เซียนหมอหญิงแม่ลูกอ่อน - ตอนที่ 239 วันสิ้นชีพของปีศาจระกาเก้าเศียร
วิ้ง!
คลื่นสะท้อนที่มองไม่เห็น สัมผัสไม่ได้ แต่เหล่านักฝึกฌานสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนก็กระจายออกมาพร้อมเสียงอันไพเราะดั่งเสียงพิณของต้าซือมิ่ง
ท่ามกลางสถานการณ์ที่มิอาจคาดเดาและควบคุมได้ แม่น้ำเย่ว์หมิงและอาณาเขตโยวตูที่กว้างใหญ่ไพศาลถูกกลิ่นอายลึกลับห่อหุ้มไว้ชั้นหนึ่ง ราวกับถูกตัดออกจากต้าซย่า กระทั่งเซ่าซือลิ่นจ่างเอิน เซ่าซือมิ่งคนสุดท้ายของตำหนักซือมิ่งผู้ได้รับบัญชาให้คอยสังเกตการณ์โยวตูยังมิอาจสังเกตการณ์อาณาเขตโยวตูบนหอดูดาวบนภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของตำหนักซือมิ่งได้อีกต่อไป
“ทหาร! รีบไปทูลรายงานองค์จักรพรรดิเดี๋ยวนี้ โยวตูมีการเปลี่ยนแปลง ต้าซือมิ่งสร้างม่านพลังศักดิ์สิทธิ์ในอาณาเขตโยวตูแล้ว!” ลิ่นจ่างเอินน้ำเสียงร้อนรน หัวใจเต้นระส่ำ
เหตุผลก็เพราะ ‘ม่านพลังแห่งความศักดิ์สิทธิ์’ นี้เป็นพลังที่แข็งแกร่งที่สุดของต้าซือมิ่งทุกยุคสมัย ทว่าทุกท่านที่ฝึกบำเพ็ญเพื่อได้มาซึ่งพลังแห่งความศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้ โดยทั่วไปมีอายุเพียงสามร้อยปี ก่อนจะล่วงลับไป อย่างเช่นต้าซือมิ่งรุ่นก่อน เขาฝึกบำเพ็ญจนได้พลังแห่งความศักดิ์สิทธิ์นี้ก่อนที่เขาจะล่วงลับหนึ่งปี ทว่าบัดนี้ ต้าซือมิ่งที่มีอายุน้อยที่สุดแห่งต้าซย่าท่านนี้ อายุเพียงยี่สิบก็มีพลังศักดิ์สิทธิ์แล้ว
“!”
ลิ่นจ่างเอินอดสบถมิได้ “วิปริตเกินไปแล้ว! แต่เดิมข้าคิดว่าการจู่โจมครานั้นขององค์จักรพรรดิ แม้จะเอาชีวิตเขาไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็ควรทำให้เขาเจ็บหนัก ไม่สามารถฟื้นตัวได้อีกหลายปี ไม่คิดเลยว่า…”
ลิ่นจ่างเอินในยามนี้อดสงสัยไม่ได้ว่าเขาเข้าผิดฝั่งหรือไม่ น่าเสียดายที่เขามิอาจถอนตัวได้แล้ว ทำได้เพียงเดินหน้าต่อไปถึงที่สุด
ลิ่นจ่างเอินทอดถอนใจ เขายังคงพยายามสังเกตการณ์โยวตูต่อไป ทว่าไม่ว่าเขาจะพยายามอย่างไร เขาก็เห็นเพียงแสงสีม่วงเจิดจ้าอันเป็นสัญลักษณ์พลังวิเศษไร้เทียมทานของต้าซือมิ่ง
…
โยวตู
ณ สุสานกระบี่สำนักจวินจื่อ
ผู้อาวุโสท่านหนึ่งเบิกตาโพลงเมื่อเห็นพลังของต้าซือมิ่งที่แผ่กระจายไปทั่ว “ม่านพลังศักดิ์สิทธิ์ ช่างเป็นเกียรติของโยวตูที่ได้รับการปกป้องเช่นนี้จากต้าซือมิ่ง”
“ดูท่าในที่สุดเหล่าประชาของโยวตูก็ไม่ต้องเผชิญอุทกภัยอีกต่อไปแล้ว ทุกคนจะได้อยู่อย่างสงบสุขเสียที” ในหอประมุขของสำนักจวินจื่อ จวินอั้นเทียนหรือเจ้าสำนักคนปัจจุบันของสำนักจวินจื่อกล่าวอย่างโล่งใจ
ยอดผู้แข็งแกร่งระดับตำนานสองท่านนี้ต่างรู้ว่าพลังวิเศษที่แผ่ออกมาของต้าซือมิ่งอยู่ระดับสูงเพียงใด นอกจากพวกเขาสองคนแล้ว คนที่เหลือบนแม่น้ำเย่ว์หมิงในบัดนี้ก็ไม่มีใครรู้เลย
แม้แต่เฉินฉุนเฟิง เขาก็มิได้คิดมากไปกว่านั้น ถึงอย่างไรต้าซือมิ่งทุกยุคสมัยที่ผ่านมาต้องฝึกบำเพ็ญจนบรรลุ ‘ม่านพลังอันศักดิ์สิทธิ์’ ที่ไม่ธรรมดานี้ก่อนล่วงลับทั้งนั้น ดังนั้นเขาและอินสวินอี้ในบัดนี้ก็คิดเพียงว่าต้าซือมิ่งกำลังให้ความร่วมมือกับภาพม้วนขุนเขาและท้องทะเลเพื่อเตรียมความพร้อมเท่านั้น มีเพียงเจ้าตัวน้อยที่รับรู้ได้
“อ้ะ?”
เยี่ยนเสี่ยวเป่ามองไปรอบทิศอย่างกระปรี้กระเปร่า และยังโบกมือเป็นครั้งคราวด้วยความตื่นเต้นดีใจ ราวกับรู้ว่าท่านพ่อของเขากำลังแสดงท่าไม้ตายจึงรู้สึก ‘เลือดสูบฉีด’ ตามไปด้วย
ต้าซือมิ่งที่ปล่อยพลังวิเศษออกมาพลางลูบศีรษะโล้นน้อยๆ ก็พูดขึ้นว่า “เจ้าฉลาดที่สุดแล้ว”
“ อ้ะเนะ!” เยี่ยนเสี่ยวเป่าพยักหน้าทันที ก่อนจะถูศีรษะไปที่ท่านพ่อของเขา “…พอ”
ต้าซือมิ่งแก้ให้เขาอย่างใจเย็น “พ่อไม่ใช่พอ”
“…พอ” ซี้ด… เสี่ยวเป่าที่พูดไม่ชัดและยังพ่นน้ำลายออกมาก็รีบหุบปากทันที จากนั้นก็ขดตัวน้อยๆของตนเองเข้าไปในอ้อมอกของท่านพ่อราวกับ ‘ฝังตัวเอง’ ไว้ที่เดิม
ต้าซือมิ่งหัวเราะ เจ้าเด็กน้อยนี่นะ…
ต้าซือมิ่งผู้ทำหน้าที่เป็นพ่อที่ดีเช่นนี้ยิ่งทำให้ทุกคนมิอาจคิดได้ว่าเขากำลังใช้พลังขั้นสูงสุดของต้าซือมิ่งระดับตำนาน หรือก็คือม่านพลังแห่งความศักดิ์สิทธิ์
ทว่าเยี่ยนอวี๋สัมผัสได้แล้ว นางจึงเดินเข้าไปในรอยแยก
จากนั้นเม่ยเอ๋อร์และคนอื่นๆ ก็เดินตามเข้าไป
เมื่อข้ามผ่านรอยแตกแล้ว ทุกคนก็รู้สึกเหมือนรู้แจ้งในทันใด สิ่งที่เห็นคือโถงใหญ่อันกว้างขวาง?
“นี่มัน…”
อินหลิวเฟิงมองไปรอบๆ เขาพบว่าโถงใหญ่แห่งนี้ไม่มีเสาสักต้น ผนังของโถงใหญ่สลักลวดลายเรียบง่าย อีกทั้งถึงแม้ในโถงจะไม่มีดวงไฟหรือดวงแก้วเย่ว์หมิงที่ให้แสงสว่าง แต่ข้างในก็สว่างมาก
“ดูข้างบนสิ!”
เยี่ยนจื่อเสาสังเกตหลังคาโถง เขาพบว่าอาคารครึ่งวงกลมนี้มิได้สลักลวดลายใดๆ มีเพียงภาพดาวเคราะห์ห้าดวงและดวงจันทร์ที่สว่างไสว
“ดวงจันทร์และดาวเคราะห์ทั้งห้ากำลังส่องแสง แสงในห้องโถงนี้มาจากภาพเหล่านี้!” เอ้อร์เหมาตะลึง “ไม่รู้ว่าวาดจากอะไร ข้าขอขึ้นไปดูหน่อย” ยังไม่ทันพูดจบ เขาก็เหินขึ้นไปข้างบนแล้ว
วิ้ง!
ลำแสงมืดสายหนึ่งกลับพุ่งออกมาจากอาคาร จู่โจมใส่เอ้อร์เหมา
“ระวัง!”
อินหลิวเฟิงรีบคว้ามือไปทางเอ้อร์เหมา! จวินอั้นหยวนและเม่ยเอ๋อร์ก็ลงมือพร้อมกัน พวกเขาพุ่งตัวออกไปเร็วกว่าอินหลิวเฟิงเล็กน้อย จึงคว้าและดึงเอ้อร์เหมาลงมาบนพื้นไว้ทัน
“ให้ตายเถอะ!” เอ้อร์เหมาตกตะลึง “นั่นมันอะไรกัน”
“บอกให้เจ้าอยู่เฉยๆ ไงเล่า!” อินหลิวเฟิงอยากจะอาเจียนเป็นเลือดแล้ว
ครั้งนี้เอ้อร์เหมาไม่กล้าเถียงเจ้านาย เขากลับไปยืนข้างกายของนายท่านน้อยอย่างสงบเสงี่ยม เพราะเขาตกใจมากจริงๆ “พวกท่านดูนั่นสิ เหมือนกับว่ามีดาวดวงหนึ่งอยู่ข้างๆ ดวงจันทร์เลย”
เอ้อร์เหมาที่ยืนมองอยู่ครู่หนึ่งก็รู้สึกตาลาย เขารีบหันเหไปทางอื่น ก่อนจะเตือนทุกคนว่า “อย่าดูนานเกินไป มันพิลึกชอบกล”
“พิลึกจริงๆ!” อินหลิวเฟิงสะบัดศีรษะ แต่เขาก็เห็น ‘ดาวสีดำ’ ที่เอ้อร์เหมาบอกดวงนั้นแล้ว
จวินอั้นหยวนกลับต้านทานไว้ได้ “เกรงว่านั่นคงเป็นปัญหาของค่ายกลนี้?”
“ข้าไปดูเอง!” เม่ยเอ๋อร์อยากจะขึ้นไปดูนานแล้ว
ทว่าเยี่ยนอวี๋รั้งนางไว้ “รอประเดี๋ยว”
“ท่านปราชญ์ ท่านรู้หรือไม่ว่าคือสิ่งใด” กู้หยวนซูที่พบเบาะแสบางอย่างเช่นกัน นางก็ถามปีศาจระกาเก้าเศียรในอนุสติของนาง ทว่าฝ่ายหลังกลับมิได้ตอบ
ในขณะเดียวกัน เยี่ยนอวี๋ก็ขานเรียก “นายท่านจวิน ท่านโปรดไปยืนใต้ดวงจันทร์”
“ได้” จวินอั้นหยวนยืนไปบนตำแหน่งนั้นอย่างไม่ชักช้า
“เม่ยเอ๋อร์ดาวพุธ จวินฮวนดาวศุกร์ หลิวเฟิงดาวอังคาร ศิษย์พี่รองดาวพฤหัส เอ้อร์เหมาดาวเสาร์”
“เจ้าค่ะ! คุณหนูใหญ่”
“ขอรับ…”
ทุกคนต่างยืนประจำตำแหน่งของตนเอง เหลือเพียงกู้หยวนซูยืนโง่เขลาอยู่เช่นนั้น ฝ่ายหลังจึงถามอย่างรู้ตัวว่า “เยี่ยนจื่ออวี๋ เจ้าคงไม่ได้ให้ข้ายืนใต้ดาวสีดำดวงนั้นหรอกนะ!”
“ใช่แล้ว” เยี่ยนอวี๋ตอบ
กู้หยวนซูสีหน้าพลันเปลี่ยน แต่ปีศาจระกาเก้าเศียรในอนุสติของนางกลับส่งกระแสจิตให้นางว่า “ไปยืน”
“ท่านปราชญ์?!” กู้หยวนซูไม่เข้าใจ เพราะว่านางเองก็สัมผัสถึงลิ่นอายอันตรายจากดาวสีดำดวงนั้น
ปีศาจระกาเก้าเศียรกลับพูดขึ้นว่า “วางใจเถิด ข้าย่อมคุ้มครองเจ้า”
กู้หยวนซูจึงเก็บอารมณ์ไม่พอใจและไปยืนที่ตำแหน่งนั้นอย่าง ‘ว่าง่าย’ ทำให้อินหลิวเฟิงประหลาดใจ “เซ่าซือกู้ให้ความร่วมมือกว่าที่คิดไว้นะนี่”
“แล้วตัวข้าเซ่าซือจะไม่ให้ความร่วมมือได้หรือ” กู้หยวนซูโต้กลับ
“ถูกของเจ้า เจ้าย่อมทำอะไรมิได้”
“ฮึ”
กู้หยวนซูนอกจากยิ้มเย็นชาแล้วก็ไม่อยากพูดอะไรอีก ตอนนี้นางอยากจะจัดการเยี่ยนจื่ออวี๋นังคนชั่วนี้ให้ตายเร็วๆ ซะ! และออกจากที่นี่เสียที
เยี่ยนอวี๋เองก็ไม่ได้ปล่อยให้นาง ‘รอนาน’ หลังจากที่ทุกคนยืน ‘ประจำตำแหน่ง’ แล้ว นางก็สื่อสารกับอิงหลงโบราณและกระบี่ไท่ชางที่ล่องหนอยู่กลางอากาศ ทันใดนั้น…
วิ้ง!
วิ้ง! วิ้ง…
ลวดลายเรียบง่ายบนผนังแผ่กระจายรังสีอันลึกลับออกมาราวกับมีชีวิต ทั้งกระบวนการนี้ใช้เวลาไม่นานนัก ทว่าหลังจากที่ลวดลายเหล่านี้สว่างไสวขึ้นมา ดาวเคราะห์ทั้งห้าและดวงจันทร์บนตัวอาคารก็ยิ่งสว่างรุ่งโรจน์ พร้อมรังสีศักดิ์สิทธิ์แผ่ซ่าน
ฟ่าว!
‘ดาว’ สีดำดวงนั้นถูกกระตุ้นอย่างเห็นได้ชัด มันปล่อยพลังกลืนกินอันน่าสะพรึงออกมา ก่อนจะกลืนกินแสงอันศักดิ์สิทธิ์ของดาวเคราะห์ทั้งห้าและดวงจันทร์
“ระวัง” เยี่ยนอวี๋เตือนทุกคน ทุกคนก็รับรู้ได้ถึงพลังกลืนกินอันน่ากลัวจากอาคารนั้น ทำให้พวกเขาเตรียมพร้อมพลังวิชาของตนเองไว้แล้ว
แม้แต่กู้หยวนซู นางก็สัมผัสถึงพลังกลืนกินอันน่ากลัวเช่นกัน ราวกับว่ามันจะกลืนกินนาง? ทว่าความรู้สึกนี้ก็หายไปอย่างรวดเร็ว กลับกลายเป็นว่ามีพลังบางอย่างกำลังหลั่งไหลเข้าไปในตัวนางแทน!?
นี่มัน…
“ท่านปราชญ์?” กู้หยวนซูส่งกระแสจิตด้วยความประหลาดใจ
ปีศาจระกาเก้าเศียรพูดขึ้นว่า “รวบรวมสมาธิ! เราคงต้องใช้โอกาสนี้ดูดกลืนพลังของคนเหล่านี้ ทำให้ความสามารถและตบะของพวกเขากลายเป็นของเรา!”
“ว่าไงนะ” กู้หยวนซูตะลึง! ถึงแม้นางไม่ใช่คนดี แต่วิธีการนี้ก็ทำให้นางตกตะลึงไม่น้อย ทว่านางก็ตั้งสติได้อย่างรวดเร็วและรู้สึกดีใจนัก
“เจ้ามิได้ฟังผิด ดาวสีดำที่อยู่ข้างบนนั้นก็คือลูกแก้วชั่วร้ายของข้า เป็นที่พึ่งสูงสุดของข้า ในเมื่อพวกเขาเข้ามาในถิ่นของข้าแล้ว ก็เตรียมตัวตายซะเถอะ!” ปีศาจระกาเก้าเศียรกล่าวด้วยน้ำเสียงที่มิอาจปิดบังความสะใจไว้ได้
กู้หยวนซูเองก็ตื่นเต้นจนหอบหายใจเล็กน้อย นางไม่คิดเลยว่าการที่นางลงมาครั้งนี้จะได้รับโอกาสดีงามเช่นนี้ แต่เดิมนางคิดว่าต้องลงมาเสียเปล่าแล้ว
“เปิดใจของเจ้าไว้ ข้าจะควบคุมร่างกายของเจ้าไว้เอง” ปีศาจระกาเก้าเศียรก็ไม่คิดว่าทุกอย่างจะราบรื่นเช่นนี้ ในเมื่อบัดนี้ทุกคนติดกับดักเองแล้ว มันจะปล่อยพวกเขาไปได้อย่างไร
ครานี้เอง กู้หยวนซูทำตามคำสั่งของปีศาจระกาเก้าเศียรทันที ฝ่ายหลังก็ใช้ร่างของกู้หยวนซูปลดปล่อยกลิ่นอายความชั่วร้ายขั้นสุดออกมาและพุ่งตรงขึ้นไปด้านบนทันที
“แย่แล้ว!” จวินอั้นหยวนเป็นคนแรกที่จับได้ว่ากู้หยวนซูผิดปกติ สีหน้าเขาพลันเปลี่ยน
ทว่าเยี่ยนอวี๋กลับยกมุมปาก “ลูกแก้วชั่วร้าย”
ในขณะเดียวกัน…
วิ้ง!
ภาพม้วนขุนเขาและท้องทะเลก็สั่นไหว! กลิ่นอายโบราณลึกลับก็แผ่ออกจากในภาพม้วน!