปทั่วทั้งชานเมืองทางเหนือของชางอู๋
วูด…
ตูม! ตูม! ตูม!
เสียงเขาเป่าสัญญาณโจมตีของเมืองชางอู๋ดังขึ้น พร้อมกันนั้นเสียงกลองรบปลุกขวัญกำลังใจทหารก็ดังขึ้น ทำเอาเหล่าทหารคุนอู๋ที่ไม่ทันตั้งตัวก็มิอาจได้ยินเสียงอื่นใดอีก นอกจากเสียงที่จู่ๆ ตนเองถูกตัดศีรษะดัง ฉับ หรือไม่ก็เสียงคอหักดัง แกร๊ก…
“โจมตีกลับเร็วเข้า!”
“เร็วเข้า…”
แม้หยางชีฮั่นตะโกนสั่งให้สร้างค่ายกลโจมตีกลับจนคอแทบแตกอย่างไรก็ไม่มีผู้ใดได้ยิน ไม่ว่าเขาจะตะโกนลั่นอย่างไร ทหารของเขาก็ไม่มีผู้ใดได้ยินเลย…
ส่วนทหารใต้บังคับบัญชาสำนักชางอู๋หนึ่งหมื่นนายยิ่งฆ่าฟันก็ยิ่งดุเดือดราวกับฉีดเลือดไก่ [5] พวกเขาเข่นฆ่าทหารคุนอู๋ทุกนายไม่เว้น
ทว่าในขณะนั้นเอง…
“มีพระราชโองการ!”
หยางเทียนชื่อแผดเสียงขั้นถอดจิตไปทางชานเมืองทิศเหนือเมืองชางอู๋ เขาเร่งนำหน้าผู้อื่นมาพร้อมราชโองการ เพราะเขาสังเกตเห็นความผิดปกติที่เกิดขึ้นแล้ว
แต่น่าเสียดาย…
“ฆ่ามัน!”
“ฆ่ามัน…”
ทหารใต้บังคับบัญชาหนึ่งหมื่นนายของชางอู๋ไม่มีผู้ใดได้ยินเลย! พวกเขายังคงไล่ฆ่าทหารคุนอู๋ที่ ‘น่าสงสาร’ อย่างอาจหาญ เพราะว่า…
——————————–
[1] รังคว่ำไซร้ ไข่ย่อมแตก หมายถึง เมื่อส่วนรวมเผชิญกับภัยพิบัติ ส่วนน้อยก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้เช่นกัน
[2] ยามซวี คือช่วงเวลา 19:00 – 21:00
[3] ยามเซิน คือช่วงเวลา 15:00 – 17:00
[4] ยามโหย่ว คือช่วงเวลา 17:00 – 19:00
[5]ฉีดเลือดไก่ คือวิธีการรักษาที่นิยมในประเทศจีนช่วงทศวรรษที่ 1960 ถึงช่วงต้นของการปฏิวัติวัฒนธรรม เชื่อว่าจะทำให้ร่างกายแข็งแรงเหมือนยาวิเศษรักษาสารพัดโรค ปัจจุบันกลายเป็นศัพท์แสลง หมายถึงคนที่มีอาการคึก ตื่นเต้น