เซียนหมอหญิงแม่ลูกอ่อน - ตอนที่ 147 แต่งตั้งปราชญ์มหาสำนักเยี่ยน ตอนที่ 148 มารดาของเจ้าก้อนมอมแมมจะมาจับข้า
- Home
- เซียนหมอหญิงแม่ลูกอ่อน
- ตอนที่ 147 แต่งตั้งปราชญ์มหาสำนักเยี่ยน ตอนที่ 148 มารดาของเจ้าก้อนมอมแมมจะมาจับข้า
ตอนที่ 147 แต่งตั้งปราชญ์มหาสำนักเยี่ยน!
แสงเพลิงสว่างวาบพาดผ่านท้องฟ้าก่อนจะร่วงลงมาจากทางทิศเหนือดั่งดาวตก สิ่งที่มามาพร้อมกับแสงสายฟ้านี้คือเสียงตะโกนกังวาน “มีพระราชโองการ! จักรพรรดิทรงมีพระราชโองการ ทุกท่านฟังคำสั่ง!”
จากนั้น ขณะที่เยี่ยนชิง เฉินคั่วและคนอื่นๆ ยังไม่ทันตั้งสติได้ พระราชโองการที่ม้วนอยู่ก็ถูกคลี่ออกกลางอากาศเหนือศีรษะพวกเขา ก่อนที่เสียงอันน่าเกรงขามจะดังขึ้น
“เราได้ยินว่า จื่ออวี๋แห่งตระกูลเยี่ยนสำนักชางอู๋มีความสามารถปรุงโอสถล้ำเลิศ สตรีอายุเพียงสิบแปดกลายเป็นนักปรุงโอสถในตำนาน! จึงขอพระราชทานตำแหน่งปราชญ์มหาสำนักหมอหลวงให้เป็นกรณีพิเศษเพื่อเข้ารับใช้ใกล้ชิดราชวงศ์ เป็นร่มเงาให้แก่วงศ์ตระกูลเก้าชั่วโคตร หวังให้เจ้าเลือกฤกษ์รับตำแหน่ง เพื่อถ่ายทอดวิชาและไขความกระจ่างแก่สำนักหมอหลวง”
…
เหล่ากองกำลังและเหล่าชั้นผู้น้อยใหญ่สำนักชางอู๋ที่คุกเข่าลงบนพื้นแล้ว พวกเขาก็ยังคงคุกเข่าต่อไป ไม่มีใครตั้งสติได้ ทุกคนตะลึงงันกันไปหมด! แม้สำหรับสำนักชางอู๋แล้ว พวกเขาจะรู้ว่าเยี่ยนจื่ออวี๋คือใคร และรู้ว่านางเป็นนักปรุงยา แต่… แต่ว่านักปรุงยาในตำนาน? ปราชญ์มหาสำนักหมอหลวง? ถ่ายทอดวิชาและไขความกระจ่างแก่สำนักหมอหลวง? นี่มัน… “หมายความว่าอย่างไรกัน”
นี่เป็นคำถามที่วนเวียนอยู่ในใจของพวกเขาทุกคน ถึงแม้พวกเขาเข้าใจความหมายของทุกๆ คำเป็นอย่างดี ทว่าพวกเขาไม่เข้าใจความหมายของพระราชโองการนี้เลยจริงๆ
ฝูงชนจึงคุกเข่าต่อไปพลางครุ่นคิดอย่างสับสน จนเมื่อมีเงาร่างปรากฏออกมาจากกลางอากาศ เขายืนข้างพระราชโองการ ก่อนจะถามพลางหายใจหอบว่า “ทันเถอะ? ทันใช่หรือไม่ มาทัน…”
เมื่อคนที่พูดด้วยอาการหอบหายใจรุนแรงคนนั้นเห็นร่างคนในชุดหลากสี เขาก็หายตัวลงไปหาทันที “อาจารย์น้อยเยี่ยน รีบลุกขึ้นมารับพระราชโองการเถอะ!”
“ท่านพ่อ ปล่อยข้าสิ” เยี่ยนอวี๋มองท่านพ่อที่นิ่งงันอยู่ข้างนาง นางถูกพ่อจับไว้แน่น ไม่สามารถลุกขึ้นได้เลย
“อ้ะ” เยี่ยนเสี่ยวเป่าช่วยตีมือท่านปู่เบาๆ ฝ่ายหลังกลับไม่รู้สึกตัว เพราะเขายังคงกำลัง “ครุ่นคิดความหมายในชีวิต” อยู่
เยี่ยนจื่อเสาตั้งสติขึ้นได้ก่อน เขาจึงตบหลังท่านพ่อของเขาดังป้าบ!
แค่ก!
แค่กๆ…
เยี่ยนชิงที่ถูกตบหลังจนเกือบจะกระอักเลือกจึงตั้งสติขึ้นได้ เมื่อเห็นว่าข้างหน้าของตนมีชายชราผมขาวท่าทางเมตตาท่านหนึ่งยืนอยู่ เขาก็มิได้รู้สึกอะไร เพราะว่าเขาไม่รู้จักชายชราท่านนี้ ทว่าหยางชีซานที่เป็นผู้อาวุโสรุ่นก่อนย่อมรู้จักเขาดี เขาจึง… จึงคุกเข่าลงอีกครั้ง “คารวะใต้เท้าสู่เจิ้ง!”
หยางชีซาน… หยางชีซานก็แทบจะหายใจไม่ออกแล้ว!
เขา… เขา… ถึงแม้เขาได้ยินมาว่านังหนูจื่ออวี๋มีความสัมพันธ์กับสู่เจิ้งของสำนักหมอหลวง แต่… แต่ว่าเหตุใดจึงรู้สึกว่าสถานการณ์ตรงหน้านี้พิกลนักเล่า
ใต้เท้าสู่เจิ้งเขา… เขาเรียกจื่ออวี๋ว่าอะไรนะ
“อาจารย์… อาจารย์น้อยเยี่ยน?” หยางชีซานพึมพำด้วยความสับสน
ชายชราสู่เจิ้งสำนักหมอหลวงกลับกล่าวด้วยความเมตตาว่า “ใช่แล้ว ข้าขอฝากตัวเป็นศิษย์กับแม่นางเยี่ยน แต่อายุข้ามากเกินไป เกรงว่าเรียกแม่นางเยี่ยนเป็นอาจารย์เยี่ยนจะดูแก่เกินไป ข้าจึงเรียก ‘อาจารย์น้อยเยี่ยน’ ”
“อ้อ อ้อๆ…” หยางชีซานขานตอบว่า ‘อ้อ’ ไม่หยุด เยี่ยนชิง ประมุขหอสัตว์บรรพกาลและคนอื่นๆ ก็ร้อง ‘อ้อ’ ตามด้วยเช่นกัน ทว่าฟ้าย่อมรู้ดีว่าอันที่จริงพวกเขางงงวยมาก!
เรื่องบ้าอะไรกัน นี่มันเกิดอะไรขึ้น เหตุใดคุณหนูใหญ่กลายเป็นปราชญ์มหาสำนักหมอหลวงและกลายเป็นอาจารย์ของใต้เท้าสู่เจิ้งภายในชั่วพริบตาเช่นนี้เล่า
ได้โปรดฟ้าประทานปัญญาให้ทุกคนเข้าใจโดยเร็วเถิด นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน!
…
ทว่าเมื่อเปรียบเทียบกับความสับสนมึนงงของคนสำนักชางอู๋แล้ว สภาพของหยางเทียนชื่อและเฉินคั่วย่ำแย่ยิ่งกว่า หยางเทียนชื่อยังถามขึ้นอย่างไร้สมองว่า “เข้า… เข้าใจผิดแล้วมั้ง”
“นั่น… นั่นน่ะสิ…” เฉินคั่วถามด้วยความงุนงงว่า “ใต้… ใต้เท้าสู่เจิ้ง ท่าน… ท่านเข้าใจ… เข้าใจผิดหรือไม่”
นักปรุงยาในตำนานอายุสิบแปด? ปราชญ์มหาสำนักหมอหลวง? อาจารย์ของหมอหลวง?
นี่มัน…
เหล่ากองทัพราชสำนักที่คิดตามไม่ทันต่างก็เผยสีหน้าเหลือเชื่อ และคิดว่าสิ่งที่ตนได้ยินเมื่อครู่นี้ตนหูฝาดไปเองทั้งนั้น เพราะว่าเรื่องนี้ไม่มีทางเป็นไปได้!
แต่แล้ว สู่เจิ้งสำนักหมอหลวงก็ตวาดเสียงอย่างหนักแน่นว่า “พวกเจ้าได้ยินไม่ผิด! นี่คือพระราชประสงค์ขององค์จักรพรรดิ พวกเจ้าไสหัวไปได้แล้ว! เพราะไม่ว่าก่อนหน้านี้เกิดเรื่องอันใด ด้วยฐานะของท่านปราชญ์มหาสำนักเยี่ยนนางสามารถคุ้มครองเก้าชั่วโคตรของตนได้ ไม่ว่าผู้ใดก็ห้ามใช้กำลังโจมตีสำนักชางอู๋และเจ้าสำนักชางอู๋ที่เลี้ยงดูอบรมท่านปราชญ์มหาสำนักเยี่ยนมา เข้าใจหรือไม่”
ในครานี้เอง…
ตอนที่ 148 มารดาของเจ้าก้อนมอมแมมจะมาจับข้า
หยางเทียนชื่อตั้งสติได้คนแรก แต่เขายังคงรู้สึกไม่อยากจะเชื่อจึงถามอย่างเฉียบคมว่า “เป็นไปได้อย่างไร นี่มันเป็นไปได้อย่างไรกัน! ท่านเหวยสู่เจิ้ง ท่านแน่ใจหรือว่าท่านมิได้เข้าใจผิด ท่านต้องรู้ว่านักปรุงยาในตำนานอายุสิบแปดที่ท่านกล่าวถึง นางไม่มีทางมีชีวิตอยู่จริง! หากมีก็เป็นเรื่องโกหก! เพราะไม่มีทางเป็นไปได้! ไม่มีทางเป็นไปได้แน่นอน! ถึงแม้จะมีก็ไม่มีทางปรากฏในสำนักชางอู๋ ฉะนั้นนี่ต้องเป็นเรื่องเข้าใจผิดแน่ๆ! ท่านเหวยสู่เจิ้งโปรดถอนคืนพระราชโองการด้วย”
หยางเทียนชื่อที่พรั่งพรูความสงสัยออกมาชุดใหญ่ เขายิ่งพูดก็ยิ่งรู้สึกว่าตนเองมีเหตุผล แม้แต่เฉินคั่วที่อยู่ข้างกายเขาก็คิดเช่นนั้น
น่าเสียดายที่สู่เจิ้งแห่งสำนักหมอหลวงยิ้มหยัน ก่อนจะพูดขึ้นว่า “เช่นนั้นคงต้องทำให้ท่านประมุขสูงสุดหยางผิดหวังแล้ว อาจารย์น้อยเยี่ยนเป็นนักปรุงยาในตำนานจริงๆ เรื่องนี้ข้ารับรองได้ ส่วนเรื่องถอนคืนพระราชโองการ ข้าจะนำคำพูดของท่านประมุขสูงสุดหยางทูลแก่องค์จักรพรรดิ และให้องค์จักรพรรดิเป็นผู้ตัดสินพระทัย แต่บัดนี้ แม่ทัพเฉินโปรดถอนกำลังด้วย”
“…” แววตาเฉินคั่วเต็มไปด้วยความสับสน เขาไม่รู้ว่าเกิดเหตุการณ์พลิกผันเช่นนี้ขึ้นได้อย่างไร ทว่าสติที่ค่อยๆ กลับคืนมาของเขาก็ทำให้เขารู้ว่าบัดนี้ไม่สามารถใช้กำลังกับสำนักชางอู๋ได้แล้ว
ทว่าหยางเทียนชื่อยังคงไม่ยอมรับความจริง เขากรีดร้อง “ไม่! ห้ามถอนทัพ! กองกำลังชั้นยอดสามหมื่นนายสำนักคุนอู๋ของข้าจะตายเสียเปล่าไม่ได้เด็ดขาด!”
สู่เจิ้งแห่งสำนักหมอหลวงได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้วก่อนจะถามอย่างไม่อยากจะเชื่อว่า “ท่านประมุขสำนักสูงสุดหยาง ท่านหมายความว่า สำนักคุนอู๋ของพวกท่านเคลื่อนทัพมาสำนักชางอู๋โดยพลการงั้นหรือ”
“ข้า…” หยางเทียนชื่อหน้าดำหน้าแดง เขาเข้าใจความหมายโดยนัยของคำถามนี้ดี เกรงว่าสำนักคุนอู๋จะถูกลงโทษฐานเคลื่อนกำลังพลโดยมิได้รับอนุญาต
พูดจากใจจริง หยางเทียนชื่อมิกังวลข้อกล่าวหาดังกล่าว เพราะสำนักชางอู๋มีเครือข่ายในราชสำนักมากมาย ไม่ใช่ว่าคนอื่นพูดว่าอย่างไร พวกเขาก็ต้องยอมรับตามสภาพเช่นนั้นประหนึ่งเป็นสำนักอ่อนแอ
ทว่าสู่เจิ้งแห่งสำนักหมอหลวงกลับพูดอย่างมีเลศนัยว่า “ท่านประมุขสำนักสูงสุดหยาง ท่านจงไตร่ตรองให้ดีก่อนจะตอบข้า องค์จักรพรรดิมิได้อนุญาตให้สำนักคุนอู๋เคลื่อนย้ายกำลังตั้งแต่แรก ซ้ำร้ายราชสำนักก็มิได้รับรายงานเรื่องที่สำนักคุนอู๋ของท่านเคลื่อนย้ายกำลังพลตั้งแต่ต้น หรือว่าสำนักคุนอู๋ของท่านหลอกลวงเบื้องบน ปิดบังและระรานเบื้องล่างได้ถึงเพียงนี้แล้ว ท่านสามารถเคลื่อนกำลังพลสามหมื่นนายโดยพลการภายใต้สายพระเนตรขององค์จักรพรรดิ โดยที่องค์จักรพรรดิไม่ทราบเรื่องเลยหรือ?”
เมื่อสิ้นเสียงพูด… เฉินคั่วก็รีบตอบว่า “ใต้เท้าสู่เจิ้งกล่าวเกินไปแล้ว ไม่มีเรื่องเช่นนี้ คนที่มาของสำนักคุนอู๋เป็นเพียงศิษย์อายุน้อยด้อยประสบการณ์ พวกเขาเพียงแค่ต้องการประลองแลกเปลี่ยนฝีมือเท่านั้น”
เฉินคั่วรู้ดีว่าเหตุผลที่สำนักคุนอู๋อาจหาญเคลื่อนย้ายกำลังพลโดยพลการนั้น ไม่เพียงเป็นเพราะมีคนในราชสำนักคอยให้ท้าย แต่ยังเป็นเพราะเคล็ดวิชาลับของสำนักชางอู๋ พวกเขาจึงเต็มใจที่จะเสี่ยง หากได้เคล็ดวิชาลับมาจะให้พวกเขายอมรับผิดก็ย่อมได้ แต่ในเมื่อไม่ได้เคล็ดวิชาลับแล้วยังต้องรับผิด เช่นนั้นไม่ย่ำแย่เกินไปหรือ เฉินคั่วจึงคอยส่งสายตาให้หยางเทียนชื่อ
หยางเทียนชื่อจะไม่เข้าใจได้อย่างไร เพียงแต่ว่าหากเขาไม่ยอมรับผิดว่าส่งกองกำลังมาแล้ว กองกำลังใต้บังคับบัญชาชั้นยอดหนึ่งหมื่นนายของสำนักคุนอู๋และกองหนุนชั้นยอดสองหมื่นนาย ยังมีผู้พิทักษ์แข็งแกร่งธาตุไฟฟ้าหนึ่งท่านก็ต้องตายเสียเปล่าสิ! พวกเขาจะต้องตายเสียเปล่าจริงๆ!
สู่เจิ้งแห่งสำนักหมอหลวงถามคำถามสำคัญขึ้นว่า “ท่านประมุขสำนักสูงสุดหยางยืนยันส่งกองกำลังสามหมื่นนาย และกองกำลังชั้นยอดสามหมื่นนาย แต่ยังพ่ายแพ้ให้สำนักเล็กๆ เช่นชางอู๋แห่งนี้หรือ”
วาจาชัดแจ้งที่อาจสั่นคลอนตำแหน่งของสำนักคุนอู๋เช่นนี้ทำให้หยางเทียนชื่อพูดพลางกัดฟันกรอดว่า “ไม่! ที่ท่านแม่ทัพเฉินกล่าวมาเป็นความจริง! คนที่มาของสำนักคุนอู๋ของข้าเป็นเพียงชั้นผู้น้อย พวกเขามาเพื่อประลองแลกเปลี่ยนฝีมือกับชางอู๋เท่านั้น แต่ว่า…”
“ไม่มีแต่ ในเมื่อเป็นการประลองฝีมือ ย่อมมีการสูญเสียหรือบาดเจ็บเป็นธรรมดา หวังว่าท่านประมุขสำนักสูงสุดหยางจะเปิดใจกว้าง” คำพูดแต่ละคำของสู่เจิ้งแห่งสำนักหมอหลวงแทบจะจุกอยู่กลางอกของหยางเทียนชื่อ จุกจนเขารู้สึกหายใจติดขัดแทบจะขาดใจตาย
ทว่าถึงอย่างไรหยางเทียนชื่อก็เป็นขิงแก่ [1] เขาพูดอย่างคนหัวรั้นว่า “เรื่องที่เหลือนั่นช่างปะไร ผู้พิทักษ์ธาตุไฟของข้าอยู่ไหน ในเมื่อมีพระราชโองการแล้ว ‘การประลองฝีมือ’ ก็ควรยุติลงแล้วหรือไม่!”
“อ้อ พวกข้าเองก็ไม่รู้ว่าเขาไปไหน” เยี่ยนหงชวนที่จู่ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นเงียบๆ นั้นตอบอย่างไร้เดียงสา “บางทีเขาอาจจะกลับสำนักเพียงลำพังแล้วก็ได้”
“เจ้า! พวกเจ้า…” หยางเทียนชื่อสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า บนตัวของเยี่ยนหงชวนมีกลิ่นอายของปู่เย่าเหลียนอยู่ ก่อนหน้านี้พวกเขาต้องต่อสู้กันแน่นอน แต่ตาแก่นี่กลับไม่ยอมรับ!
หยางเทียนชื่อโมโหจนตัวสั่น “พวกเจ้าอย่ารังแกคนเกินไปหน่อยเลย!”
“อาวุโสหยางท่านกล่าวเช่นนี้ได้อย่างไร สำนักชางอู๋ของพวกเราอ่อนแอเช่นนี้ จะรังแกสำนักคุนอู๋ของท่านได้อย่างไร” เยี่ยนชิงชี้แจง ‘ความจริง’ อย่างไม่ยี่หระ
เยี่ยนหงชวนก็พูดต่อไปอีกว่า “นั่นน่ะสิ คุนอู๋ของเจ้ายังมอบถ้วนจ่านเพลิงสีม่วงให้เพราะความสงสารต่อสำนักข้าด้วย พวกข้าลำบากใจยิ่งนัก แต่ใครให้สำนักข้ายากจนและอ่อนแอเช่นนี้เล่า พวกข้าจึงจำใจต้องหน้าด้านรับเอาไว้”
“ใช่ๆๆ! ขอบคุณอาวุโสหยางแล้ว!” เยี่ยนชิงรีบทำท่าโค้งคำนับหยางเทียนชื่อทันที
ในครานี้เอง…
อั่กกก…
หยางเทียนชื่อที่มีอาการบาดเจ็บอยู่แล้วก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป เขากระอักเลือดออกมาทันที “พะ…พวกเจ้า… อั่กกก…”
หยางเทียนชื่อไม่ทันได้พูดคำพูดที่เหลือ เขาก็สลบไปทันที
“ท่านประมุขสำนักสูงสุดหยาง!”
เฉินคั่วรีบประคองหยางเทียนชื่อไว้อย่างเวทนา ก่อนจะกล่าวอำลาสู่เจิ้งสำนักหมอหลวง
ตลกแล้ว ถ้าให้อยู่ต่อไป… เฉินคั่วกังวลว่าท่านประมุขสำนักสูงสุดผู้ที่อาจจะเป็นอัจฉริยะบุคคลที่ยังคงอยู่รอดเพียงหนึ่งเดียวกระทั่งปัจจุบันจะต้องตายที่นี่ หากเป็นเช่นนั้นแล้วเขาจะอธิบายต่อสำนักคุนอู๋อย่างไรเล่า
เมื่อกลุ่มคนเฉินคั่วเพิ่งจากไป จู่ๆ เยี่ยนอวี๋ก็พูดขึ้นว่า “ท่านสู่เจิ้ง โปรดรอสักครู่ ข้าไปประเดี๋ยวจะกลับมา”
“หืม?” สู่เจิ้งแห่งสำนักหมอหลวงงุนงง
ทว่าเยี่ยนอวี๋ก็อุ้มเด็กน้อยหายตัวไปบนท้องฟ้าแล้ว
ส่วนต้าซือมิ่งราชสำนักที่อยู่กลางอากาศก็กระตุกมุมปากขึ้นเล็กน้อย “นางรู้สึกตัวแล้วหรือ ถ้าเช่นนั้น…”
———————————
[1] ขิงแก่ หมายถึง ผู้มีประสบการณ์มาก