เซียนหมอหญิงแม่ลูกอ่อน - ตอนที่ 225 เถียงไม่ขึ้นก็ปิดปาก “ภรรยา” ไว้
หรงอี้วางพืชตะไคร่น้ำในมือลง ก่อนจะมองไปที่มารดาของเด็กน้อย เขาเห็นนางกำลังอุ้มเด็กน้อยไว้ในอ้อมอกมิได้มองไปที่เขา เขาอดยิ้มขึ้นไม่ได้ “เจ้ามองตาข้าสิ”
“หืม?” เยี่ยนอวี๋เงยหน้าขึ้น นางมองดวงตาประกายแสงสีม่วงสดใสของต้าซือมิ่ง แสงนั้นช่างชัดเจนและสุกใสราวกับเด็กแรกเกิด
เยี่ยนอวี๋หลุบตาลงเล็กน้อย…
เพราะว่าสายตาของต้าซือมิ่งในตอนนี้ต่างจากปกติอย่างเห็นได้ชัด ทว่าเขาในยามนี้ก็จ้องมองนางด้วยดวงตาสุกใสราวกับกระจก พูดขึ้นว่า “ข้าทำได้”
เยี่ยนอวี๋มองไปที่เขาอีกครั้ง พลันถามว่า “เจ้ามิใช่คนในสามภพ?”
“อืม” ต้าซือมิ่งผู้ซื่อสัตย์ก็ตอบนางด้วยความสัตย์ซื่อ
เยี่ยนอวี๋มองกลับมา นางรู้ว่าบิดาของเด็กน้อยหนีไปไหนไม่ได้แน่ นอกจากหน้าตาเหมือนกันแล้ว ยังสอดคล้องกับ ‘ตัวตน’ ของเขาที่นาง ‘มองไม่เห็น’ ในครานั้น
คนเช่นกู้หยวนเหิง เพียงแค่นางหลุดออกจากสามภพก็เห็นเขาได้แล้ว ทว่าต้าซือมิ่งท่านนั้น เกรงว่าจะทำไม่ได้จริงๆ นางไม่เคยพบเจอเขาทั้งในความฝันและความทรงจำที่ผ่านมา
“หาววว…” เยี่ยนเสี่ยวเป่าที่กินอิ่มและเริ่มง่วงแล้วก็หาวหวอด เสียงหาวน้อยๆ นั้นดึงสติเยี่ยนอวี๋กลับมา นางจึงกล่อมเด็กน้อยอย่างอ่อนโยน “นอนเถอะ”
“อ้ะ…” เยี่ยนเสี่ยวเป่ากลับชี้ไปที่ท่านพ่อของเขาอย่างไม่วางใจ เขากำลังบอกให้ท่าแม่ของเขาช่วยเฝ้าท่านพ่อหน่อย ห้ามให้ท่านพ่อหนีไปในขณะที่เขาหลับ
ต้าซือมิ่งเข้าใจโดยที่เยี่ยนอวี๋มิต้องพูดอะไรทันที เขากุมขมับก่อนจะสัญญาว่า “เสี่ยวเป่าวางใจเถอะ พ่อไม่หนี พ่ออยู่ที่นี่”
“อ้ะ!” เยี่ยนเสี่ยวเป่าจึงหลับไปอย่างสบายใจ
เยี่ยนอวี๋ลูบเด็กน้อยเบาๆ สายตามองต้าซือมิ่งอย่างพินิจพิเคราะห์ “สรุปแล้วเมื่อครั้งแรก เจ้าเป็นคนรังแกเสี่ยวเป่า โยนเขาลงไปในดินโคลนหรือ”
“แค่ก!” ต้าซือมิ่งราชสำนักเกือบจะโดนน้ำร้อนลวกมือ เขาพูดด้วยน้ำเสียงไม่มีทางเลือกว่า “ในสายตาของเจ้า ข้าเป็นคนใจร้ายเช่นนั้นเลยหรือ”
“ความจริงเป็นเช่นนั้น” เยี่ยนอวี๋กล่าว
“เจ้าต้องรู้นะว่าข้าอุ้มเขาครั้งแรก จะพลั้งมือบ้างก็เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงมิได้ เขาตัวเล็กเช่นนี้ ข้ายังกลัวว่าถ้าออกแรงมากเกินไปจะทำให้เขาแตกหัก…”
“เจ้าก็เลยโยนเขาลงไปในดินโคลน”
“หากเจ้าอยากจะคิดเช่นนั้น ก็ได้”
“เจ้ายังเปลื้องผ้าเขาด้วย หมายความว่าอย่างไรกัน”
ต้าซือมิ่งผู้ไร้วาทศิลป์ บัดนี้เขากำลังเผชิญกับการไต่สวนขั้นวิญญาณที่ยากที่สุดในชีวิต เขาจำเป็นต้องตอบอย่างจริงใจว่า “แต่เดิมข้าตั้งใจจะอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เขา ตอนนั้นเขากลิ้งมาหาข้า เจ้า…”
“อาบน้ำหรือ อาบในดินโคลนน่ะหรือ”
“ข้าเป็นพ่อครั้งแรก ไม่มีใครชี้แนะ พวกเจ้ายังมาเร็วเช่นนี้ ข้า…”
“ก็เลยโยนความผิดให้อินหลิวเฟิง?”
“แค่ก!” ต้าซือมิ่งที่พ่ายแพ้ราบคาบพยายามนิ่งไว้ เขาทำพืชตะไคร่น้ำพลางกล่าวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ตอนนั้นข้าให้ผู้อื่นพบข้ามิได้ จักรพรรดิหยวนคังกำลังลอบตามฆ่าข้า”
“เขาตามฆ่าเจ้า?” เยี่ยนอวี๋ถูกเบนความสนใจไปทันที นางไม่คิดว่าคนเช่นต้าซือมิ่งจะยังถูกผู้อื่นตามฆ่าได้ด้วย เท่าที่นางเห็นคนราชสำนักเหล่านั้นก็ให้ความเคารพเขาดี
“ภายนอกไม่เห็น แต่กระทำการลับหลัง” ต้าซือมิ่งที่ลอบถอนหายใจรู้สึกขอบคุณจักรพรรดิหยวนคังมากนัก “แต่ข้าหายดีแล้ว เจ้ามิต้องเป็นห่วง”
“ใครเป็นห่วง?” เยี่ยนอวี๋ถามกลับอย่างเย็นชา นางเห็นต้าซือมิ่งใส่เส้นก๋วยเตี๋ยวลงไปในซุปหัวปลา?
ต้าซือมิ่งที่รู้ว่าปฐมราชินีเยี่ยนกำลังมองมา เขาก็เปลี่ยนเรื่องคุยอย่างสุขใจ “เรากินคนละถ้วย กินเสร็จแล้วเจ้าไปฝึกบำเพ็ญ ส่วนข้าดูลูกเอง”
“ข้า…” เยี่ยนอวี๋อยากจะบอกว่านางไม่หิว
ทว่าต้าซือมิ่งตักก๋วยเตี๋ยวและยื่นให้นางแล้ว “พืชตะไคร่น้ำของเจ้าต้องใช้เวลาอีกเล็กน้อย ปลาตัวนี้เป็นปลาที่เสี่ยวเป่าจับได้ ถือเสียว่าเขาแสดงความกตัญญูต่อท่านแม่”
“…อืม” เยี่ยนอวี๋จึงเริ่มทาน
ต้าซือมิ่งอุ้มเด็กน้อยมาอย่างรู้หน้าที่และทานก๋วยเตี๋ยวเป็นเพื่อน ‘ภรรยา’
ทั้งสองไม่มีใครพูดสิ่งใด หลังจากที่เยี่ยนอวี๋ทานหมดแล้ว นางก็ลุกขึ้นยืนอย่างเขินอายเล็กน้อย “ข้าขอตัวไปปรับลมปราณ”
นางเดินจากไปโดยไม่รอต้าซือมิ่งขานตอบ
เนื่องจากว่า… ก๋วยเตี๋ยวที่ต้าซือมิ่งตักให้มีปริมาณเยอะเท่า ‘กะละมัง’ เดิมทีเยี่ยนอวี๋แค่จะลองชิมคำสองคำเท่านั้น ถึงอย่างไรกลิ่นหอมของมันน่าเอร็ดอร่อยนัก แต่แล้ว… นางทานไปจนหมด ถึงกับอยากทานอีกถ้วยเหมือนเด็กน้อย… เยี่ยนอวี๋คิดว่าต้องถูกเด็กน้อยแพร่เชื้อแน่ๆ นางจึงต้องการอยู่คนเดียวชั่วครู่
เมื่อต้าซือมิ่งตุ๋น ‘ซุปยา’ พืชตะไคร่น้ำตุ๋นเสร็จ มันส่งกลิ่นหอมสดชื่นไปทั่ว เขาก็ยกมาให้เยี่ยนอวี๋ด้วยท่าทางสง่างาม เยี่ยนอวี๋อดถามขึ้นไม่ได้ว่า “เจ้าทำอาหารเก่งหรือ”
“เจ้าได้ชิมแล้วมิใช่หรือ” ต้าซือมิ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงแฝงรอยยิ้ม เขากระตุกคิ้วเล็กน้อย มองปฐมราชินีเยี่ยนที่นั่งขัดสมาธิตัวตรงอยู่ข้างหน้าด้วยรอยยิ้มบางๆ
ปฐมราชินีเยี่ยน “…”
นางรับพืชตะไคร่น้ำมามิได้พูดอะไรและนางก็ดื่มลงไปรวดเดียวจนหมด จากนั้นนางก็หลับตาลงเพื่อฝึกบำเพ็ญต่อราวกับไม่อยากคุยกับเขาต่อ
ทว่านางมิอาจปฏิเสธได้ว่าพืชตะไคร่น้ำที่ยากต่อการกลืนลงไปนั้น เขาสามารถตุ๋นออกมาให้มีรสชาติที่สดใหม่ได้ ไม่สิ! ไม่เพียงเท่านี้ สิ่งที่ทำให้เยี่ยนอวี๋ตะลึงคือ เขายังสกัดพืชตะไคร่น้ำด้วย!
เยี่ยนอวี๋รู้สึกเหลือเชื่อนัก!
ถึงอย่างไรในฐานะที่พืชตะไคร่น้ำเป็นสมบัติของตำหนักไท่ชาง ความศักดิ์สิทธิ์ในตัวมันนั้นมีความดั้งเดิมมาก กระทั่งรุนแรงมากเช่นกัน ดังนั้นอันที่จริงพืชตะไคร่น้ำจะเกิดประสิทธิภาพสูงสุดก็ต่อเมื่ออยู่ในมือของเยี่ยนอวี๋เท่านั้น หากคนทั่วไปทานไปอย่างไม่ระมัดระวังก็มีแต่ตายเท่านั้น
ทว่าต้าซือมิ่งไม่เพียงสามารถ ‘เปลี่ยนแปลง’ รสชาติของพืชตะไคร่น้ำได้ เขายังสกัดความศักดิ์สิทธิ์ของพืชตะไคร่น้ำและยกระดับมันขึ้นมาได้ นี่มัน… เป็นสิ่งที่เยี่ยนอวี๋คาดคิดไม่ถึงจริงๆ
ความสามารถเช่นนี้…
ถึงแม้เยี่ยนอวี๋คิดว่าตนเองสามารถทำได้อย่างง่ายดายหากร่างกายเป็นปกติดี ทว่าในตอนนี้ นางสามารถทำเท่าที่ทำได้ ดังนั้นนางที่แต่เดิมคิดว่าต้องใช้เวลาไม่น้อยเพื่อซึมซับยาหมด
บัดนี้…
“เจ้าคนนี้ ชักจะเป็นปริศนาลึกลับเข้าทุกวัน” เยี่ยนอวี๋แอบทอดถอนใจ แต่นางก็มิได้ลืมตาขึ้นมาถามเขา เมื่อนางปรับลมปราณเสร็จอย่างรวดเร็วแล้ว ก็เริ่มซึมซับความศักดิ์สิทธิ์ของพืชตะไคร่น้ำเพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับร่างกาย
ส่วนหรงอี้ที่คอยสังเกตปฏิกิริยาของเยี่ยนอวี๋ เขาก็ยิ้มออกมาก่อนจะทอดถอนใจ มารดาของเด็กน้อยช่างหนักแน่น สงบและสุขุมจริงๆ ไม่รู้ว่าครานั้น…
พวกเขาอยู่ด้วยกันได้อย่างไร
…
ณ ริมแม่น้ำเย่ว์หมิง เมืองโยวตู
ค่ายพำนักใต้แสงดาวอันสงบสุข ทว่าผู้แข็งแกร่งของทั้งสองฝ่ายกลับทำให้ความสงบสุขนี้กลายเป็นความตึงเครียด
“เซ่าซือมิ่งกู้ยังไม่ตื่นหรือ” เฉิงคั่วทำลายความสงบด้วยน้ำเสียงไม่เป็นมิตรนัก “ผ่านไปตั้งนานแล้วยังไม่ตื่น พวกเจ้ายังบอกว่าไม่เป็นอะไรรึ”
“หากแม่ทัพเฉินไม่เชื่อ เชิญเซ่าซือมิ่งเฉินไปดูอาการก็ได้!” อินสวินอี้ตอบอย่างตรงไปตรงมา
เฉินฉุนเฟิงที่ถูกเอ่ยถึงก็ไม่ปฏิเสธ “ก็ดี”
“เชิญ” อินสวินอี้มิได้ขัดขวาง เขาเชิญต่อหน้าเฉินฉุนเฟิง
เฉิงคั่วกลับพูดขึ้นด้วยความระวังว่า “ช้าก่อน ข้าไปเป็นเพื่อนเซ่าซือมิ่งเฉิน”
“ได้ ไม่มีปัญหา” อินสวินอี้เชื้อเชิญอย่างใจกว้าง
คนราชสำนักทุกคนจึงเป็นพยานเห็นเฉินฉุนเฟิงและเฉิงคั่วเดินไปหากู้หยวนซู ฝ่ายหลังถูกวางไว้บนตั่งกลางแจ้ง นางอยู่ในสายตาของทุกคนตลอดเวลา
เพียงแต่ว่าเมื่อทั้งสองกำลังจะเข้าไปใกล้กู้หยวนซู นางก็ขยับตัวเล็กน้อย เหมือนกับฟื้นขึ้นแล้ว
“เซ่าซือมิ่งกู้?” เฉิงคั่วรีบเดินจ้ำอ้าวไปข้างหน้าทันที
“แค่กๆ…” กู้หยวนซูที่ไอสองสามทีก็ค่อยๆ ฟื้นขึ้นภายใต้สายตาของทุกคน
“เซ่าซือมิ่งกู้ ท่านรู้สึกอย่างไรบ้าง” เฉินฉุนเฟิงถามด้วยความเป็นห่วง
กู้หยวนซูยันตัวลุกขึ้น ทว่านางก็ล้มนอนกลับไปอีกครั้ง เพราะร่างกายนางยังอ่อนแอ ทำเอาชายหนุ่มราชสำนักไม่น้อยปวดใจ “เซ่าซือมิ่งกู้…”
“หึ!” เม่ยเอ๋อร์กลับพ่นลมหายใจเยือกเย็นออกมา “จอมปลอม”
สีหน้าของกู้หยวนซูที่แต่เดิมซีดอยู่แล้วก็ยิ่งซีด “เจ้า…”
“เซ่าซือมิ่งกู้อย่าได้โกรธเคือง สุขภาพของท่านสำคัญกว่าสิ่งใด ท่านรู้สึกอย่างไรบ้าง ต้องการให้ข้าตรวจดูอาการหรือไม่” เฉิงคั่วเกลี้ยกล่อมด้วยความเป็นห่วงสหายอายุน้อยท่านนี้
“ข้า…” อันที่จริงกู้หยวนซูรู้สึกปวดศีรษะมาก จนนางเห็นทุกอย่างเป็นภาพซ้อน ทว่านางยังไม่ทันพูดออกมา ปีศาจระกาเก้าเศียรในอนุสติของนางก็ส่งเสียงร้องแตกตื่นขึ้นมา
ในขณะเดียวกัน แสงสีรุ้งสว่างวาบบนท้องฟ้าทางทิศตะวันตก มันสว่างเจิดจ้าและแพรวพราวงามสง่าในคืนพระจันทร์ส่องแสงสุกใสกำลังจะเต็มดวง