เซียนหมอหญิงแม่ลูกอ่อน - ตอนที่ 247 ต้าซือมิ่งจอมดัดจริต
อินหลิวเฟิงเงียบ…
ต้าซือมิ่งยังเป็นพยานให้เด็กน้อย “เสี่ยวเป่ามีพลังสัมผัสคนสายเลือดเดียวกันที่ไม่ธรรมดา ครั้งแรกที่เราสองพ่อลูกเจอกันได้ก็เป็นเพราะเขาสัมผัสถึงข้าได้ก่อน”
เยี่ยนอวี๋จึงนึกถึง ‘การกระทำ’ ต่างๆ ก่อนหน้านี้ของเด็กน้อย นางจึงรู้ว่าต้าซือมิ่งมิได้พูดเกินจริง เพียงแต่ว่าสายเลือดของพ่อแม่และท่านลุงไม่เหมือนกัน
ไม่ว่าอย่างไร พวกเขาก็เหินไปตามที่มาของเสียงในขณะที่พูดคุยกัน ในระหว่างนั้นยังทะลุผ่านม่านสกัดกั้นอวกาศชั้นหนึ่ง ก่อนจะถึง ‘จุดหมาย’
“มีกลิ่นอายของพี่รองจริงๆ ด้วย!” เยี่ยนอวี๋ได้กลิ่นอายของพี่รองของนางและเม่ยเอ๋อร์บริเวณหนองที่นองบนพื้น แต่กลับไม่มีกลิ่นของเอ้อร์เหมา
“อยู่ด้วยกันมิใช่หรือ” อินหลิวเฟิงประหลาดใจ
“เกรงว่าคงถูกลากไปแล้ว” เยี่ยนอวี๋คิดถึงใยหนืดสีเหลืองกำมะถันนั่นก็ได้ข้อเท็จจริงว่า “พี่รองและเม่ยเอ๋อร์คงจะขัดขืนตอนที่ถูกดูดกลืน แต่น่าเสียดายที่ไม่สำเร็จ”
“ส่วนเอ้อร์เหมากลับถูกลากตัวไปง่ายๆ เช่นนั้นรึ” อินหลิวเฟิงกุมขมับ “เจ้างั่งเอ้ย ปกติเวลาที่ข้าไม่อยู่ เขาวิ่งเก่งที่สุดไม่ใช่รึ…”
“จุดสิ้นสุดของกลิ่นอายอยู่ที่นี่ มันต่างจากกลิ่นอายจางๆ ที่สะเปะสะปะเมื่อครู่นี้ ทั้งสามคงถูกลากจากตรงนี้ อย่างน้อยพวกเขาก็ไม่ได้อยู่ในโลกใบเล็กๆ ใบนี้แล้ว”
หรงอี้ที่สังเกตเห็นสิ่งอื่นที่ต่างออกไปก็แหงนศีรษะมอง ‘ท้องฟ้า’ เขาสามารถเห็นโลกอีกด้านหนึ่งของฝีหนองที่อยู่เหนือศีรษะผ่านการมองฝ่าความมืด ในนั้นยังปรากฏกระแสน้ำวนที่ยังไม่สลายไปตามคาด
“พ่อคุณทูนหัวตื่นมาสัมผัสได้อีกหรือไม่” อินหลิวเฟิงกลับฝากความหวังไว้ที่เด็กน้อย ผู้ซึ่งเดิมทีเขาไม่เชื่อ ทว่าฝ่ายหลังก็ได้พิสูจน์ ‘ความสามารถ’ พิเศษของตนเองแล้ว
ทว่าเด็กน้อยในบัดนี้หลับสนิทไปแล้ว ‘พลังงานที่สูญเสียไป’ ในการตามหาคนใกล้ชิด ทำให้เขาเหนื่อยเอาการ มิหนำซ้ำตอนนี้ท่านพ่อและท่านแม่ก็อยู่ข้างกายเขาแล้ว เขาจึงไม่มีอะไรต้องกังวล
ส่วนท่านลุงรองของเขาก็คงถูกเจ้าตัวน้อย ‘ลืม’ ไปแล้ว และอาจจะเป็นเพราะเขาเชื่อมั่นในตัวท่านพ่อของเขามาก อีกทั้งอาการง่วงหงาวหาวนอนที่มิอาจต้านทานได้ของเขา เขาจึงจำเป็นต้องพักผ่อนแล้ว
ทว่าสถานการณ์ในยามนี้…
“เขาใช้พลังในโลกอีกโลกหนึ่งไม่ได้แล้ว” หรงอี้ลูบหลังของเด็กน้อยเบาๆ เพื่อกล่อมให้เขาหลับสนิทยิ่งขึ้น ในขณะเดียวกันก็คอยสังเกตข้างบน เขาพยายามใช้สายตามองหาความแตกต่างในนั้น
เยี่ยนอวี่เองก็สื่อจิตสัมผัสออกไป นางพยายามสัมผัสบริเวณที่ต้าซือมิ่งมอง ถึงอย่างไรการสัมผัสของนางก็มิได้ถูกปิดกั้นไว้มากเท่าไรนัก
ถึงแม้สถานที่ตรงนี้เป็นถิ่นของปีศาจฝีหนอง แต่ดินแดนอีกครึ่งหนึ่งก็เป็นของนาง นางเองก็มีความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ไม่มากก็น้อย นางจึงสัมผัสบางอย่างได้
“ให้ตายเถอะ!”
“เม่ยเอ๋อร์…”
มีเสียงก่นด่าของเม่ยเอ๋อร์ดังขึ้นเบาๆ และเสียงตะโกนอันอ่อนแอของเยี่ยนจื่อเสา?
“พี่รอง!”
เยี่ยนอวี๋หรี่ตาลง ทำท่าจะไปตามหา ทว่าต้าซือมิ่งก็คว้าข้อมือเรียวเล็กของนางไว้ “ใจเย็น”
ต้าซือมิ่งที่มองกลับมาหานางหลับตาลง บรรเทาอาการไม่สบายตา “เม่ยเอ๋อร์และพี่เขยรองยังรับมือได้ แต่พวกเราหาทางจากด้านล่างดีกว่า อย่าเข้าไปเลย”
“เจ้าเห็นแล้วหรือ” เยี่ยนอวี่ประหลาดใจเล็กน้อย แต่นางก็ดึงมือออกอย่างไม่รอช้า
ต้าซือมิ่งที่หลับตาอยู่ลอบถอนหายใจพลางผงกศีรษะพูดว่า “อืม น่าจะเป็นถ้ำใยไหม พวกเขารวมถึงเอ้อร์เหมาทั้งสามคนถูกขดเป็นตุ่มหนอง” ไม่น่ามองเลย…
นอกจากนี้ ต้าซือมิ่งที่เห็นภาพลางๆ เขาก็คว้ามือเยี่ยนอวี๋ไว้อีกครั้ง ฝ่ายหลังจะดึงมือออกทันที เสียดายที่ดึงไม่ออก
“ทำอะไรของเจ้าน่ะ!?” เยี่ยนอวี๋กล่าวอย่างเยือกเย็น
“แบมือออก” ต้าซือมิ่งหรงที่เพิ่งลืมตาขึ้น เขาก็ก้มลงมองมือที่อยู่ในกำมือของเขา และพูดอย่างจริงจัง
เยี่ยนอวี๋ดึงมือกลับไปไม่ได้ และยังถูกต้าซือมิ่งยัดเจ้าตัวน้อยใส่ นางจำเป็นต้องรับเด็กน้อยไว้ด้วยมืออีกข้างหนึ่ง จากนั้นมือข้างที่ว่างของต้าซือมิ่งก็แบมือของนางออก
เยี่ยนอวี๋ไม่ทันได้ขัดขืน เขาก็ใช้นิ้วของตนวาดบางสิ่งลงบนมือของนางแล้ว “ข้าเห็นภาพนี้ เจ้าอาจจะรู้ว่าคืออะไร”
เยี่ยนอวี๋ขมวดคิ้วฝืนทนความไม่สบายใจไว้ ก่อนจะดึงความสนใจทั้งหมดไปที่นิ้วที่จรดลงบนมือของนาง เพื่อคอยสัมผัสภาพวาดของเขา จากนั้นในศีรษะของนางก็ปรากฏภาพวาดที่นางคุ้นเคยเป็นอย่างดี
เพียงแต่ว่า…
“น่าแปลก” เยี่ยนอวี๋ขมวดคิ้ว “ลวดลายของภาพนี้คือลวดลายศักดิ์สิทธิ์ที่จะปรากฏเมื่อภาพม้วนขุนเขาและท้องทะเลผนึกหินปราบมาร มันน่าจะอยู่…”
เยี่ยนอวี๋ที่คิดถึงลูกแก้วชั่วร้ายได้ก็หยิบออกมาทันที เมื่อมันปรากฏขึ้น อินหลิวเฟิงก็ได้ยินเสียงกรีดร้องแว่วๆ แต่ก็ไม่มีปีศาจทะลักออกมา
“เช่นนี้นี่เอง” เยี่ยนอวี๋เข้าใจแล้ว “ลูกแก้วนี้มีวิวัฒนาการมาจากหินปราบมาร อสูรในแดนมืดวิญญาณอสูรกัดกินสารบางอย่างในหินปราบมาร หลอมมันจนกลายเป็นลูกแก้วชั่วร้าย เพื่อเจาะเข้าไปในผนึกของดินแดนมนุษย์”
“หมายความว่าถ้ำใยไหมกำลังกัดกินหินปราบมารรึ” ต้าซือมิ่งหรงขมวดคิ้วเล็กน้อย เขายื่นมือออกไปทำท่าจะหยิบลูกแก้วชั่วร้าย
เยี่ยนอวี๋กลับเก็บลูกแก้วชั่วร้าย “อย่าแตะ” มันพิสดารมากนัก “แล้วก็ปล่อยมือได้แล้ว!”
ต้าซือมิ่งยังคงจับข้อมือปฐมราชินีเยี่ยน เขายังจับฝ่ามือของนางไว้อย่างคนได้คืบจะเอาศอก จากนั้นฝ่ามือของเขาประกบฝ่ามือของนางและสอดประสานมือเข้าด้วยกัน…
เยี่ยนอวี๋ตากระตุก เป็นสัญญาณบอกว่านางกำลังโมโห
“ไม่ปล่อย” ต้าซือมิ่งที่จับมือไว้แน่นแล้วก็หลับตาลงอีกครั้ง กล่าวว่า “ข้าปวดตา มองอะไรไม่เห็นแล้ว เจ้าต้องจูงมือข้าไป”
เยี่ยนอวี๋ “…”
นางโมโหจนพูดอะไรไม่ออก
อินหลิวเฟิง “…”
เขาก็คอยมองด้วยความชื่นชม!
เขาไม่คิดเลยว่า วิธีการเข้าหาแม่นางของต้าซือมิ่งจะเหนือชั้นกว่านายท่านน้อยอินที่ได้ฉายาเป็นนักรักและรู้ใจสตรีมากที่สุดหลายเท่า!
ดูสิ ความไร้ยางอายและเอาเปรียบสตรีเช่นนี้ อีกทั้ง ‘ความดัดจริต’ ที่ออกนอกหน้านอกตาเช่นนี้อีก แม่เจ้า!
‘ห่างไกล ยังห่างไกลมากนัก ชื่นชม น่าชื่นชมจริงๆ…’ ไม่ว่าอินหลิวเฟิงจะทอดถอนใจอย่างไร เขาก็ไม่กล้าพูดออกมา จะทำอย่างไรได้เล่า ในเมื่อเขาขี้ขลาดนี่!
เยี่ยนอวี๋ที่ถูก ‘กำราบ’ นางก็ทำได้เพียงกล่าวด้วยสีหน้าเย็นชา “เจ้าก้มหน้ามาสิ ข้าดูให้”
“ไม่รีบ เจ้าคิดก่อนดีกว่าว่าจะช่วยคนอย่างไร” ต้าซือมิ่งกล่าวอย่างอ่อนโยนและเป็นมิตร
อินหลิวเฟิง ‘…ดัดจริต!’
“เช่นนั้นเจ้าปล่อยมือสิ ข้าจะได้ทำอะไรสะดวก หากจะไปแล้ว ข้าค่อยจูงมือเจ้า”
“ได้” ต้าซือมิ่งรู้จักประมาณตน เขาดึงมือกลับ แต่กลับงอแขนไว้เล็กน้อย “ส่งเสี่ยวเป่าให้ข้า เจ้าทำธุระของเจ้าก่อน พี่เขยรองและเม่ยเอ๋อร์ยังไหวอยู่ แต่เอ้อร์เหมาคงรับมือได้อีกไม่นาน”
เยี่ยนอวี๋กวาดตามองต้าซือมิ่งที่ยังคงหลับตา นางยอมยื่นเสี่ยวเป่าให้เขา “เจ้าอยู่เฉยๆ อย่าขยับไปไหน”
“อืม” ต้าซือมิ่งตอบอย่างเชื่อฟัง
เยี่ยนอวี๋มิอาจโมโหใส่เขาอีกครั้ง มิหนำซ้ำนางเองก็ไม่มีเวลลาจึงทำได้เพียงกำชับให้อินหลิวเฟิงเฝ้าสองพ่อลูกให้ดี ส่วนนางก็เดินไปนั่งขัดสมาธิลงบนที่ที่แห้งสะอาดและเริ่มสื่อสารกับหินปราบมารที่ถูกกัดกร่อน
อินหลิวเฟิง ‘ปกป้อง’ สองพ่อลูกอย่างดี และยังอดทอดถอนใจในใจมิได้ เขาต้องเรียนรู้จากต้าซือมิ่งอีกมาก! หากเขามีความสามารถเช่นนี้แต่แรก เขาอาจจะ…
แค่ก!
อินหลิวเฟิงไม่กล้าคิดต่อไปอีก เขากลับไปจดจ่อกับการเฝ้าเหมือนเดิม
ในขณะเดียวกัน…
แม้จวินอั้นอยู่ที่อยู่ข้างนอกจะฟื้นตัวแล้ว แต่เขาก็ไม่สามารถเปิดผนึกตาค่ายกลได้ เขาจึงได้แต่รอในโถงตาค่ายกล ทำให้กู้หยวนซูที่อยู่ข้างนอกได้โอกาสใช้อำนาจเต็มที่
“ทุกท่านมิต้องรอที่นี่แล้ว ปราชญ์มหาสำนักเยี่ยนและคนอื่นๆ เสียชีวิตไปแล้ว พวกเจ้าเฝ้ารออยู่ที่นี่ก็เปล่าประโยชน์ ถอนตัวออกก่อนดีกว่าหรือไม่ กลับไปสำนักแล้วค่อยหารือกัน” กู้หยวนซูที่ฟื้นตัวได้เล็กน้อยแล้วกล่าว
แต่แล้ว เหล่ากองกำลังชั้นยอดสำนักจวินจื่อกลับไม่มีผู้ใดสนใจนาง พวกเขายังรักษาตนเองอยู่ที่เดิม ไม่ย้ายไปจากตำแหน่งของตนเลย
“หูหนวกกันรึไง” กู้หยวนซูขมวดคิ้วแน่น “ไม่ได้ยินข้าพูดรึ”
เหล่ากองกำลังชั้นยอดยังคงเงียบ “…”
กู้หยวนซูหน้าดำหน้าแดง ทว่านางก็มิได้พูดอะไรอีก เพียงแค่ทิ้งท้ายไว้ว่า “ไม่ฟังก็แล้วแต่พวกเจ้า ข้าไม่อยู่ด้วยหรอกนะ ลาก่อน”
“…” กองกำลังชั้นยอดยังคงเงียบ
ทำเอากู้หยวนซูเดือดดาลนัก! ทว่านางก็อดกลั้นไว้ได้ และเดินจากไปอย่างนั้นจริงๆ
เมื่อนางจากไปแล้ว เหล่าผู้แข็งแกร่งชั้นยอดสำนักจวินจื่อที่เยี่ยนอวี๋กำชับไว้ พวกเขาก็ลืมตาขึ้น “ต้องเป็นฝีมือของนางแน่ๆ”
“เสียดายที่ไม่มีหลักฐาน”
“มิต้องห่วง ต้าซือมิ่งเข้าไปแล้ว”
เหล่ากองกำลังชั้นยอดสำนักจวินจื่อต่างคิดว่าเรื่องนี้ต้องมีมิชอบมาพากล พวกเขาย่อมไม่ฟังกู้หยวนซูพูดเหลวไหล อีกทั้งก่อนหน้านี้พวกเขายังแอบสาบานว่าจะต้องเฝ้าอยู่ที่นี่จนถึงวินาทีสุดท้าย! เว้นเสียแต่ว่าปัญหาทุกอย่างจะคลี่คลาย และปราชญ์มหาสำนักเยี่ยนให้พวกเขากลับ มิเช่นนั้น…
“คนเช่นนางยังคิดจะมาสั่งสำนักจวินจื่อ วอนตายจริงๆ!”
“ใจเย็นเข้าไว้!”
“เฮ้อ ยั้งมือยากกว่ายั้งปากอีก”
เมื่อคนสำนักจวินจื่อร้อยกว่านายคุยกันเสร็จ พวกเขาก็กลับไปเงียบดังเช่นปกติที่ไม่ค่อยพูดกันอยู่แล้ว
ส่วนกู้หยวนซูเมื่อนางจากไปแล้ว นางก็เหินขึ้นมาเหนือน้ำ เมื่อถึงริมแม่น้ำนางก็ประกาศอย่างจองหองว่า “ทุกท่าน มิต้องเฝ้าแล้ว ถอยทัพเถิด ล้มเหลวแล้ว”