เซียนหมอหญิงแม่ลูกอ่อน - ตอนที่ 151 เข้าเมืองโยวตู ตอนที่ 152 เป็นผู้เกิดใหม่ทั้งนั้น
- Home
- เซียนหมอหญิงแม่ลูกอ่อน
- ตอนที่ 151 เข้าเมืองโยวตู ตอนที่ 152 เป็นผู้เกิดใหม่ทั้งนั้น
เล่มที่ 3 โยวตูผงาด
ตอนที่ 151 เข้าเมืองโยวตู
โยวตูตั้งอยู่ระหว่างจุดบรรจบของแม่น้ำไหวและแม่น้ำเย่ว์หมิง มีทะเลสาบเวยซานอยู่ทางทิศตะวันออก แม่น้ำฮุ่ยจี้อยู่ทางทิศใต้ อีกทั้งแม่น้ำเย่ว์หมิงที่ไหลมาจากทิศตะวันตก ทำให้โยวตูเป็นเมืองที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยน้ำ
ตั้งแต่โบราณกาล โยวตูเจริญรุ่งเรืองด้วยสินค้าทางแม่น้ำที่นำพามาจากแหล่งน้ำอันอุดมสมบูรณ์ ทรายเย่ว์หมิงของแม่น้ำเย่ว์หมิงเป็นวัตถุดิบชั้นดีสำหรับหลอมอาวุธ ปลาหมิงเอ๋อร์ในแม่น้ำเย่ว์หมิงเป็นเครื่องบำรุงชั้นดีของนักฝึกฌาน น้ำในแม่น้ำเย่ว์หมิงก็เต็มไปด้วยแก่นพลังวิญญาณธาตุน้ำ…
ดังนั้นแม้ว่าแม่น้ำเย่ว์หมิงจะท่วมท้นและเกิดภัยพิบัติทุกปี แต่โยวตูยังคงเจริญรุ่งเรือง โยวตูมีจำนวนครัวเรือนไม่น้อยกว่าหนึ่งแสนครัวเรือน มีประชากรมากกว่าหนึ่งล้านคน เป็นเมืองในต้าซย่าที่มีความเจริญรุ่งเรืองเป็นรองเพียงเมืองหลวงเท่านั้น
“ในเมื่อเกิดภัยน้ำท่วมทุกปี แล้วปีนี้มีอะไรไม่เหมือนกันหรือ” เมื่อเยี่ยนจื่อเสาทำความเข้าใจภูมิศาสตร์ของโยวตูแล้ว เขาก็ขอคำชี้แนะจากอินหลิวเฟิงด้วยความสงสัย
“อืม” อินหลิวเฟิงกลับตอบอย่างใจลอย
ทำเอาเยี่ยนอวี๋ทนดูต่อไปไม่ได้ นางถามขึ้นว่า “อินหลิวเฟิง เป็นอะไรของเจ้า”
“หืม?” อินหลิวเฟิงเพิ่งเรียกสติกลับมาได้ เขาตอบว่า “ขออภัย เมื่อครู่ข้าใจลอย ศิษย์พี่รองว่าอย่างไรนะ”
เยี่ยนอวี๋ให้ทุกคนเรียกเยี่ยนจื่อเสาว่า ‘ศิษย์พี่รอง’ ให้เหมือนกันทั้งหมด เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาต่างๆ เช่นการเรียกผิด ถูกจับได้ต่อหน้ากู้หยวนหมิงก็พอแล้ว แต่ในโยวตู ยิ่งในเมืองหลวง มากคนก็มากความ ระวังไว้ย่อมดีกว่า
ส่วนเยี่ยนจื่อเสาที่ปรับตัวให้คุ้นชินมาตลอดทาง เขาก็ขานตอบในทันทีว่า “ข้ากำลังถามเจ้าว่า ในเมื่อโยวตูเกิดภัยน้ำท่วมทุกปี เช่นนั้นปีนี้มีอะไรไม่เหมือนกันหรือ เจ้าจึงร้อนรนเช่นนี้”
“ขอรับ” อินหลิวเฟิงจริงจังขึ้นมาทันที “โยวตูของข้ามิได้สนใจน้ำท่วมที่เกิดขึ้นทั่วไป เหล่านักบวชเองก็จัดการได้ แต่ตั้งแต่เข้าฤดูใบไม้ร่วงเมื่อปีที่แล้ว เหล่านักบวชก็สัมผัสได้ว่าใต้แม่น้ำเย่ว์หมิงคับคล้ายจะมีคลื่นใต้น้ำที่ไม่สงบ พวกพี่ก็รู้ แม่น้ำเย่ว์หมิงเป็นแม่น้ำที่ใหญ่ที่สุดในอาณาจักร ก่อนจะไหลผ่านโยวตู ก็รวมเข้ากับน้ำจากแม่น้ำลั่วสุ่ย แต่เดิมน้ำก็มีมากอยู่แล้ว พวกเราโยวตูยังพอรับมือได้ แต่หากมีการเปลี่ยนแปลงอื่นใด โยวตูคงรับมือไม่ไหว”
“คลื่นใต้น้ำ? แผ่นดินเคลื่อนตัวหรือ” เยี่ยนจื่อเสาถาม
“พูดยาก เหล่านักบวชเคยลงไปสำรวจ แต่ก็ไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าคืออะไร ทว่าใต้น้ำผิดปกติไปจริงๆ ข้าเคยลงไป ข้าไม่รู้จะอธิบายอย่างไรดี ต้องเห็นด้วยตาตนเองจึงจะเข้าใจ” เมื่ออินหลิวเฟิงพูดถึงสภาพในใต้น้ำ สีหน้าของเขาก็ดูไม่ดีนัก
เยี่ยนอวี๋กลับถามขึ้นว่า “นี่คือเหตุผลที่ใจเจ้าไม่อยู่กับเนื้อกับตัวหรือ”
“…มิใช่” อินหลิวเฟิงไม่กล้าบอกว่า เหตุที่เขาใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเป็นเพราะต้าซือมิ่ง จนถึงบัดนี้เขาก็ยังไม่เข้าใจว่าต้าซือมิ่งต้องการให้เขาทำอะไร
ในวันนั้น ต้าซือมิ่งขอให้เขาดูแลคุณหนูใหญ่เยี่ยนสองแม่ลูกให้ดี
แต่ว่าถึงแม้ต้าซือมิ่งจะไม่พูด เขาก็จะดูแลดีอยู่แล้ว! ดังนั้นต้าซือมิ่งมีความหมายอย่างอื่นหรือไม่
อินหลิวเฟิงคิดไม่ออกเลยจริงๆ ทว่าเขาค่อนข้างกังวลว่าคำว่า ‘ดูแลให้ดี’ ของต้าซือมิ่งมีความตรงกันข้าม เช่นนั้นเขาควรทำอย่างไร
อินหลิวเฟิงที่เป็นกังวลอย่างไม่รู้ตัวก็ได้ยินเยี่ยนอวี๋ถามจี้จุดว่า “เป็นเพราะต้าซือมิ่งราชสำนักคนนั้นหรือ”
“!” อินหลิวเฟิงสะดุ้งตกใจ เขาเกือบจะหลุดปากถามออกไปว่า ‘กูไหน่ไน เหตุใดเจ้ารู้ไปเสียทุกเรื่อง’
ทว่าแม้เขาไม่ได้ถาม เยี่ยนอวี๋ก็รู้คำตอบแล้ว นางถามต่อว่า “เขาข่มขู่เจ้าหรือ”
“ปะ… เปล่า…” อินหลิวเฟิงรีบส่ายศีรษะ เพราะอันที่จริงคืนนั้นต้าซือมิ่งก็พูดจาเป็นมิตรดี
เยี่ยนอวี๋กลับไม่เชื่อ “พูดมาตามตรง”
อินหลิวเฟิงจึงทำได้เพียงพูดความจริง “เปล่าจริงๆ แต่เขาบอกให้ข้าดูแลเจ้าและเสี่ยวเป่าให้ดี ก็เลยรู้สึกแปลกๆ”
“ฮึ” เยี่ยนอวี๋พ่นลมหายใจอย่างเย็นชา “นี่ไม่ใช่ข่มขู่อีกหรือ”
“นี่มัน…” อินหลิวเฟิงก็เริ่มไม่แน่ใจแล้ว “น้ำเสียงต้าซือมิ่งก็ดีออก”
เยี่ยนอวี๋ไม่เชื่อว่าคนที่ชิงกระบี่ไท่ชางไปคนนั้นเป็นคนดี ฮึๆ…
อินหลิวเฟิงขนหัวลุก โชคดีที่เอ้อร์เหมาที่เห็นประตูเมืองโยวตูแล้วก็รายงานด้วยความดีใจจากนอกรถม้า“นายท่านน้อย แม่นางเยี่ยน คุณชายรอง ใกล้ถึงโยวตูแล้ว!”
“อ้ะ!” เยี่ยนเสี่ยวเป่าได้ยินดังนั้นก็เข้าใจว่าจะได้ลงจากรถม้าแล้ว เขาก็กลิ้งไปทางขาของท่านแม่ทันที
ทว่าเมื่อเขากลิ้งไปได้เพียงครึ่งทาง เสียงควบม้าก็ดังขึ้นใกล้ๆ รถม้า พร้อมเสียงตะโกนว่า “ขอทางหน่อย ขอทางด้วย! รีบหลีกทางซะ…”
“อ้ะ?” เยี่ยนเสี่ยวเป่าหยุดลงทันที เขาพยายามมองไปข้างนอกจากหน้าต่าง แต่เขาเตี้ยเกินไป อีกทั้งม่านหน้าต่างในรถม้าก็ไม่ได้เปิดไว้ด้วย
ในขณะเดียวกัน รถม้าที่นับว่าหรูหราคันหนึ่งก็พุ่งเข้าใส่รถม้าของเยี่ยนอวี๋จากข้างหลัง! จากนั้น…
โครม!
ตอนที่ 152 เป็นผู้เกิดใหม่ทั้งนั้น
รถม้าคันนั้นพังยับเยินทันที คนในรถม้าก็ล้มกลิ้ง ขลุกๆ ออกมาลงบนพื้น
“โอ๊ย!”
“โอ๊ย…” ตามมาด้วยเสียงร้องโอดโอยดังออกมาจากปากของคนเหล่านั้น
เม่ยเอ๋อร์เปิดม่านรถม้าขึ้น ส่วนเยี่ยนอวี๋เองก็อุ้มเยี่ยนเสี่ยวเป่าที่กำลังตื่นเต้นขึ้นมาเพื่อให้เขาดูเหตุการณ์ ‘น่าสนใจ’ ที่อยู่ข้างหลังแล้ว
“อ้ะๆ” เยี่ยนเสี่ยวเป่าส่งเสียงร้อง แววตาเป็นประกาย ดูสนุกสนานกับเรื่องของผู้อื่นจริงๆ
ทว่าเอ้อร์เหมามิได้หยุดรถม้า เขายังคงเร่งรถม้าไปอย่างเชื่องช้าต่อไป เพราะว่าเยี่ยนอวี๋ไม่ได้สั่งให้หยุด
“บัดซบ! รถม้าคันข้างหน้ายังไม่หยุดอีก!” เสียงตวาดอันโอหังก็ดังขึ้นจากด้านหลังรถม้าที่พังยับเยินคันนั้น
หนุ่มผู้ฝึกยุทธ์ที่สวมชุดบ่าวรับใช้สองสามนายหายตัวไปปรากฏข้างหน้าเอ้อร์เหมาอย่างรวดเร็ว พวกเขาขวางรถม้าของเยี่ยนอวี๋ไว้เพื่อให้หยุด
ทว่าเอ้อร์เหมายังคงเร่งรถม้าอย่างเอื่อยเฉื่อย ถึงแม้คนอื่นจะขวางอยู่ข้างหน้าแล้ว เขาก็ยังคงเดินหน้าต่อไป ถึงแม้จะเป็นการเดินอ้อมพวกเขาไป แต่ก็ผ่านตัวพวกเขาไปแล้ว
บ่าวรับใช้ที่ถูกเมินเฉยก็ชะงัก เมื่อตั้งสติขึ้นได้ก็ฟาดดาบลงไปที่รถม้าคันนั้น แต่น่าเสียดาย…
เคร้ง!
ตูม!
ดาบที่ฟันรถม้าถูกสั่นสะเทือนจนแตกเป็นเสี่ยงๆ
“นี่มัน…”
บ่าวรับใช้สองสามนายพากันตกใจ พวกเขารู้สึกว่าตนดันไปเหยียบตอเข้าให้เสียแล้ว
เอ้อร์เหมาในครานี้เองก็เดินถึงหน้าประตูเมืองพอดี เขาหยุดรถม้าลงและเตรียมนำตราผ่านทางแสดงให้ทหารเฝ้าประตูเมืองดู ทว่าคุณหนูไม่ทราบตระกูลที่อยู่ในรถม้าคันหลังคันนั้น นางก็พาแม่นมและสาวใช้ข้างกายขวางหน้าเอ้อร์เหมาไว้ด้วยท่าทีดุร้าย ใบหน้าพวกนางเปื้อนฝุ่นไปหมด
เท่านี้ยังไม่พอ! คุณหนูท่านนั้นที่ถูกใจรถม้าคันงามของเยี่ยนอวี๋นั้นพลันชี้ไปที่เอ้อร์เหมาและตวาดอย่างโอหังว่า “ไอ้คนหูหนวก คนของข้าบอกให้เจ้าหลีกทาง แต่เจ้าไม่ยอมหลีก! ตอนนี้ข้าให้โอกาสเจ้าแก้ตัวอีกครั้ง พาเจ้านายของเจ้าไสหัวไปซะ ทิ้งรถม้าไว้! ไม่เช่นนั้นอย่าหาว่าข้ามิเกรงใจ”
“…” เอ้อร์เหมาเบิกตาโต เขาไม่คิดเลยว่าจะถูกคนชี้หน้าด่าว่าเป็นคนหูหนวกหน้าประตูบ้านเช่นนี้
“ดูท่าจะเป็นคนหูหนวกจริงๆ สินะ!” คุณหนูก้าวร้าวคนนั้นก็สั่งคนข้างกายว่า “ไปจับเจ้าคนหูหนวกคนนั้นซะ และไล่คนในรถม้าออกมาให้หมด”
“เจ้าค่ะ คุณหนูสาม!” แม่นมรับใช้สองคนได้รับคำสั่งก็แสดงพลังแขนแข็งแกร่ง เพียงไม่กี่ทีก็ไปขวางอยู่ข้างหน้าเอ้อร์เหมาแล้ว
“เฮ้ยๆๆ!” เอ้อร์เหมาตกใจมาก เขารีบสะบัดแส้ทันที “พวกเจ้าเป็นโจรหรือไง”
“แหม เป็นแค่คนหูหนวกยังบังอาจขัดขืน!” แม่นมก้าวร้าวทั้งสองคนเป็นผู้ฝึกยุทธ์ พวกนางชักมีดเล่มใหญ่ออกมาจากกระโปรง ก่อนจะฟาดฟันลงไปที่เอ้อร์เหมาราวกับโจรชิงทรัพย์
“ให้ตายเถอะ!” เอ้อร์เหมาไม่เคยพบเจอผู้หญิงเช่นนี้มาก่อน เขาตกใจจนถอยหลังไปสองสามก้าว
“ไสหัวไปซะ!” เม่ยเอ๋อร์ที่เดินออกมาจากในรถม้ายกขาถีบไปที่หญิงชรากำยำสองคนจนพวกนางลอยกระเด็นออกไป เม่ยเอ๋อร์ ‘ปกป้อง’ เอ้อร์เหมาที่ตกใจเอาไว้
“ขอบคุณพี่เม่ยเอ๋อร์” เอ้อร์เหมาทำท่าปาดเหงื่อที่ไม่มีอยู่จริง ก่อนจะกล่าวอย่างหมดคำพูดว่า “นี่มันคนบ้าตระกูลไหนกัน ทำเอาข้าตกใจหมด”
“…” อินหลิวเฟิงไม่อยากจะดูเลย เขาอยากจะถีบองครักษ์ขี้ขลาดคนนี้เสียที ช่าง…น่าอายนัก!
“พวกเจ้าบังอาจนัก! บังอาจทำร้ายคนของข้า เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าคือใคร” เมื่อนางคนนั้นเห็นลูกน้องของตนเองถูกถีบจนกระเด็นออกไปก็เปิดเผยตนเองด้วยอารมณ์เดือดดาล “ตัวข้าคุณหนูสามตระกูลเฉาแห่งเป่ยเหา!”
เมื่อสิ้นเสียง คุณหนูสามตระกูลเฉาที่รอให้เยี่ยนอวี๋และคนอื่นๆ คุกเข่าอ้อนวอนขอชีวิตก็จ้องไปที่รถม้าของเยี่ยนอวี๋เขม็ง น่าเสียดาย… สิ่งที่ขานตอบคุณหนูสามตระกูลเฉามีเพียงสายตาอันเยือกเย็นของเม่ยเอ๋อร์และเอ้อร์เหมาที่ลงจากรถม้าไปรายงานตัว ครั้นฝ่ายหลังยื่นตราผ่านทาง ทหารหน้าประตูเมืองก็คุกเข่ากันเป็นแถบทันที “ยินดีต้อนรับนายท่านน้อยขอรับ!”
“ยินดีต้อนรับนายท่าน้อยขอรับ!” ทหารเฝ้าประตูเมืองด้านบนต่างพากันคุกเข่าลง
เสียงขานเรียก ‘ยินดีต้อนรับนายท่าน้อยขอรับ!’ ที่ดังขึ้นทำเอาคุณหนูสามตระกูลเฉาตกตะลึง คนใช้สองสามคนของนางก็ตั้งสติขึ้นได้และรีบรายงานนางว่า “คุณหนูสาม นี่… นี่มันรถม้าของนายท่านน้อยโยวตู!”
“…”
คุณหนูสามตระกูลเฉาสีหน้าเริ่มซีดเผือด แขนขานางอ่อนระทวยไปหมด ถึงแม้นางป่าวประกาศไปแล้วว่าตนเป็นคนตระกูลเฉาอันมีชื่อเสียง ทว่าตระกูลโบราณเช่นตระกูลเฉาและตระกูลอินแห่งโยวตูเทียบกันไม่ได้จริงๆ
นอกจากนี้ สิ่งที่คุณหนูสามตระกูลเฉาใฝ่ฝันมาตลอดก็คือการแต่งเข้าจวนอ๋องแห่งโยวตู นายท่านน้อยอินผู้งดงามที่นางอยากแต่งงานด้วยท่านนี้คือชายในฝันของนาง!
ทว่า…
“คุณหนูสาม ทำอย่างไรดีเจ้าคะ”
“ทำอย่างไรดี…” คุณหนูสามตระกูลเฉาอยากจะขุดหลุมให้ตนเองมุดเข้าไปจริงๆ ถึงจะไม่มีหลุม นางก็ยกมือขึ้นมาบังหน้าตนเองไว้ด้วยสัญชาติญาณแล้ว นางหวังเพียงว่านายท่านน้อยอินจะไม่เห็นสภาพทุลักทุเลเช่นนี้ของนาง
สุดท้ายก็เป็นไปตามที่นางต้องการจริงๆ เพราะว่ามีรถม้าอสูรคันหนึ่งตามหลังเยี่ยนอวี๋มา และรถม้าคันนั้นยังจอดข้างๆ รถม้าของเยี่ยนอวี๋ด้วย
จากนั้น กู้หยวนเหิงก็เดินลงจากรถม้าตามด้วยเยี่ยนซูซู กู้หยวนเหิงยังทักทายว่า “ใช่ซวงเสวียนจวินและน้องจื่ออวี๋หรือไม่ ”
“แหม กู้จ่างสื่อเองหรือ” อินหลิวเฟิงเห็นแก่สถานะของกู้หยวนเหิง เขาจึงเปิดม่านรถม้าขึ้น ก่อนจะเดินลงมา “เจ้ากำลังกลับไปทูลรายงานที่เมืองหลวงหรือ”
“ใช่แล้ว เข้าฤดูใบไม้ผลิแล้ว” กู้หยวนเหิงตอบอย่างใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว สายตาของเขาเหล่มองข้างหลังอินหลิวเฟิงอย่างไม่รู้ตัว
และเยี่ยนอวี๋ คนที่กู้หยวนเหิงอยากเจอ นางก็อุ้มเด็กน้อยของนางลงมาจากรถม้าแล้ว ช่วยไม่ได้จริงๆ ในเมื่อเด็กน้อยพยายามดิ้นและกลิ้งออกมาดูเหตุการณ์ข้างนอกให้ได้
“แม่นาง…จื่ออวี๋” กู้หยวนเหิงรีบทักทายทันที! สายตาของเขาก็จ้องมองไปที่เยี่ยนอวี๋
“ซูซูคารวะนายท่านน้อยอิน คารวะศิษย์พี่อวี๋เจ้าค่ะ” เยี่ยนซูซูที่อยู่ข้างหลังก็เดินขึ้นหน้ามาคารวะอินหลิวเฟิงและเยี่ยนอวี๋ นี่ถือว่าเป็นครั้งแรกที่นางเจอเยี่ยนอวี๋หลังจากเกิดใหม่
ครั้นเยี่ยนซูซูเอ่ยปาก เยี่ยนอวี๋ก็ชะงักทันที เพราะนางพบว่าคนตรงหน้าที่เรียกนางว่าศิษย์พี่คนนี้ จิตวิญญาณของนางเหมือนจะไม่เป็นปกติ?