เซียนหมอหญิงแม่ลูกอ่อน - ตอนที่ 226 พลังปฐมราชินีหวนคืน
ร่างกายของเยี่ยนอวี๋ฟื้นตัวได้เร็วกว่าที่นางคิดไว้ เพราะประสิทธิภาพของพืชตะไคร่น้ำสกัด ทำให้นางฟื้นพลังกลับคืนได้ถึงหนึ่งส่วน เมื่อรวมกับพลังที่ฟื้นคืนก่อนหน้านี้อีกครึ่งหนึ่ง ร่างกายของนางในบัดนี้แข็งแกร่งว่าพลังจิตวิญญาณแล้ว มิหนำซ้ำการฟื้นตัวในระดับนี้ยังทำลายม่านคุ้มกันของต้าซือมิ่งด้วย ทำให้ทุกคนที่อยู่ในค่ายพำนักต่างเห็นปรากฏการณ์ทางท้องฟ้าที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันทางทิศตะวันตก ซึ่งก่อนหน้านี้พวกเขาไม่พบความเคลื่อนไหวใดๆ เลย
“…”
ลำแสงสีรุ้งที่โปรยปราย ท้องนภาสว่างไสวดุจดั่งแสงแห่งเทพ ทำให้แม่น้ำเย่ว์หมิงที่สงบลงประกายแสงเป็นสายธารสว่างไสว
ปรากฏการณ์เช่นนี้ แม้แต่เหล่านักฝึกฌานในเมืองหลวงตี้ชิวก็เห็นเข้าแล้ว!
อย่างน้อยจักรพรรดิหยวนคังที่คอยทอดมองทิศตะวันตกตลอดเวลาก็เห็นอย่างแจ่มชัด “แสงเหล่านี้ช่างเหมือนแสงรอบกายของเทพีนัก นางสถิตบนโลกมนุษย์แล้วจริงๆ ด้วย”
จักรพรรดิหยวนคังในบัดนี้อยากเห็นนางในฝันคนนั้นนัก นางก็คือคุณหนูใหญ่เยี่ยนผู้เลอโฉมไร้ผู้ใดเทียบเคียงคนนั้น! นางชื่อเยี่ยนจื่ออวี๋
“จื่ออวี๋ จื่ออวี๋” จักรพรรดิหยวนคังพึมพำชื่อของนางด้วยจิตใจที่เร่าร้อน หากไม่ใช่เพราะมีสถานะเป็นถึงจักรพรรดิ เขาคงรีบเดินทางไปทางทิศตะวันตกด้วยตนเองโดยเร็วแล้ว
ในขณะเดียวกัน เหล่าผู้แข็งแกร่งสำนักชางอู๋ที่เห็นลำแสงสีรุ้งเช่นเดียวกับจักรพรรดิหยวนคัง พวกเขาก็รู้ได้ว่าคือเยี่ยนอวี๋ โดยเฉพาะเยี่ยนชิง!
“เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์! เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ของข้า! คือนางแน่นอน!” เยี่ยนชิงที่เพิ่งตื่น เขาก็ตื่นเต้นดีใจมาก แม้แต่เสื้อผ้าก็ยังไม่ได้สวมเรียบร้อย “เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์!”
“ใช่ เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ของเจ้าแน่นอน” เยี่ยนหงชวนที่ตกใจจนตื่นก็กุมขมับอย่างหมดคำพูด “เจ้าใส่เสื้อผ้าให้เรียบร้อยก่อนเถิด เป็นถึงเจ้าสำนัก กลับทำตัวไม่เหมาะสมเช่นนี้”
“อ้อ!” เยี่ยนชิงรีบสวมเสื้อผ้าให้เรียบร้อย แต่สายตายังคงจับจ้องไปทางนั้น “เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ยังอยู่ในเขตโยวตู แต่ดูจากตำแหน่งแล้วไม่ใช่เมืองโยวตู เหมือนจะเป็นบริเวณแม่น้ำลั่วสุ่ยมากกว่า”
“แม่น้ำลั่วสุ่ยถูกต้องแล้ว” เยี่ยนหงชวนพยักหน้า เขารู้ว่าหลานเฒ่าคนนี้ศึกษาแผนที่ของอาณาเขตต้าซย่าทุกวันเพียงแค่อยากรู้ว่าลูกสาวอยู่ที่ไหน
“เช่นนั้นแสงนี่คืออะไร” เยี่ยนชิงไม่เข้าใจ “ราวกับส่องลงมาจากตำหนักจันทรา หรือว่าเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์จะเป็นฉางเอ๋อร์เทพธิดาแห่งดวงจันทร์กลับชาติมาเกิด? หากเป็นเช่นนั้นไม่ดีหรอก ฉางเอ๋อร์อยู่ตัวคนเดียวเดียวดายนัก ไม่ดีหรอกไม่ดี…”
“ดูดีๆ สิ แสงนั่นแค่บังเอิญวาบผ่านพระจันทร์” เยี่ยนหงชวนจึงชี้แนะหลานเฒ่าเช่นนี้
“เช่นนั้นก็ดี! เช่นนั้นก็ดีแล้ว! ฉางเอ๋อร์ไม่ดีจริงๆ ชะตาชีวิตไม่ดี เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ของเราต้องมั่งคั่งสูงศักดิ์ ชีวิตสงบสุขชั่วนิรันดร์” เยี่ยนอวี๋คิดอย่างมีความสุข จนเมื่อมีบุรุษที่ชื่อหรงอี้คนหนึ่งบอกเขาว่า จะมอบความสงบสุขให้เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ตลอดชีวิต เขาก็อยากจะตบหน้าตัวเองแรงๆ สักฉาด! ช่างแม่นยำจริงๆ…
“ดูจากสถานการณ์แล้ว เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ปลอดภัยดี คงมีการเลื่อนขั้น” เยี่ยนหงชวนวางใจลงไม่น้อย ไม่ว่าอย่างไร การมีร่างกายที่แข็งแกร่งก่อนจะเข้าเมืองหลวงย่อมเป็นหลักประกันที่ดีที่สุด
“เฮ้อ คิดถึงเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์จัง ไม่รู้ว่านางคิดถึงพ่อคนนี้บ้างหรือไม่ และก็ไม่รู้ว่าจื่อเสาดูแลเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์และเสี่ยวเป่าหรือเปล่า โชคดีที่ยังมีเม่ยเอ๋อร์ เฮ้อ…” นอกจากเยี่ยนชิงจะคิดอย่างมีความสุขแล้ว เขายังรู้สึกเศร้าโศกเพราะความคิดถึงลูกด้วย
เยี่ยนหงชวนเองก็คิดถึงเด็กๆ เหล่านี้เช่นกัน “ครึ่งปีให้หลังก็จะถึงพิธีแต่งตั้งแล้ว หากเจ้าคิดถึงลูกก็พาคนเข้าไปในเมืองหลวงก่อนก็ได้”
“ช่างเถอะ เด็กๆ ในสำนักเพิ่งเริ่มตั้งตัว จำต้องฝึกฝนบำเพ็ญเพียรให้ได้มากที่สุด ไม่มีประโยชน์หากจะไปถึงก่อน จะว่าไปตอนนี้ควรจะส่งสารให้จื่อเยี่ยบอกให้เขาดูแลเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ให้ดี” สำหรับเรื่องในสำนักแล้ว เยี่ยนชิงหนักแน่นเสมอ ทว่าเมื่อเป็นเรื่องของบุตรสาวสุดที่รักของเขา…
“เจ้าส่งจดหมายให้จื่อเยี่ยหลายฉบับแล้ว” เยี่ยนหงชวนเตือนเขาอย่างไม่สบอารมณ์นัก “จื่อเยี่ยคงตอบจดหมายเจ้าไม่ทันแล้ว เจ้ายังจะส่งอีกรึ”
“ข้ากลัวว่าเขาจะลืมน่ะ! เจ้าหมอนั่นจากไปนานเช่นนี้แล้ว ไม่รู้ว่าโตขึ้นบ้างหรือยัง คำพูดของข้า เขาจะทำหูทวนลมหรือเปล่าก็ไม่รู้ ไม่ได้การแล้ว! ข้าต้องส่งไปอีกสักฉบับ”
หลังจากที่แสงสีรุ้งมลายหายไป เยี่ยนชิงมองแสงเหล่านั้นอย่างอาลัยอาวรณ์ก่อนจะกลับไปเขียน ‘จดหมายลูกโซ่มรณะ’ ให้บุตรชายคนโต ในจดหมายทุกฉบับมีเพียงประโยคเดียว “เสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ใกล้จะเข้าเมืองหลวงแล้ว ดูแลเสี่ยวอวี๋เอ๋อร์ให้ดี มิเช่นนั้นข้าไม่ไว้ชีวิตเจ้าแน่!”
เยี่ยนหงชวนทนดูไม่ไหวอีกต่อไป
ส่วนเยี่ยนจื่อเยี่ยที่ได้รับจดหมาย เขาก็กลายเป็นผู้มีชื่อเสียงในสำนักศึกษาแล้ว เพราะจดหมายที่ส่งมาถี่ๆ ทำให้สหายมากมายต่างถามเขาทุกวันว่า ถูกเร่งเร้าให้แต่งงานหรือ
…
ในขณะนั้น ณ หุบเขาบริเวณแม่น้ำลั่วสุ่ย
ต้าซือมิ่งหรงที่อุ้มลูกที่กำลังนอนหลับลึกอยู่นั้น เขาก็เป็นเพียงผู้เดียวที่ได้เชยชมความงามของเยี่ยนอวี๋ในระยะกระชั้นชิด ถึงอย่างไรเจ้าตัวน้อยก็กำลังหลับลึกมาก
วิ้ง
วิ้ง…
เยี่ยนอวี๋ที่ถูกแสงสีรุ้งเจิดจ้าปกคลุมรอบตัว ตอนนี้นางก็เป็นเหมือนกับจุดกำเนิดของจักรวาลที่กำลังดูดกลืนพลังไร้นาม ไร้รูป และลึกลับ
ด้วยสายตาที่ไม่ธรรมดาของหรงอี้ ทำให้เขาเห็นได้ว่ารอบตัวของมารดาเด็กน้อยกำลังปลดปล่อยหมู่ดาวโบราณ ท่ามกลางหมู่ดาวเหล่านี้มีกลุ่มแก๊สสีสันแพรวพราว กลุ่มแสงสีขาวส่องเจิดจ้า ดาวยักษ์สีแดงสด และหลุมดำลึกอันลึกลับ…
พวกมันเคลื่อนตัวแปรเปลี่ยนตลอดเวลา บางครั้งรวมตัวอย่างแน่นหนา บางครั้งก็กระจัดกระจาย ซึ่งคนที่ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ก็คือเยี่ยนอวี๋ เทพีที่ลอยอยู่ท่ามกลางหมู่ดาว
“สมแล้วที่เป็นปฐมราชินีสร้างโลก” ต้าซือมิ่งหรงนัยน์ตาเป็นประกาย เขาแยกแยะออกว่ามารดาของเด็กน้อยตนเองกำลังดูดรับพลังอันศักดิ์สิทธิ์ นั่นก็คือพลังแห่งการสร้างโลก!
ถึงแม้ว่าการโคจรของดวงดาวรอบตัวเยี่ยนอวี๋ยังไม่ชัดเจนนัก มีเพียงหรงอี้ผู้มีตาทิพย์สามารถมองทะลุภาพลวงตาและภายนอกได้ ทว่าหรงอี้ผู้เป็นพยานในเรื่องนี้เขารู้ดีว่าไม่ช้าก็เร็วต้องมีสักวันหนึ่ง สตรีงดงามที่อยู่ตรงหน้าเขาคนนี้จะยืนอยู่ท่ามกลางดวงดาวที่สว่างไสว ขึ้นไปอยู่บนจุดสูงสุด
เมื่อถึงตอนนั้น…
“งดงามนัก”
หรงอี้แค่คิดก็รู้สึกงดงามมากแล้ว ดวงตาของเขาเปล่งประกายเจิดจ้า เต็มไปด้วยความชื่นชม ความอยากรู้เห็น ความตื่นเต้นและยินดี
ต้าซือมิ่งหรงใช้ความสามารถชั้นสูงมองมารดาเด็กน้อยตลอดการฝึกฌานของนาง จนเมื่อกลุ่มดาวสลายตัวไป แสงสีรุ้งดับหาย เขาก็ไม่ได้ละสายตาไปจากตัวนาง มิหนำซ้ำยังตั้งใจมองนางกว่าเดิม
เพราะถึงอย่างไร ภายใต้แสงสะท้อนดั่งไข่มุกของแม่น้ำเย่ว์หมิง ถึงแม้รังสีรอบตัวเยี่ยนอวี๋จะถูกนางดูดรับเข้าไปในร่างกายแล้ว แต่ความงามของนางยังคงติดตราตรึงอยู่ในดวงใจของต้าซือมิ่ง
ขนตายาวละเอียดสั่นไหวเบาๆ ในสายลมกลางหุบเขาที่พัดผ่าน คิ้วงามดั่งภาพวาดยังเป็นประกายจางๆ ภายใต้แสงจันทร์ สันจมูกที่โด่งและประณีตใบนั้นเหมือนแสงที่โปรยปรายใต้แสงสะท้อนไข่มุก ริมฝีปากอวบอิ่มและมีสีแดงดุจลูกเชอรี่ที่สุกงอม มันสดใสและงดงาม…
“…”
ต้าซือมิ่งเม้มปากเล็กน้อย เขาละสายตาจากริมฝีปากสีแดงดังอิงเถา[1]สุกอันเย้ายวน ก่อนจะมองไปที่ผิวอันเนียนขาวและเย็นราวกับหยก เขาลอบถอนหายใจอีกครั้ง แก่นสารแห่งการสร้างสรรพสิ่งล้วนประกอบเป็นตัวนาง
การมองอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ ทำให้เยี่ยนอวี๋ยากที่จะทำเป็นไม่รู้ “มองพอรึยัง”
“อวี๋”
หรงอี้ที่อุ้มเด็กน้อยพลางเดินเข้าใกล้เยี่ยนอวี๋ เขาเรียกมารดาของเด็กน้อยเบาๆ ทำให้เยี่ยนอวี๋ที่กำลังฝึกฌานขมวดคิ้ว จากนั้นก็ได้ยินเขาถอนหายใจ “มิอาจเทียบเคียงเจ้าได้”
เยี่ยนอวี๋ “?”
นางไม่อยากสนใจเขาอีก นางตั้งมั่นในสติประสานกลมกลืนกับพลังศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ในร่างกายต่อไป
ต้าซือมิ่งยังคงไม่ละสายตาไปจากนาง เขาชื่นชมมารดาเด็กน้อยด้วยความสัตย์ซื่อต่อไป ทำให้เยี่ยนอวี๋ที่ประสานพลังถึงช่วงสุดท้ายอดลืมตาขึ้นไม่ได้ ดวงตาดวงนั้นมีสีม่วงเข้มและดูลึกลับ ราวกับโลกปฐมกาล
มันเหมือนกับ… โอบรับโลกไว้
ทว่าดวงตาที่โอบรับโลกไว้กำลังขยายกว้างขึ้นเรื่อยๆ เพราะว่าขณะที่เยี่ยนอวี๋ลืมตาขึ้น สิ่งที่เห็นก็คือดวงตาอีกคู่หนึ่ง และในดวงตางดงามดวงนั้นยังสะท้อนใบหน้าของนางอย่างชัดเจน
“เจ้า…” เยี่ยนอวี๋อึดอัดเล็กน้อย นางไม่รู้ว่าต้าซือมิ่งเข้าใกล้ตนตั้งแต่เมื่อใด เขาไม่ส่งเสียงและไม่มีกลิ่นอายใดๆ แผ่ซ่าน นางจึงผงะทำท่าจะหงายหลัง
ทว่านางยังไม่ทันหงายหลังไป ต้าซือมิ่งก็ยื่นแขนไปโอบเอวของนางไว้แล้ว ทำเอานางตัวแข็งทื่อ เขายังโอบนางไว้ถึงที่สุด โอบจนนางอยู่ในอ้อมกอด ประชิดหน้าอกของเขา
ถึงแม้เขาจะใช้เพียงมือข้างเดียว ทว่าพลังแขนของต้าซือมิ่งมีไม่น้อย พลังกดดันนิรนามที่แผ่ซ่านออกมาอย่างรุนแรงจากตัวของเขาในขณะนี้ ‘กด’ แรงสะเทือนจากการขัดขืนของเยี่ยนอวี๋กลับไปทันที เขาจึงได้โอบกอดเอวอันบอบบางของปฐมราชินีเยี่ยนไว้ แต่น่าเสียดาย…
“บังอาจ!”
———————————
[1] อิงเถา หมายถึง ผลเชอร์รี่