เซียนหมอหญิงแม่ลูกอ่อน - ตอนที่ 150 ต้าซือมิ่งปรากฏต่อหน้าผู้คน
อินหลิวเฟิงคิดว่า แทนที่จะไปหาต้าซือมิ่งอย่างไม่รู้ทิศรู้ทาง สู้ขอความช่วยเหลือจากคุณหนูใหญ่เยี่ยนดีกว่า ไม่แน่ว่าอาจจะได้ผลลัพธ์เกินคาด! อีกทั้งเขายังสงสัยว่าต้าซือมิ่งท่านนั้นคอยติดตามกูไหน่ไนท่านนี้ตลอดเวลา ไม่แน่ว่าวิธีการนี้นอกจากจะทำให้คุณหนูใหญ่เยี่ยนออกโรงแล้ว ยังสามารถ ‘ล่อ’ ต้าซือมิ่งออกมาได้ด้วย เช่นนั้นก็แก้ไขปัญหาของโยวตูได้ไม่น้อยแล้ว!
แต่แล้วอินหลิวเฟิงที่วางแผนไว้อย่างรอบคอบกลับถูกสู่เจิ้งคัดค้าน “นายน้อยอิน เกรงว่าท่านจะเข้าใจผิดแล้ว ปราชญ์มหาสำนักเยี่ยนเป็นปราชญ์มหาสำนักของสำนักหมอหลวง แต่ปัญหาอุทกภัยของพวกท่านนี้ ไม่น่าจะใช่เรื่องที่นักปรุงยาเป็นผู้แก้ไข!”
“แม้จะเป็นเช่นนี้ ทว่าใครจะไปรู้เล่า ถึงอย่างไรจากชางอู๋ไปเมืองหลวงก็ต้องผ่านโยวตูของข้า เช่นนั้นก็ถือโอกาสดูเสียเล็กน้อย ย่อมไม่เสียเวลาอยู่แล้ว” อินหลิวเฟิงตอบกลับอย่างฉะฉาน
สู่เจิ้งแห่งสำนักหมอหลวง “…”
เขารู้ว่านายท่านอินท่านนี้มีชื่อเสียงเจ้าชู้อื้อฉาว กลับไม่คิดว่านายท่านน้อยจอมเจ้าชู้ท่านนี้จะคิดข้ออ้างไร้เหตุผลเช่นนี้ออกมาได้เพียงเพื่อต้องการจีบคนงาม
ทว่าคำพูดไร้เหตุผลเช่นนี้กลับทำให้เขาไม่สามารถเถียงต่อได้
นี่มัน…
สู่เจิ้งพยายามคิดอย่างหนักว่าจะคัดค้านอย่างไร เยี่ยนอวี๋กลับพูดขึ้นว่า “ได้ เช่นนั้นไปดูกัน”
“แต่ว่า…” สู่เจิ้งแห่งสำนักหมอหลวงยังคงอยากห้ามปราม
ทว่าเยี่ยนอวี๋ตัดสินใจแล้ว “รบกวนเหวยสู่เจิ้งกลับไปถวายรายงานตัวก่อน เพราะข้าเองก็พาลูกไปด้วย ลูกต้องกินต้องพักตลอดทาง ทำได้เพียงค่อยๆ เดินทางไป เร่งมิได้ หวังว่าท่านสู่เจิ้งจะทูลฝ่าบาทให้ชัดแจ้ง”
“อาจารย์น้อยวางใจ ศิษย์จะทูลแก่ฝ่าบาท เพียงแต่ว่าเรื่องอุทกภัยโยวตูเป็นเรื่องของตำหนักซือมิ่ง บัดนี้อาจารย์เป็นคนของสำนักหมอหลวง มิจำเป็นต้องเข้าไปพัวพัน” สู่เจิ้งแห่งสำนักหมอหลวงยังคงคิดว่าไม่ควรปล่อยให้อาจารย์น้อยงดงามเช่นนี้ตกอยู่ในกำมือของนายท่านน้อยจอมเจ้าชู้ท่านนี้
หารู้ไม่ว่า เมื่อเขาพูดถึงตำหนักซือมิ่ง สายตาเยี่ยนอวี๋พลันเป็นประกาย “ตำหนักซือมิ่งหรือ เช่นนั้นก็ไม่เป็นไร”
“หืม?” ผู้เฒ่าสู่เจิ้งไม่เข้าใจ
เยี่ยนอวี๋ไม่อยากพูดมากความ “เหวยสู่เจิ้งมิต้องกังวล ข้าเข้าใจดี ท่านกลับไปพักผ่อนก่อนเถิด เมื่อฟื้นตัวเต็มที่แล้วค่อยกลับเมืองหลวง คิดว่าน่าจะยังไม่สาย”
“…ขอรับ” ผู้เฒ่าสู่เจิ้งที่เป็นกังวลใจไร้หนทางจึงได้แต่ลาจากไป ในเมื่อเขาเป็นศิษย์ ย่อมมิใช่เรื่องดีหากจะบังคับความคิดของอาจารย์ ช่างเถอะ… หากนายท่านน้อยจอมเจ้าชู้นั่นแต่งงานกับอาจารย์น้อยจริงๆ เขาก็แค่คอยช่วยจับตาดูเขาให้มากเสียหน่อย! หากนายท่านน้อยจอมเจ้าชู้กล้าทำอะไรมิดี ไม่ต้องรอให้ถึงมืออาจารย์น้อย เขาจะทำให้นายท่านน้อยจอมเจ้าชู้นั่นเสียใจเอง! เมื่อคิดได้เช่นนี้ ผู้เฒ่าสู่เจิ้งแห่งสำนักหมอหลวงก็จากไปอย่างวางใจ
ในตำหนักเหลือเพียงอินหลิวเฟิง จู่ๆ เขาก็รู้สึกว่าแผ่นหลังเย็นวาบขึ้นมาทำเอาเขาจามออกมาอย่างงงงัน จากนั้นก็พูดขึ้นว่า “เช่นนั้นจื่ออวี๋เจ้าก็ไปพักผ่อนเถอะ จะออกเดินทางเมื่อไรค่อยมาเรียกข้า”
“อืม ไปเถอะ” เยี่ยนอวี๋โบกมือพูด
“ได้” อินหลิวเฟิงพาเอ้อร์เหมาออกจากตำหนักใหญ่สำนักคุนอู๋ ก่อนจากไปเขายังไม่ลืมที่จะพากู้หยวนหมิงไปด้วย เพราะว่าที่นี่ไม่มีธุระของเขาแล้ว แต่อีกฝ่ายกลับไม่ไปพร้อมอินหลิวเฟิง เขาพูดขึ้นว่า “แม่นางเยี่ยน เรื่องทั้งหมดนี้ข้าได้ประจักษ์แล้ว ข้าขอไม่ไปโยวตูแล้ว ข้าต้องกลับสำนัก เจอกันใหม่เมื่อถึงวันพิธีแต่งตั้งเจ็ดสำนักที่เมืองหลวง”
“ก็ดี” เยี่ยนอวี๋ตอบกู้หยวนหมิงด้วยความรู้สึกผิดเล็กน้อย “ครานี้ข้าละเลยดูแลเจ้า คราวหน้าเจอกันที่เมืองหลวง ข้าจะให้ของขวัญเจ้าชิ้นหนึ่งแทนคำขอโทษ”
“แม่นางเยี่ยนเกรงใจเกินไปแล้ว” กู้หยวนหมิงยิ้มพลางพูดว่า “แต่ของขวัญของเจ้า ข้าจะต้องรับไว้แน่ เช่นนั้นก็ตามนี้ เจอกันที่เมืองหลวง ข้ารอรับของขวัญของเจ้า”
“ย่อมได้” เยี่ยนอวี๋ยิ้มเล็กน้อย “พบกันใหม่”
“พบกันใหม่” กู้หยวนหมิงประสานมือกล่าวลา จากนั้นก็ส่งยิ้มให้เจ้าตัวน้อย “เสี่ยวเป่า ไว้พบกันใหม่นะ”
“อ้ะเนะเนะ!” เยี่ยนเสี่ยวเป่าประสานมือทันที เขาทำท่า ‘กำหมัด’ อำลากู้หยวนหมิง น่ารักเสียไม่มี
“ฮ่าๆๆ…” กู้หยวนหมิงเดินขึ้นไปลูบศีรษะน้อยๆ ของเด็กน้อยด้วยรอยยิ้มสดใส และให้สัญญาว่า “คราวหลังลุงจะหาของขวัญสวยๆ ให้สักชิ้นนะ”
“อ้ะ!” เยี่ยนเสี่ยวเป่ายิ้มตาหวานเป็นพระจันทร์เสี้ยวทันทีเป็นการบอกว่า ขอบคุณขอรับ
กู้หยวนหมิงพลันรู้สึกจากก้นบึ้งหัวใจอีกครั้งว่าหากเด็กคนนี้เป็นเด็กของตระกูลกู้ของพวกเขาจริงๆ คงดีมากเลย
เสียดาย… กู้หยวนหมิงที่รู้ว่าไม่มีทางเป็นไปได้ก็ทำได้เพียงประสานมือกล่าวอำลากับเยี่ยนอวี๋อีกครั้ง ก่อนจะพยักหน้าคารวะทุกคนในตำหนัก จากนั้นก็หันหลังเดินจากไปพร้อมแสงอัสดงอย่างสง่างาม
ภาพแผ่นหลังที่สวมชุดสวยงามภายใต้แสงอัสดงสีทองที่สาดส่องราวกับภาพวาดที่ทำให้คนดูจิตใจเบิกบานปรากฏต่อสายตาของทุกคนในตำหนัก
“นี่! ชุนซิ่นจวิน เจ้าอำลาคนอื่นแล้ว แต่ไม่อำลาข้ารึ! เจ้าไม่มาโยวตูของข้าด้วย มีปัญหาอะไรกับโยวตูของข้าหรืออย่างไร! รอข้าด้วย…”
อินหลิวเฟิงที่รีบตามกู้หยวนหมิงไป เขาก็แทรกเข้าไปในภาพวาดอันงดงามนั่นอย่างไม่เสียชื่อคุณชายจอมเจ้าชู้
สองท่านนี้เป็นสองในสี่สุภาพบุรุษที่เลื่องชื่อที่สุดแห่งแผ่นดินต้าซย่า พวกเขาเป็นชายหนุ่มผู้มากความสามารถในราชวงศ์ และเป็นคู่ชีวิตที่สตรีสูงศักดิ์มากมายหมายปองแต่มิอาจเอื้อมถึงได้
บัดนี้… ชายหนุ่มดีๆ เช่นนี้ต่างมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับคุณหนูใหญ่ กระทั่ง… เหล่าชั้นผู้ใหญ่สำนักคุนอู๋ไม่น้อยที่เห็นฉากนี้ก็คิดว่าพวกเขาไม่ควรหวังสูงถึงคุณหนูใหญ่ของพวกเขา ความรู้สึกนี้ช่างแปลกประหลาดนัก และก็ทำให้พวกเขาต้องส่ายศีรษะเพื่อสะบัดความคิด ‘เพ้อเจ้อ’ เช่นนี้ออกไป
สองในสี่สุภาพบุรุษเชียวนะ!
ไม่ว่าคุณหนูใหญ่จะแต่งงานกับผู้ใดในนั้นก็ดีกว่ากู้จ่างสื่อร้อยเท่า! ไม่สิ หนึ่งพันเท่าต่างหาก! เจ้านั่นมันก็แค่สุนัขตัวหนึ่งเท่านั้น
แม้แต่ผู้อาวุโสรองที่ก่อนหน้านี้ยังโน้มน้าวให้เยี่ยนชิงยอมรับคำสู่ขอของกู้หยวนเหิงก็รู้สึกละอายใจนัก หากไม่มีการเปรียบเทียบก็คงไม่รู้สึกเจ็บปวด
…
ในขณะที่เหล่าชั้นผู้ใหญ่ชางอู๋ในตำหนักกำลังรู้สึกปลงอนิจจังอยู่นั้น เสียงไพเราะดุจเสียงเพลงบรรเลงของเยี่ยนอวี๋ก็ดังขึ้น “ข้าจะออกเดินทางจากสำนักในอีกห้าวัน ในช่วงห้าวันนี้หากท่านใดมีคำถามเกี่ยวกับการฝึกฌานก็สามารถมาถามข้าได้ ข้าคิดว่าข้าน่าจะให้คำแนะนำได้ไม่มากก็น้อย”
เมื่อคำพูดเช่นนี้ออกจากปากของคนอายุน้อยเช่นเยี่ยนอวี๋ก็ทำให้เหล่าชั้นผู้ใหญ่สำนักชางอู๋รู้สึกแปลกพิกล ทว่าความสามารถของนางก็เพียงพอที่จะทำให้นางพูดเช่นนี้ได้ เหล่าชั้นผู้ใหญ่ชางอู๋ต่างไม่คิดว่านางโอหังเกินไปจึงกล่าวขอบคุณจากใจ ทว่าพวกเขาในตอนนี้ไม่รู้เลยว่าการได้รับคำชี้แนะจากเยี่ยนอวี๋ถือเป็นเรื่องมีเกียรติมากเพียงใด
ครั้นเมื่อหลายๆ คนขอเข้าพบพร้อมปัญหาของพวกเขาก็พบว่าคุณหนูใหญ่อายุน้อยเช่นนี้กลับมีประสบการณ์ฝึกฌานช่ำชองนัก!
“ไม่คิดเลย! ไม่คิดเลยจริงๆ!” ประมุขหอสัตว์บรรพกาลที่เห็นแจ้งเป็นคนแรกนั้น เขารู้สึกเสียใจจริงๆ ที่ก่อนหน้านี้เขาไม่มาถามตั้งแต่แรก! จนตอนนี้ผ่านไปสองวันแล้ว เหลือเวลาอีกเพียงสามวัน คุณหนูใหญ่ก็ต้องไปแล้ว!
เวลาที่เหลืออีกสามวัน ประมุขหอสัตว์บรรพกาลจึงไปหาเยี่ยนอวี๋ในเรือนแทบทุกวัน ถึงแม้จะมีสิ่งที่ฟังไม่รู้เรื่องมากมาย แต่เขาก็ต้องฟังและยังนำสมุดมาจดลงไปด้วย ไว้วันหลังค่อยๆ ทำความเข้าใจเอา
เมื่อเห็นประมุขหอสัตว์บรรพกาลเป็นเช่นนี้ เหล่าประมุขหอและผู้อาวุโสไม่น้อยก็เริ่มกระตือรือร้นขึ้นมา พวกเขาต่างพูดปากต่อปากอย่างรู้สึกเสียดาย “รู้เช่นนี้มาหาคุณหนูใหญ่แต่แรกก็ดี พวกเจ้ารีบไปสิ!”
ทว่าไม่ว่าเหล่าชั้นผู้ใหญ่ชางอู๋จะรู้สึกเสียดายอย่างไร เยี่ยนอวี๋ยังคงต้องจากไปและคนที่อาลัยอาวรณ์มากที่สุดย่อมคือเยี่ยนชิง ในเมื่อเยี่ยนจื่อเสาไปกับเยี่ยนอวี๋ได้ แต่เขาไปด้วยไม่ได้
“เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ หรือว่าพ่อไม่เป็นเจ้าสำนักแล้วดี ไปกับเจ้าดีหรือไม่” เมื่อเยี่ยนชิงคิดว่าต่อจากนี้คงไม่ได้เจอบุตรสาวและหลานชายน้อยอีกนาน เขาก็รู้สึกเศร้านัก
“ใช่ว่าจะไม่ได้” เยี่ยนอวี๋เองก็กลัวว่าเมื่อตนจากไป บิดาเจ้าน้ำตาคนนี้จะร้องไห้อีก นางจึงครุ่นคิดอย่างจริงจังครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “เช่นนั้นให้ประมุขหอสัตว์บรรพกาลเป็นเจ้าสำนัก?”
“ช่างเถอะ นิสัยสุนัขอย่างเขาเหมาะกับคลุกคลีกับอสูรเท่านั้น ข้าเป็นเจ้าสำนักต่อไปดีกว่า รอพี่ใหญ่ของเจ้าเล่าเรียนสำเร็จกลับมา ข้าค่อยยกตำแหน่งเจ้าสำนักให้เขา” เยี่ยนชิงกล่าว
แม้ไม่อยากเป็นเจ้าสำนักเท่าไรนัก แต่เยี่ยนชิงอยากเป็นแผ่นหลังที่แข็งแกร่งให้บุตรสาวสุดที่รัก ถึงแม้พระราชโองการแต่งตั้งของราชสำนักจะเขียนโดยองค์จักรพรรดิเอง แสดงให้เห็นถึงการให้ความสำคัญต่อบุตรสาวสุดที่รักของตนขององค์จักรพรรดิ แต่เยี่ยนอวี๋เข้าใจดีว่า หากไม่มีกองหนุนที่เข้มแข็ง บุตรสาวผู้โดดเดี่ยวที่ต้องเข้ารับราชการในราชสำนักก็ทำได้เพียงคอยพึ่งอำนาจสูงสุดที่ไม่มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือด เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว หากวันใดสำนักคุนอู๋เป็นประโยชน์ต่อราชสำนักมากกว่านักปรุงยาในตำนานท่านหนึ่งแล้ว เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ของเขาก็คงต้องตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เยี่ยนชิงจึงพูดอย่างหนักแน่นว่า “พ่อจะทิ้งสำนักไว้ให้เจ้า ยาเม็ด ยันต์ และศิษย์เชลยที่เจ้าให้ไว้ หากฝากคนอื่นพ่อวางใจไม่ลง แล้วก็พ่อจะทำตามที่เจ้าบอก พ่อจะสร้างกองกำลังชั้นยอดที่แข็งแกร่งให้ได้ อย่างไรก็ตาม ในวันพิธีแต่งตั้งเจ็ดสำนัก สำนักชางอู๋จะไม่ทำให้เจ้าต้องขายหน้าแน่นอน!”
“ไม่…” เยี่ยนอวี๋อยากจะพูดว่านางไม่เป็นไร ขอเพียงท่านดูแลตัวเองดีๆ ก็พอแล้ว
ทว่าเยี่ยนชิงกลับพูดต่อไปว่า “เจ้าไปโยวตูแล้ว หากคิดว่าเหมาะสมก็กำหนดงานแต่งเลยดีหรือไม่”
“หืม?” เยี่ยนอวี๋ไม่เข้าใจว่าเหตุใดพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา
เยี่ยนชิงกลับพูดขึ้นว่า “ข้าเห็นเจ้าสุนัขตัวดีไม่ยอมถอดใจเสียที ส่วนอินหลิวเฟิง ถึงแม้เขาจะปากหวานพูดจาหว่านล้อมไปทั่ว แต่เขาก็เป็นคนที่เชื่อถือได้ หากเจ้าชอบพอ พ่อจะจัดการให้ดีหรือไม่”
“ไม่ต้องหรอกเจ้าค่ะ” เยี่ยนอวี๋รู้สึกอึดอัดใจ นางอุ้มเด็กน้อยลุกขึ้นแล้วพูดว่า “เรื่องนี้ข้ารู้ตัวดี จำไว้ว่าเมื่อข้าไปแล้วท่านห้ามร้องไห้ ดูแลตนเองดีๆ หากมีเรื่องอะไรก็บดยันต์พิเศษที่ข้าเตรียมไว้ให้ท่าน เข้าใจหรือไม่”
“รู้แล้ว! แต่ว่า…”
“พอแล้ว ข้าง่วงแล้ว ข้ากับเสี่ยวเป่าจะเข้านอนแล้ว พรุ่งนี้ท่านมิต้องมาส่ง”
“ไม่ใช่…”
“อ้ะๆๆ!”
เยี่ยนอวี๋อุ้มเด็กน้อยหนีไปอย่างรวดเร็วพลางส่งเสียง อ้ะๆ อย่าง ‘ร่าเริง’
เยี่ยนชิงได้แต่ยืนมอง ผ่านไปนานกว่าเขาจะดึงสติกลับมาได้ เขามองแผ่นหลังที่จากไปของเยี่ยนอวี๋ ก่อนจะยิ้มพูดว่า “เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ ลูกต้องก้าวไปบนโลกมนุษย์อย่างมีความสุขเฉกเช่นปลาที่แหวกว่ายในมหาสมุทร ไร้พันธนาการ และเป็นอิสระนะ”
นี่คือความปรารถนาที่เขามีต่อภรรยาในครานั้น เพื่อสิ่งนี้แล้ว เขายอมแลกด้วยทุกสิ่ง! เยี่ยนชิงคิด…
…
ในขณะเดียวกัน อินหลิวเฟิงกำลังพักอยู่ในเรือนพักผ่อน เขาก็เห็นใครคนหนึ่งเข้ามา
ผมดำดั่งหมึกในชุดสีเข้ม ดวงตาดุจดาวสีม่วง หน้าตาดั่งหยกงาม ท่าทางสง่าเฉกเช่นต้นสวรรค์รัศมีเปล่งประกาย ต้าซือมิ่งราชสำนัก!
นี่มัน…
“ต้าซือมิ่ง!”
อินหลิวเฟิงตะลึงงัน!
องค์หญิงเยือนชางอู๋ จบบริบูรณ์